วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ฝันร้าย - วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2547

ฝันร้าย - วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2547

คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์

ในฝันนั้น ผมนั่งอยู่เบาะหลังรถที่คล้ายๆ รถตะลุยป่า ข้างๆ ผมมีผู้ชายสองคนนั่งขนาบข้างอยู่ ส่วนด้านหน้าถ้ารวมคนขับก็ยังมีอีกสองคน

อัน ที่จริงจะเรียกว่ารถตะลุยป่าก็ไม่เชิงนัก เพราะด้านข้างของตัวรถทั้งซ้ายขวาติดตั้งอาวุธที่วงการทหารเขาเรียกว่าอาวุธ หนักเต็มอัตรา ส่วนด้านหลังเบาะของผมก็ยังเป็นที่ตั้งของปืนกลขนาดใหญ่อีกกระบอก ไกปืนของมันยังห้อยมาใกล้ๆ ศีรษะผมอยู่บ่อยๆเวลารถวิ่งตกหล่ม

สอง คนที่นั่งข้างๆ ผมนั้น คนหนึ่งเขาบอกผมว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนอีกคนหนึ่งเขาเป็นนักรบ คนหลังนี้เขาไม่ได้บอกอะไรแต่ผมดูจากการแต่งตัวที่ตามแขนเสื้อและขากางเกงมี มีดพกและปืนผาหน้าไม้เหน็บอยู่เต็มตัวไปหมด

คนขับรถนี่ก็แต่งตัว แล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นนักสืบ เพราะเขาสวมโอเวอร์โค้ตทับอยู่ มือขวาแม้จะจับพวงมาลัยแต่ก็ยังใช้นิ้วคีบแว่นขยายไว้ ส่วนคนที่นั่งข้างๆ เขาที่นั่งเงียบมาตลอดทางติดป้ายเล็กๆ ที่อกเสื้ออ่านได้ว่าไกด์

รถกำลังวิ่งไปไหนสักแห่ง ผมรู้แค่นั้น ในฝันเรามักจะไม่ค่อยมีจุดหมาย

ทิวทัศน์ ข้างๆ ถนนที่รถวิ่งผ่านไปก็ล้วนเป็นทิวทัศน์ที่ผมไม่คุ้นตาเลย มันเต็มไปด้วยโขดหิน ชะง่อนผา จะมีต้นไม้ก็เพียงแค่หญ้าสีเหลืองๆ ที่ขึ้นแซมตามไหล่เขา

แล้วรถก็วิ่งมาถึงสถานที่หนึ่งที่ดูคล้ายๆ ภูเขายอดตัด

"เราต้องไปที่ยอดนั่น" ไกด์พูดขึ้น

"เราจะไปทำไม" นักสืบสงสัยเป็นคนแรก

"ระหว่างทางศัตรูเยอะไหม" นักรบเสริม

นักท่องเที่ยวนั่งฟังอยู่ไม่พูดอะไร ว่าแล้วเขาก็ควักกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายไปที่ภูเขา

"ไปกันเถอะ"นักสืบวางแว่นขยายลงข้างๆ ตัวแล้วก็เข้าเกียร์รถเดินหน้าต่อไป ผมว่าเห็นตัวอะไรอยู่ข้างหน้าตรงทางขึ้นเขานะ

" ข้างหน้ามีตัวอะไรอยู่น่ะ" ไกด์พูดขึ้น ดีแล้วที่ผมไม่ได้เห็นคนเดียว เพราะสิ่งที่ผมเห็นนั้นถ้าไปเล่าให้ใครฟังอาจจะบอกไม่ได้ว่ามันคือตัวอะไร

รถจอดลงที่ตีนเขาตรงทางจะที่จะขึ้นเขาพอดี ผมรีบมองไปยังสิ่งแปลกประหลาดที่ผมเห็นมาแต่ไกล

มัน เป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าถังแก๊สใบย่อมๆ ได้ แม้จะไม่ได้เอามือไปจับก็พอจะรู้ว่ามันคงมีผิวนิ่มๆ เพราะเวลาที่มันขยับเหมือนจะหายใจ ผิวของมันก็จะกระเพื่อมตามไปด้วย ขนเส้นเล็กสีน้ำตาลที่ขึ้นรอบๆ ตัวแม้จะไม่มากนักแต่ก็ทำให้มันดูคล้ายผลเงาะลูกใหญ่ๆ

"สัตว์ประหลาดนี่" นักรบลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกทันทีที่รถจอด

พอนักรบเขาพูดว่าสัตว์ประหลาด ผมก็มองเห็นปากเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่หลังขนที่ปกคลุมตัวอยู่ มันมีฟันซี่เล็กๆคล้ายซิปกางเกง

"ใครส่งมันมา" นักสืบทำหน้าที่ของตัวเอง

"เราอย่าไปสนใจเลย เราไปต่อเถอะ" ไกด์มองขึ้นไปบนยอดเขา อะไรบางอย่างบอกผมว่ายอดเขามันสูงขึ้นกว่าตอนที่ผมมองมาจากที่ไกลๆ

เสียง รองเท้ากระทบพื้นถนนเหมือนมีใครคนหนึ่งกระโดดลงไปจากรถ พอผมละสายตาจากยอดเขา ผมก็เห็นนักท่องเที่ยวกำลังเดินเข้าไปที่เจ้าตัวประหลาดที่ขวางทางรถอยู่ เขาเดินพลางหยิบกล้องออกมาเปิดฝาหน้ากล้อง

"กลับมา…อย่าเข้าไป อันตราย" นักรบใช้น้ำเสียงเหมือนออกคำสั่ง

"อาจมีใครส่งมันมาจัดการเราก็ได้" นักสืบหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องไปที่เจ้าสัตว์ประหลาด "มันเป็นตัวอะไรกันแน่"

"เราไปต่อเถอะ" ไกด์พูดประโยคเดิม "เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน"

นัก ท่องเที่ยวยังคงเดินเข้าไปใกล้ๆ "ขอผมรูปเดียวชัดๆ จะเอาไปให้คนที่บ้านดู" เจ้าตัวประหลาดขยับตัวเล็กน้อยคล้ายตอบรับเสียงรบกวน ผมมองเห็นดวงตาเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่หลังเส้นขนแล้ว

ไม่รู้คิดไปเองอีกแล้วหรือเปล่า ผมว่าตามันเศร้าๆ

"ถอยกลับมา เชื่อผม" นักรบกระโดดลงมาจากรถ มือซ้ายมือขวาของเขาตอนนี้จับอยู่ที่ปืนและมีดข้างตัว

นัก ท่องเที่ยวเอากล้องขึ้นแนบหน้า และทันทีที่แสงไฟแฟลชสว่างขึ้น เจ้าตัวประหลาดที่มีแต่ขนก็ส่งเสียงร้องขึ้น นักท่องเที่ยวถอยกรูดจนแทบจะล้มลง

นักรบไม่รอช้า เขาดึงมีดพกที่เหน็บอยู่ข้างกางเกงขว้างไปที่เจ้าตัวประหลาดทันที คราวนี้เสียงร้องมันดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า นักสืบหันมาคว้าปืนที่อยู่ข้างตัวอย่างไม่รอช้า ผมกับไกด์เห็นดังนั้นก็รีบทำตาม ผมนั้นคว้าได้ปืนยาวที่อยู่หลังรถ

หลังจากส่งเสียงร้อง เจ้าตัวประหลาดก็กลิ้งเข้ามาใกล้รถพวกเรา แล้วจู่ๆ มันก็ยืนขึ้น ไม่มีใครรู้เลยว่ามันมีขา

"พันธุ์อะไรนี่ มีเป็นสิบๆ ขา" นักสืบเอาแว่นส่อง ไม่รู้เป็นเพราะมันลุกขึ้นยืนหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่ามันตัวโตขึ้น

ปังๆๆๆๆ เสียงปืนจากปากกระบอกของนักรบดังขึ้น "อย่าให้มันเข้ามาใกล้รถ"

"เราขับรถทับมันเลยดีไหม เดี๋ยวจะไปไม่ถึงยอดเขา" ไกด์ร้องขึ้นทันทีที่นักท่องเที่ยวกระโจนขึ้นมาบนรถ

"ทับมันไหวหรือ คุณดูข้างหน้าสิ" ผมเรียกให้เขาดู

สัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ตอนนี้มันใหญ่เกือบจะเท่ารถของเราแล้ว

นักรบก ระโดดข้ามหัวผมขึ้นไปประจำที่ปืนกลหลังรถแล้วก็สาดกระสุนใส่เจ้าสัตว์ ประหลาดอย่างไม่ยั้ง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ยิ่งมันถูกทำร้ายร่างกายมันก็เริ่มใหญ่ขึ้น

ใหญ่ไม่ใหญ่เปล่า มันยังงอกงวงงอกงาโผล่เล็บแหลมๆ ขนาดดาบอรัญญิกออกมาจากขาเป็นสิบๆ ของมันอีก และพอมันอ้าปากให้เห็นฟันคล้ายๆ เลื่อยไฟฟ้าเป็นร้อยๆ ซี่พร้อมน้ำลายอันเหนียวหนืดของมัน นักสืบก็เข้าเกียร์ถอยหลังหลบออกมาทันที "มันตามเรามา" ผมเห็นดวงตาของมันแสดงอาการโกรธอย่างเห็นได้ชัด

"ชนมันเลย"นักรบออกคำสั่งหลังจากยิงปืนกลหมดชุด

นัก สืบหันมองหน้านักรบแวบหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจหยุดรถที่กำลังถอยหลัง แล้วเข้าเกียร์พร้อมเหยียบครัชและเหยียบคันเร่งให้เครื่องยนต์ทำงานรอ

"รอให้มันวิ่งสวนเข้ามาก่อน" นักรบโบกมือเตรียมให้สัญญาณ

และ ทันทีที่เจ้าสัตว์ประหลาดวิ่งเข้ามาใกล้สุด นักสืบก็ปล่อยคลัตช์ส่งรถทั้งคันวิ่งเข้าชนเจ้าสัตว์ร้าย ผมรีบคว้าโครงเหล็กข้างๆ ตัวเพื่อยึดไว้กันตก

เสียงโครมลั่นไปทั้ง บริเวณ รถเรากระเทือนเหมือนจะหลุดเป็นชิ้นๆ กล้องถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวกระเด็นมาตกที่หน้าตักผม ผมหยิบส่งให้เขาแล้วก็รีบมองไปข้างหน้าเพื่อจะหาเจ้าตัวประหลาดนั่น

"มันหายไปไหนแล้ว"

" ไม่ได้หายหรอก มันยืนคร่อมรถเราอยู่" ผมมองตามนิ้วชี้ของนักรบที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้าคุณพระช่วย ตอนนี้มันตัวใหญ่เกือบจะเท่าภูเขาอยู่แล้ว

เร็วเท่าความคิด นักสืบใช้โอกาสนั้นเหยียบคันเร่งส่งรถวิ่งมุดขามัน พุ่งตรงเข้าทางขึ้นภูเขาไปทันที ผมรีบหันหลังมองย้อนกลับไป

"มันตามมาหรือเปล่า" นักสืบร้องถาม

"เปล่า"ผมมองเห็นมันยืนนิ่งอยู่ไกลๆ

รถของเราวิ่งไปอีกสักพัก ก็เริ่มชะลอ ดูเหมือนเรายังไม่หายตื่นเต้นดีเลย แต่กำลังจะเจออะไรข้างหน้าอีกแล้ว

"เดี๋ยวจะไม่ทันถึงยอดเขานะ" ไกด์ยังเป็นห่วงจุดหมายปลายทาง

นักสืบเหยียบเบรกให้รถจอดสนิท แล้วก็บุ้ยหน้าให้ทุกคนมองไปที่ข้างหน้ารถ

มี สัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งยืนขวางอยู่ พวกเราทั้งห้าคนหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย เจ้าสัตว์ตัวที่เห็นนี้มันมีลักษณะเหมือนเจ้าตัวที่เราเพิ่งหนีมาทุกอย่าง

"เรากลับมาที่เก่า…" ผมรู้เพราะผมจำดวงตาคู่นั้นของมันได้

นักรบยืนขึ้นอีกครั้ง แล้วก็หยิบปืนพกขึ้นมาเล็งไปที่สัตว์ประหลาด เสียงปังดังขึ้น พร้อมๆ กับขนาดของเจ้าสัตว์ร้ายที่ใหญ่ขึ้น

ผมตื่นแล้ว

น่าแปลกใจที่ผมจดจำความฝันเมื่อคืนได้เป็นอย่างดี ภาพมันติดตาเหมือนเปิดดูวิดีโอหนังเรื่องโปรดซ้ำๆ

ผมกำลังทบทวนตัวเอง ว่าวันสองวันมานี้ผมไปทะเลาะอะไรกับใครที่มันไร้สาระหรือเปล่า ผมถึงได้ฝันร้ายอย่างนี้

เพราะผมรู้ว่าไอ้เรื่องที่มันไม่มีประเด็นนี่ ยิ่งทะเลาะมันก็จะยิ่งตัวใหญ่ไปเรื่อยๆไม่แพ้สัตว์ประหลาดตัวนั้น


++++++++++


ประภาส ชลศรานนท์

ที่มาของบทความ - มติชน วันอาทิตย์ หน้า 17

ไม่มีความคิดเห็น: