ผจญภัยในความรัก
คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์
สวัสดีค่ะคุณประภาส
ไม่ ทราบว่าคุณประภาสจะเป็นเหมือนแม่ของดิฉันหรือไม่ คือไม่ว่าดิฉันจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่กลับบ้านดึก ไม่เคยทำให้แม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับความประพฤติ แม่บอกว่าไม่ให้มีแฟน ดิฉันก็ไม่มี (จนตอนนี้อายุก็ 20 กว่าแล้ว) คือดิฉันทำตามใจท่านทุกอย่าง แต่แม่ไม่เคยกล่าวชมดิฉันเลย เวลาผลสอบออกมาดีกว่าเทอมก่อนๆ ก็ไม่เคยชม แต่พอได้น้อยขึ้นมาก็บ่นอยู่หลายวันทีเดียว
ดิฉันจึงอยากเรียนถามคุณ ประภาสในฐานะที่คุณประภาสเองก็มีลูกเหมือนกัน คุณประภาสเคยชมลูกบ้างไหม หลายครั้งที่ดิฉันนึกน้อยใจว่าทำไมหนอทำไม เราทำดีมาขนาดนี้แล้ว แม่ไม่เห็นแสดงอาการภูมิใจในตัวเราสักครั้งหนึ่งเลยค่ะ
อั้ม
ผมสนใจคำขึ้นต้นจดหมายของคุณอั้มครับ
คุณ อั้มขึ้นต้นด้วยคำถามว่าผมเป็นอย่างที่คุณแม่คุณอั้มเป็นหรือเปล่า นั่นคือถามผมว่าผมเคยทำตัวเย็นชาไม่ออกปากชมลูกชมเต้าอย่างที่คุณเขียนมาใน จดหมายหรือเปล่า ผมอ่านจดหมายของคุณอั้มด้วยความเห็นใจครับ เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าความน้อยเนื้อต่ำใจที่คุณได้รับจากสิ่งที่คุณแม่ทำ นั้น มันพาลให้คิดเหมาไปหมดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่คงเป็นอย่างนี้กันหมด
ความน้อยใจแบบนี้ถ้าเป็นหนักๆ เข้าอาจถึงขั้นไปรู้สึกอิจฉาคนอื่นที่มีแม่ที่ออกปากชมลูกได้
ผม เชื่อว่าความทุกข์ใจที่คุณอั้มประสบอยู่นั้น คุณอั้มก็คงเคยนำไปปรึกษาหรือเล่าสู่กันฟังกับคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจมาบ้าง แล้ว และผมก็เชื่อว่าคำตอบที่คุณอั้มได้รับก็คงจะเป็นประโยคทำนองที่ว่า "ทุกอย่างที่แม่ทำไปก็ด้วยความรักเท่านั้น"
ฟังดูเหมือนในละครตอนหัว ค่ำนะครับ คำพูดที่ฟังแล้วน่าเบื่อซ้ำๆ ซากๆ อ้างแต่ความรัก แม่บ่นก็เพราะรัก แม่เคี่ยวเข็ญก็เพราะรัก แม่ตีก็เพราะรัก ฯลฯ
ส่วนท่านผู้อ่านที่กำลังเดาอยู่ว่าแล้วผมจะตอบอย่างไรให้แตกต่างจากคำพูดน่าเบื่อที่ว่านั้น
อาจจะผิดหวังหน่อยนะครับ เพราะผมก็คงตอบเหมือนกันว่า "ความรักตัวเดียวเท่านั้นเอง" ที่ทำให้แม่ของทุกคนเป็นอย่างที่แม่เป็นอยู่
เคยเห็นฉากนี้ในชีวิตจริงไหมครับ
เด็ก ตัวเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งข้ามถนนไปด้วยความซุกซนประสาเด็ก รถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาด้วยความเร็วสูง แล้วเสียงเบรกจากรถก็ดังลั่นจนเรียกให้ผู้เป็นแม่ที่อยู่แถวๆ นั้นหันมามอง รถจอดห่างจากเด็กน้อยที่ยืนตกตะลึงอยู่ไม่ถึงสองเมตรดี จากนั้นเราก็จะเห็นผู้เป็นแม่พุ่งเข้าไปหาลูกแล้วก็จับข้อมือลากออกมาให้พ้น รัศมีรถ
ภาพต่อมาเราก็จะเห็นผู้เป็นแม่เริ่มลงมือตีลูก และแน่นอนการตีนี้ย่อมเป็นการตีไปบ่นไป หรือถ้าตัวแม่อาศัยอยู่ในตลาดที่ผู้คนมักใช้ภาษาเดิมๆ ของบรรพบุรุษโบราณ เราก็อาจจะได้เห็นการตีไปผรุสวาทไปอย่างเผ็ดร้อนด้วย
ทำไมฉากชีวิตฉากนี้ไม่จบลงด้วยการที่แม่พุ่งเข้าไปหาลูกแล้วก็จูงมือออกมากอดเรียกขวัญ
ทั้งๆ ที่การจบทั้งสองแบบของฉากนี้ก็ล้วนทำไปด้วยความรักเช่นกัน
ผมพูดคำว่าความรักออกมาอีกแล้ว เพราะผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ
เป็น ที่รู้กันอยู่ว่าคนตะวันออกไม่ถนัดที่จะแสดงความรักต่อกัน เรื่องบอกรักบอกความในใจนั้น คนไทยคนลาวคนจีนนี่ทำไม่เป็นเลย ยิ่งเป็นพ่อเป็นแม่กับลูกที่โตๆ แล้วนี่ยิ่งเก้งก้างใหญ่
ให้ผมเดาเล่นๆ ผมก็ว่าคุณอั้มเองก็คงไม่เคยเข้าไปกอดหอมแม่แล้วก็บอกรักท่าน
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักท่านนี่ จริงไหมครับ
สำหรับ คนที่เป็นลูก...แค่แม่อุ้มท้องแล้วคลอดเราออกมา บุญคุณก็ทดแทนกันไม่หมดแล้วชาตินี้ เรื่องความกตัญญูกตเวทีผมก็เชื่อว่าคุณอั้มมีอยู่เต็มเปี่ยม ไม่อย่างนั้นคุณอั้มจะอยู่ในโอวาทเชื่อฟังท่านทุกเรื่องอย่างที่เล่ามาหรือ ครับ
ถึงตรงนี้ผมคงต้องหมายเหตุไว้สักหน่อยหนึ่งว่า เรื่องการเชื่อฟังกับเรื่องกตัญญูก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกันนัก แม้จะใกล้กันมาก
มาดูฉากชีวิตอีกฉากหนึ่งกัน ฉากนี้ผมว่าคุณอั้มก็คงเคยเห็น
ลูกสาวคนโตกลับมาจากที่ทำงาน พอเข้าบ้านก็เห็นแม่นั่งกินไอศครีมสบายใจอยู่บนโต๊ะ เห็นดังนั้นเข้าตัวลูกสาวก็ส่งเสียงดังขึ้นทันที
" แม่กินไอศครีมทำไม แม่ก็รู้อยู่ว่ากินไม่ได้ เดี๋ยวน้ำตาลในเลือดก็สูงหรอก หนูอุตส่าห์ซ่อนในตู้เย็นลึกๆ แล้ว แม่ยังไปค้นมาอีก แม่ไม่เข็ดหรือไง คราวที่แล้วที่น้ำตาลสูงน่ะ หมอก็ห้ามให้ระวัง แม่ก็ดื้อเหลือเกิน อยากนอนโรงพยาบาลอีกหรือไง"
พูดไม่พูดเปล่าลูกสาวยังเอามือยกถ้วยไอศครีมที่กินไม่หมดออกจากโต๊ะด้วย ตัวแม่เห็นลูกทำดังนั้นก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่พูดอะไร
"แม่...หนูเหนื่อยนะ ทำงานหาเงินก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว กลับมาบ้านยังมาเจอแม่พูดไม่รู้เรื่องอีก"
เหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อคุณอั้มก็คงจะเดาได้
ตัวแม่แอบไปนั่งเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียว แล้วก็อาจเข้าใจผิดไปได้ว่า ลูกนั้นหวงแม้กระทั่งไอศครีมจนต้องแอบเอาไปซ่อนไม่ให้แม่เห็น
คุณ อั้มมองอยู่วงนอกก็มองออกใช่ไหมครับว่า คำพูดของลูกสาวนั้นแม้จะไม่น่าฟังเลย แต่ก็ล้วนพูดมาจากความรักแทบทั้งสิ้น คนนอกฟังอย่างไรก็ฟังออกว่าตัวลูกสาวกลัวอาการเบาหวานของแม่จะกำเริบหนัก เลยรู้สึกโกรธที่เห็นแม่กินของหวานเข้าไปมาก ส่วนตัวคนในเหตุการณ์นั้นฟังไม่ออกหรอกครับว่าเป็นความหวังดี ถึงจะฟังออกบ้าง แต่ไอ้ความน้อยใจนี่สิมันแรงกว่าเยอะ หลายรายแล้วครับที่แรงน้อยใจมันแรงจนบดบังความหวังดีของอีกฝ่ายหนึ่งได้
คุย กันมาถึงตรงนี้ บางคนอาจคิดเล่นๆ ว่าเป็นมนุษย์นี่มันยากดีแท้ กะอีแค่มีความรักนี่ยังไม่พออีกหรือ ต้องมีการแสดงออกของความรักที่สมควรด้วยหรือ
ปัญหามันอยู่ตรงนี้จริงๆ
ปัญหามันอยู่ที่เราไม่แสดงออกกัน หรือไม่ก็ชอบแสดงออกแบบตรงข้าม
มนุษย์ เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือความรัก ความรักเป็นความรู้สึกพิเศษที่อธิบายได้ยาก กวีและปราชญ์ตลอดประวัติศาสตร์ต่างก็อธิบายออกมาได้ไม่จบสิ้น
ความหมายของมันว่าอธิบายยากแล้ว การแสดงออกยิ่งยากกว่า
เราจึงเข้าใจผิดกัน หรือไม่เข้าใจกัน และเมื่อขาดความเข้าใจในรักแล้ว ความทุกข์จากความไม่สมหวังในรักก็บังเกิดขึ้น
อย่าง เช่นกรณีของคุณอั้มก็ถือเป็นการไม่สมหวังในรักนะครับ คุณอั้มรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวคุณอั้มรักคุณแม่ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าหรือคุณแม่นั้นไม่รักเรา
ขออนุญาตแนะนำคุณอั้มง่ายๆ สองข้อ
ก่อน จะแนะนำก็ขอฝากท่านผู้อ่านที่เป็นพ่อคนแม่คนลองทบทวนการแสดงออกของความรัก ของตัวเองดู ตัวผมเองผู้เขียนก็ยอมรับครับว่าบางทีผมก็เผลอแสดงออกผิดๆ ไปกับลูก
กลับมาที่คุณอั้มครับ ลองทำดูนะครับแม้จะรู้สึกเขินๆ ตอนแรกๆ
ข้อ แรก แนะนำให้เข้าไปกอดท่าน บอกรักท่าน ออดอ้อนท่านเหมือนครั้งยังเด็กก็ได้ ไม่น่าเกลียดหรอกครับ เราเป็นลูกนี่ คนรักกันนั้นลองฝ่ายหนึ่งพูดความในใจอยู่ตลอดเวลาแล้วอีกฝ่ายจะไม่พูดบ้าง เชียวหรือ
บางทีไอ้ที่ท่านเคยแสดงออกทางความรักด้วยการบ่นหรือหวงแหนจนเกินเหตุ ก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ ถ้าคุณอั้มเริ่มก่อน และทำอยู่เป็นนิจ
กล้าหาญในความรักนี่น่ายกย่องออก ลองดูสิครับ
ข้อที่สอง จะขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนความคิดดูใหม่
ให้ รักท่านอย่างที่ท่านเป็น อย่าไปรักท่านอย่างที่เราอยากให้ท่านเป็น แม่บอกรักเราด้วยการบ่น ก็จงเข้าใจท่านและรู้จักตัวท่านว่าท่านเป็นอย่างนี้ ยามใดที่ท่านบ่นก็ให้คิดเสียว่าท่านกำลังบอกรักเรา เพราะถ้าคุณอยากรักท่านอย่างที่อยากให้ท่านเป็น แสดงว่าคุณอยากให้ท่านชมเราก่อน เราถึงจะรัก ผมว่าอย่างนี้มันตื้นๆ อย่างไรไม่รู้
ผจญภัยในความรักให้สนุกนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้
ที่มา มติชน วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน หน้า 17
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น