วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

OSWorkflow

OSWorkflow is fairly different from most other workflow systems available, both commercially and in the open source world. What makes OSWorkflow different is that it is extremely flexible. This can be hard to grasp at first, however. For example, OSWorkflow does not mandate a graphical tool for developing workflows, and the recommended approach is to write the xml workflow descriptors 'by hand'. It is up to the application developer to provide this sort of integration, as well as any integration with existing code and databases. These may seem like problems to someone who is looking for a quick "plug-and-play" workflow solution, but we've found that such a solution never provides enough flexibility to properly fulfill all requirements in a full-blown application.

OSWorkflow แตกต่างจากระบบ workflow อื่นๆ ซึ่งส่วนมากที่มีให้ใช้ทั้งฝั่ง commercial และโลกของฝั่ง open source อะไรทำให้ OSWorkflow แตกต่างตรงมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก เป็นต้นว่า OSWorkflow ไม่มีเครื่องมือกราฟฟิคสำหรับที่พัฒนาworkflows, และการเขียน xml workflow descriptors ด้วยการพิมพ์เข้าไปเอง ทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมสามารถจะจัดบูรณาการได้หลายๆ แบบทั้ง code และ database อาจจะดูเป็นปัญหาให้ใครบางคนซึ่งกำลังรีบค้นหาอย่างรวดเร็ว"plug-and-play" workflow solution , แต่เราไม่เคยพบปัญหาจนขนาดที่มันไม่สามารถจัดเตรียมอย่างพอได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ทำให้บรรลุผลอย่างเหมาะสมเพียงพอตามความต้องการทั้งหมดของ application

OSWorkflow gives you this flexibility.

OSWorkflow can be considered a "low level" workflow implementation. Situations like "loops" and "conditions" that might be represented by a graphical icon in other workflow systems must be "coded" in OSWorkflow. That's not to say that actual code is needed to implement situations like this, but a scripting language must be employed to specify these conditions. It is not expected that a non-technical user modify workflow. We've found that although some systems provide GUIs that allow for simple editing of workflows, the applications surrounding the workflow usually end up damaged when changes like these are made. We believe it is best for these changes to be made by a developer who is aware of each change. Having said that, the latest version provides a GUI designer that can help with the editing of the workflow.

OSWorkflow สามารถพิจารณาได้ตั้งแต่"ระดับต่ำ" ที่จะนำ workflow ไปใช้ สถานการณ์เหมือน"loops"และ"conditions" อาจจะถูกแสดงโดยไอคอนกราฟฟิคในระบบ workflow หรืออื่นๆ"ที่ถูก code "ใน OSWorkflow ภาษาการเขียนสคริปถูกใช้เพื่อเจาะจง conditions มันไม่จำเป็ต้องใช้เทคนิคในการแก้ไขworkflow มากนัก ระบบได้จัดเตรียม GUI ทำให้สามารถแก้ไข workflows ได้อย่างง่ายดาย โดยปกติสิ่งแวดล้อมโปรแกรม workflow บ่อยครั้งที่จะทำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เวอร์ชันท้ายสุดได้มีการจัดเตรียมGUI สำหรับผู้ออกแบบที่ช่วยให้แก้ไข workflow ได้


อ้างอิงจาก http://www.opensymphony.com/osworkflow/

http://wiki.opensymphony.com/display/WF/Manual

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เขาพระวิหาร









ที่นี่แหละที่ทางขึ้นอยู่ฝั่งไทย แต่ตัวปราสาทเป็นของเขมร
ไม่ต้องกลัวครับ ตอนนี้สิทธิ์เป็นของเค้าแล้วไม่ต้องอาศัยความได้เปรียบทางขึ้นกันแล้วครับ
ตอนนี้ทางเขมรสร้างกระเช้าขึ้นปราสาทแล้วเสร็จเร็วๆ นี้

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คอลัมน์ คุยกับประภาส : ทุกๆ คนเป็นคนดี - 23 ม.ค. 2548

คอลัมน์ คุยกับประภาส : ทุกๆ คนเป็นคนดี - 23 ม.ค. 2548



คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์


สวัสดีครับพี่ประภาส


"กับสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราต้องยอมรับมัน และก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน"

คง คุ้นๆ กับคำพูดนี้นะครับ เพราะว่าเป็นประโยคของพี่เอง ตอนนี้ชีวิตผมกำลังเปลี่ยนแปลง คงต้องใช้คำว่ายิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่เคยคิดมาก่อนล่ะครับว่าจะต้องแยกทางเดินกับภรรยา ที่ลำบากใจก็เพราะว่ามีลูกชายตัวเล็กเป็นผู้มาร่วมปัญหานี้ด้วย...

ตอน เด็กๆ สมัยเรียนหนังสือแล้วครูเล่าประวัติพระพุทธเจ้าให้ฟัง ผมเคยสงสัยว่าคนที่ทิ้งลูกเมียตัวเองเพื่อไปหาทางหลุดพ้นทุกข์ส่วนตัวนั้น เราจะนับเป็นคนดีได้ด้วยหรือ ถามผู้ใหญ่คนไหนก็ไม่เคยได้คำตอบที่ดีหรอกครับ พี่คงเดาได้ว่าส่วนใหญ่จะยัดเยียดคำว่าบาปมาให้ผมแทนคำตอบเสมอ

แล้วผมก็ลืมคำถามที่ไม่มีคำตอบนี้ไปกับวันเวลา หรือจะเป็นบาปที่ผมคิดคำถามแบบนี้จริงๆ

ผม เคยคิดเสมอว่าการที่เราพอจะเข้าใจชีวิตและปล่อยวางกับเรื่องส่วนมากได้เสมอ ปัญหาชีวิตคู่นั้นไม่น่าเกิดกับเราได้ เพราะผมคิดเสมอว่ากับคนอื่นคนไกลที่มาทำไม่ดีกับเรา เรายังให้อภัยได้ แล้วทำไมกับคนใกล้ตัวเราจะให้ไม่ได้ และผมก็ปฏิบัติแบบนั้นเรื่อยมา ชีวิตคู่น่ะครับ ดีกันบ้าง งอนกันบ้าง โกรธกันบ้าง ก็อยู่ด้วยกันมาสิบปี จนลูกชายอายุห้าขวบกว่าแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าวันเวลาแห่งความสุขเป็นส่วนมากของชีวิต

แต่ก็มี ปัญหาขึ้นมาจนได้ กับสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ แล้วผมก็ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาจนได้สิครับ ไม่ได้มีมือที่สามอะไรหรอกครับ แค่เป็นเส้นที่เขาข้ามมาที่ผมยอมรับไม่ได้ และคิดว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ แล้ว เหมือนเหตุผลทั่วไปที่พี่เคยได้ยินมานั่นแหละครับ

ที่กังวลก็มีแต่ ลูกชายเท่านั้น ผมคลุกคลีกันมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เขา หาเพลงคลาสสิคพวก Mozart for morther to be, Beethoven lullabies for mother and child แล้วก็พวก Nature sounds and music แบบที่เป็นเพลงบรรเลงเบาๆ แล้วมีเสียงฝนตก นกร้องเพลง เสียงจิ้งหรีด เสียงจักจั่น เรไรแว่วๆ มาเปิดให้ฟัง แล้วก็ลูบคลำท้องแม่เขาเล่านิทาน ร้องเพลงผีเสื้อ แมงมุมลายตัวนั้น ท่องอาขยาน เล่านิทานให้ฟังตั้งแต่ยังดิ้นเล็กๆ ในท้องแม่ เป็นสัญญาณตอบรับว่าผมฟังอยู่นะพ่อ

จนโตขึ้นมาหน่อยก็ วาดรูป ร้องเพลง เล่นต่อสู้ ต่อเลโก้ รถบังคับ จนถึงออกไปเล่นว่าว ก่อปราสาททราย แล้วมานั่งกินมาม่ากรอบๆ เป็นขนมแกล้มกับน้ำแดงดูแสงหิ่งห้อยด้วยกัน รอให้แม่เขามาว่าๆ ให้ลูกกินของแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวไปอืดในท้อง

(ผมว่าเขาคงจำมาจากผู้ใหญ่สมัยก่อนอีกที เพราะผมกินตั้งแต่เด็กจนสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว ก็ยังโดนว่าอยู่ ฮะ ฮะ)

ที่ เล่าให้ฟังก็เพราะเรากำลังจะแยกกันอยู่ ภรรยาผมเป็นนักธุรกิจ เธอเก่งไปทางการค้า ส่วนเรื่องเล็กๆ เธอไม่ค่อยสังเกต การ์ตูนเธอก็ไม่รู้จัก โดเรม่อนยังไม่รู้จัก เธอคล้ายๆ คนที่ถ้าเราเดินไปที่จุดหมายด้วยกันก็จะเร่งให้เราเดินตรงไปให้ถึงเร็วๆ ถ้าแวะชมทุ่งชมหญ้าก็จะโดนดุว่าเอา

ภรรยาผมเขาก็บอกว่าเขารู้ว่า เจ้าลูกชายมองโลกและคิดในมุมคล้ายๆ ผม ถ้าได้ไปอยู่กับผมก็จะดี แต่อย่างไรเธอก็จะเอาลูกไว้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ถึงจะอยากพาลูกไปด้วยจนน้ำตาไหล ชีวิตที่เราเข้าใจว่าต้องยอมรับนี่ อธิบายไม่ง่ายเลยนะครับ โดยเฉพาะเวลาที่ลูกชายถามเราว่า

พ่อจะทิ้งเขาไปหรือ...พ่อไม่รักเขาแล้วหรือ...เขาทำอะไรผิดหรือ ตามความเข้าใจของเขาครับ

ผม สอนเขาเสมอว่าให้รู้สึกเสียใจในสิ่งที่เราทำผิดครับ พอบอกว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เขาบอกว่าเขาต้องทำผิดอะไรสักอย่างแน่ๆ พ่อกำลังทำโทษเขาใช่ไหม เขาแอบกินคุกกี้แทนข้าวใช่ไหม หรือเขาไม่เก็บของเล่น...พ่อไม่ไปได้ไหม เขาสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี

ผมโตมากับสมัยรายการวิทยุโลกสวยด้วยเพลง ผมคุ้นเคยกับเพลงของกลุ่มคีตกวีเพลงหนึ่ง "ทุกทุกคนเป็นคนดี" ผมเชื่อเสมอว่าผมเป็นคนดี

แต่ วันนี้คำถามเก่าๆ ก็กลับมาอยู่ในใจผมอีกครั้ง ว่าผู้ชายที่ทิ้งลูกเมียตัวเอง เพื่อไปหาทางหลุดพ้นทุกข์ส่วนตัวนั้น เราจะนับเป็นคนดีได้ไหม


ขอนลอย


=========================================


คำถามของคุณขอนลอยฟังดูน่ากลัวนะครับ ยิ่งสำหรับคนเฒ่าคนแก่นี่อาจจะรับไม่ได้เลย

ตอน ที่ผมตัดสินใจจะตอบจดหมายคุณขอนลอย ผมตั้งใจไว้ว่าก่อนที่ผมจะเขียนตอบผมจะไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด และก็ไปที่โต๊ะหมู่บูชาเพื่อสวดมนต์กราบพระทำจิตใจให้มีสมาธิก่อนจะมาตอบ

ใคร ที่เป็นแฟนคอลัมน์นี้คงพอจะนึกออกว่า ผมได้เขียนถึงพระบรมศาสดาของเราอยู่บ่อยๆ เขียนถึงธรรมอันเป็นข้อหลักของพุทธศาสนาบ้าง เขียนถึงเรื่องราวตอนพระองค์ยังเป็นเจ้าชายเสด็จออกผนวชบ้าง ใครอ่านดูก็รู้สึกได้ว่ามุมมองของผมนั้นคล้ายกับว่าผมมองพระพุทธเจ้าอย่าง มนุษย์ ผมมักพูดเสมอว่าพระองค์คือ "มนุษย์ผู้ค้นพบ" และสิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้นยิ่งใหญ่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่เชื่อไหมครับเอาเข้าจริงๆ ถึงตอนที่ผมนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป ผมกลับรู้สึกว่าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์

ไม่ใช่มนุษย์แล้วเป็นอะไร เป็นเทพ เป็นพระเจ้า?

ผมรู้สึกว่าพระองค์เป็น "ศรัทธา"

ยอมรับครับว่าอธิบายยากเรื่องความรู้สึกว่าพระองค์เป็น "ศรัทธา" นี่ แต่ผมเชื่อคนไทยหลายคนน่าจะมีความรู้สึกอย่างผม

ทุก ครั้งที่ผมกราบพระสามหน ผมจะนึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ นามธรรมทั้งสามนี่แหละครับที่พอจะอธิบายความรู้สึกศรัทธาในพระบรมศาสดาของผม

วันนี้หลังจากที่กราบสามครั้งสุดท้ายเสร็จ ผมก็ยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา มองพระพักตร์ของพระพุทธรูปนิ่งอีกพักใหญ่ ไม่รู้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้ท่านมีรอยยิ้มคล้ายๆ ผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก

ไม่รู้ว่าท่านกำลังเอ็นดูผมหรือเอ็นดูคุณขอนลอยอยู่

แล้วภาพเมืองกบิลพัสดุ์ก็ลอยขึ้นมาตรงหน้า

บาง ทีตอนที่คุณขอนลอยตั้งคำถาม คุณขอนลอยอาจจะลืมจินตนาการไปว่า ครอบครัวในอินเดียโบราณเขาอยู่กันอย่างไร สามีภรรยาและบุตรเขาอยู่กันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวรรณะกษัตริย์

แต่ผมว่ากษัตริย์เขาคงไม่อยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูกแน่ๆ

แล้วภาพของกองทัพ ข้าทาสบริวาร นางสนม เหล่าเสนาอำมาตย์และประชาราษฎร์ก็ปรากฏขึ้นมาเต็มมโนภาพผมไปหมด

ถึงตอนนี้ผมมีคำถามที่ลอยขึ้นมาถามคุณขอนลอยกลับบ้างแล้วนะครับ

ถาม ว่า กษัตริย์ที่ต้องจำพราก(หรือคุณขอนลอยจะเรียกว่าทิ้งก็ได้) จากมเหสีและพระโอรสไปรบทัพเพื่อปกป้องบ้านเมืองและไพร่ฟ้าประชาชนนั้นเรียก ได้ว่าเป็นคนดีไหม?

บางทีคุณขอนลอยอาจจะนึกถึงคำว่า "เสียสละ" ไม่ออก เลยใช้คำว่าทิ้งลูกเมียแทน

กษัตริย์ หลายพระองค์ในประวัติศาสตร์ ต้องจากบ้านจากลูกเมียไปรบทัพจับศึกเป็นปีๆ นะครับ ที่ถูกแล้วต้องเรียกว่าเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวมด้วยซ้ำ

เจ้าชายสิทธัตถะนั้นยิ่งกว่ากษัตริย์ทุกพระองค์บนโลก เพราะพระองค์มิได้เสียสละเพื่อประชากรเมืองใดเมืองหนึ่ง

พระองค์เสียสละความสุขในพระราชวัง เสียสละความเป็นครอบครัว เพื่อไปรบทัพจับศึกกับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ "ความทุกข์" ที่ สำคัญพระองค์ไม่ได้แสวงความหลุดพ้นเพียงส่วนตัวเลย สิ่งที่พระองค์ทำทั้งหมดหลังจากตัดพระเกศาที่ริมฝั่งเนรัญชรา ก็คือต้องการค้นหาหนทางที่จะสยบความทุกข์เพื่อมาบอกแก่คนทั้งโลก

และ ถ้าคุณขอนลอยศึกษาพุทธประวัติสักหน่อย คุณขอนลอยก็คงจะรู้เพิ่มเติมอีกว่า หลังจากพระองค์ตรัสรู้ประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ยังทรงเสด็จมาแสดงธรรมโปรดพระญาติ รวมไปถึงพระชายาและพระโอรส จนได้บรรลุโสดาบัน โดยภายหลังพระราหุลยังได้บวชในพุทธศาสนา ศึกษาธรรมจนสำเร็จอรหันต์

ส่วนปัญหาชีวิตส่วนตัวของคุณขอนลอยนั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าเห็นใจ ไม่ว่าผมหรือใครๆ ก็คงแก้ให้ไม่ได้ อีกทั้งดูจากจดหมายแล้ว คุณขอนลอยเองก็ไม่ได้มุ่งมาดจะให้ใครมาแก้ปัญหาให้ แม้ผมอยากจะบอกคุณเต็มแก่ว่า เส้นที่คุณว่าภรรยาของคุณข้ามนั้นมันสำคัญว่าครอบครัวจริงๆ หรือ มันสำคัญถึงขนาดเป็นความเป็นความตายของมนุษยชาติเชียวหรือ

ลองหาหนังสือพุทธประวัติมาอ่านดูสิครับ บางทีคุณขอนลอยอาจจะเจอคำตอบของตัวเองในประวัติของพระองค์



ประภาส ชลศรานนท์


ที่มาของบทความ - มติชน วันอาทิตย์ หน้า 17 จากเวป Thaimung.com

-------------------------------------------------------------

อ่านครั้งแรกก็คิดไม่ถึง ถึงการที่ต้องมองอีกแง่นึงตอนพระพุทธเจ้าออกบวช ท่านทิ้งพระชายาและพระราชบุตรได้อย่างไร

คนไทยถูกสอนให้เชื่อก่อน เหตุผล ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่ เริ่มด้วยศรัทธาอาศัยเหตุผล ตามกาลามสูตร อาจจะเป็นไปได้ไหมครับว่าก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเดินตามกรรม แต่พอตรัสรู้แล้วกรรมตามไม่ทัน ไม่ส่งผลมากมายนัก บวกกับทรงมีเมตตาโปรดสัตว์ด้วยก็ไม่รู้

Knowledge to Workflow

Hypertext to Knowledge to Workflow

Workflow and Knowledge Management

Workflow and Knowledge Management: Approaching an Integration

FRODO TaskMan - A workflow system for supporting knowledge work


zFlow; Workflow:workflow management systems workflow automation ...

Workflow Solutions

Workflow Solutions

http://www.open-source-development.com/workflow.shtml

Workflow incorporated in solutions enables the tracking of user tasks within an application. Workflow defines the steps or approval levels that a task has to go through before it is complete. In the realm of web publishing, a workflow can be defined for publishing content on a website. The administrator can define the workflow steps – Step1 – publisher can create the content item. Step2 – the content item is sent to the reviewer. Step3 – In case of any problem the reviewer can send the content item back to the publisher or to the editor. Step4 – On approval the content item can be sent for publishing.

At Icreon, we help clients in implementing and incorporating workflow within their solutions thereby enabling them to track and monitor activities/processes.

Features
The basic features of a workflow implementation include the following:

  • Role based access: User’s access within the application is restricted to the roles assigned to them. Roles can be assigned on the basis of the tasks that the user has to perform within the application. Administrator roles can be assigned to users who have full control over the applications.
  • Workflow Definition: Our solutions provide administrators with the options to define the workflow that is to be followed in performing the tasks. The administrator can define the various steps that are to be followed and the users/user groups authorized to perform the role. The various statuses that can be set for workflow activities can also be defined by the administrator.
  • Workflow Activity: The workflow process begins with the first step defined by the administrator. The user group assigned to the first step can access the application and perform the necessary tasks. They can assign the task to other users. On completion, the task moves to the next step in the workflow.
  • Task List: All the tasks that have been assigned to user are displayed in the task list for the user. The user can view the details of the task and perform any necessary action. The task list displays all the pending tasks available for a user.
  • Log: The system maintains a log of every workflow activity. Log reports can be generated and viewed by the administrator. Details such as the name of the user who performed the task, the date on which the task was started and completed, the current status of the task etc. The log enables the administrator to keep track and monitor the activity within the application.
  • Other Tools: Various tools such as reminders, schedulers etc can be integrated with the application to aid in the workflow activities. Users can set alerts/reminders for any pending tasks etc.

Advantages
Implementing open source workflow management software solutions in applications offer the following advantages:

  • Structure: Defining a workflow for a process streamlines and adds structure to a process.
  • Role Definition: The roles of the user within the activity as well as the application are clearly defined. Users can concentrate on their activities.
  • Accountability: Having a workflow in place enables the tracking of user activity.

Icreon has implemented workflows in a variety of applications enabling clients to enjoy the benefits that open source workflows management software solutions have to offer.

Workflow Management Coalition

ระบบการจัดการกระแสงาน
ระบบการจัดการกระแสงาน คือ ระบบการจัดการอัตโนมัติ สำหรับกระบวนการทางธุรกิจ (business process) (กระบวนการทางธุรกิจ หมายถึง อันดับของกิจกรรมตามลำดับขั้นตอนเพื่อให้ได้งานที่สำเร็จตรงตามเป้าหมายของ ธุรกิจ) เพื่อประหยัดเวลาที่ต้องเสียไปในการทำงาน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการทำงานและทำให้การปฏิบัติภารกิจได้ราบรื่น

วัตถุประสงค์ของการพัฒนาระบบกระแสงาน คือ
- การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- การลดค่าใช้จ่ายการดำเนินการ
- การลดความซ้ำซ้อน
- การอำนวยความสะดวกในการเรียกใช้เอกสาร
หน้าที่ของระบบกระแสงาน
- การส่งเอกสารโดยอัตโนมัติ สามารถส่งข้อความ เอกสาร งาน ไปตามเส้นทางต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ ตามที่ได้กำหนดไว้ระหว่างการเขียนแผนภูมิกระแสงาน (workflow diagram) ซึ่งผู้ใช้ระบบจะต้องวิเคราะห์ออกแบบกระบวนการทำงาน และกำหนดรายละเอียดต่างๆ ขององค์ประกอบของระบบการจัดการกระแสงาน
- การกำหนดค่าตัวแปร ระบบสามารถกำหนดค่าตัวแปรที่ใช้กำหนดกฎการทำกิจกรรม หรือกฎทางธุรกิจ
- การควบคุมกิจกรรม ระบบสามารถกำหนดควบคุมการทำกิจกรรมว่าได้ถูกกระทำ และรับการยืนยันการสำเร็จของงาน โดยอาจให้มีข้อยกเว้นได้สำหรับกรณีฉุกเฉิน
- การนำเข้าและส่งออก ระบบควรมีความสามารถในการนำแฟ้มเข้า (import) และส่งแฟ้มออก (export) เพื่อเปิดโอกาสให้มีการติดต่อกันกับระบบงานข้างเคียง
- การบันทึกงานแต่ละขั้นตอน ระบบจะช่วยเก็บรายละเอียดของเวลาแต่ละขั้นตอนไว้ทั้งหมด เพื่อนำไปประเมิน พัฒนา และปรับปรุงกระแสงานต่อไป
ความสามารถของระบบกระแสงาน
- การมอบหมายงาน ระบบสามารถมอบหมายงานกระจายไปให้ผู้ปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม
- การจัดตารางเวลา ระบบสามารถจัดตารางเวลางานให้ตามความเร่งด่วน ผู้ใช้ระบบจะถูกกำหนดบทบาท สิทธิ หน้าที่ในการทำงานในกระแสงาน โดยผู้บริหารระบบกระแสงาน (workflow system administrator)
- การแสดงรายการงานที่ยังไม่ได้ดำเนินการ
- การแสดงสถานภาพของงาน ระบบสามารถจัดทำสถานภาพความก้าวหน้าและตารางแสดงความสัมพันธ์ของงาน ทุกครั้งที่รายการของกิจกรรมได้เริ่มต้นตามกระแสงาน
ประโยชน์ของการจัดการกระแสงาน
- การบันทึกกระบวนการทางธุรกิจ ระบบมีการบันทึกผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางธุรกิจแบบครบวงจร
- การวิเคราะห์และออกแบบกระบวนการทำงาน ผู้รู้งานที่แท้จริงเป็นผู้ให้ข้อมูลสร้างแผนภูมิกระบวนการทำงานที่สั้น กะทัดรัด ขจัดงานที่ไม่มีคุณค่าเพิ่ม ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การจัดระเบียบการทำงานใหม่
- การแก้ไขเอกสาร ข้อมูลที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงในเอกสารในขณะเดินเอกสารไปตามหน่วยงานต่างๆ จะได้ข้อมูลที่ทันสมัยตลอดเวลาและสามารถเปิดใช้ร่วมกันได้
- การทำงานโดยอัตโนมัติ
- การลดเวลาในการผลิตชิ้นงาน
- การสร้างความได้เปรียบ
ประเภทของการจัดการกระแสงาน
1. กระแสงานด้านสายการผลิต
กระแส งานด้านสายการผลิต (production workflow) จะเกี่ยวข้องกับงานที่ยุ่งยากซับซ้อน มีโครงสร้างของกระบวนการทางธุรกิจที่ชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมหลายอย่างโดยมีผู้ปฏิบัติรับผิดชอบแยกกันไป เอกสาร สารสนเทศ และงานต้องถูกส่งต่อๆ ไป ตามขั้นการพิจารณางาน ปัจจุบันกระแสงานส่วนมากถูกนำมาใช้เน้นการประมวลผลรายการเปลี่ยนแปลง
2. กระแสงานเพื่องานเฉพาะกิจ
กระแส งานเพื่องานเฉพาะกิจ (ad hoc workflow) จะเกี่ยวข้องกับงานและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แล่ละเหตุการณ์แตกต่างกันไปในรายละเอียด มักเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติงานที่มีความชำนาญงานในแต่ละด้านมาประสานงานกัน ในการทำโครงการร่วมกัน กระแสงานเฉพาะกิจจะมีขั้นตอนการทำงานที่ไม่ซ้ำกับงานที่ทำอยู่เป็นประจำทุก วัน
3. กระแสงานด้านธุรการ
กระแสงานด้านธุรการ (administrative workflow) จะเกี่ยวข้องกับงานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก งานที่ทำซ้ำๆ เป็นประจำ เป็นขั้นพื้นฐานที่มีการใช้แบบฟอร์มที่มีใช้อยู่เดิม รวมถึงงานธุรการทั่วไป ซึ่งไม่ใช่งานหลักแต่เป็นงานเสริม งานกลุ่มนี้มักเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติงานภายในสำนักงานไม่เกี่ยวข้องงานบ ริกาลูกค้าเป็นงานที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยนัก
4. กระแสงานเพื่องานที่ต้องการความร่วมมือ
กระแส งานเพื่องานที่ต้องการความร่วมมือ (collaborative workflow) เป็นกระแสงานที่ทำให้เกิดการประสานงานกันของขั้นตอนการทำงานร่วมกันจากหลายๆ หน่วยงาน เพื่อบรรลุเป้าหมาย ระบบกระแสงานนี้มีความสามารถเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศเดิมหลายระบบให้สามารถ ติดต่อส่งข้อมูลเอกสารเพื่อใช้ในการทำงานได้อย่างอัตโนมัติ
พัฒนาการของการจัดการกระแสงาน
ได้ปรับเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง เป็น 4 ยุค ดังนี้
1. ระบบติดตามการเดินเอกสารภายใต้ระบบปฏิบัติการดอส
ใน ช่วงประมาณปี ค.ศ.1980-1989 เป็นระยะที่ไมโครคอมพิวเตอร์เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีระบบปฏิบัติการดอส การติดต่อกับผู้ใช้ระบบจะเป็นตัวอักษร (character based) ส่วนทางภาครัฐเองจะเห็นว่าในทุกกระทรวงต่างมีระบบงานที่ช่วยเหลือกองกลาง สารบรรณในการลงบันทึกรับส่งเอกสารราชการ อาจมีไมโครคอมพิวเตอร์ในการลงวันที่เวลารับเอกสาร แทนสมุดบันทึกอย่างแต่ก่อน ถ้ากระทรวงใดมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์อยู่แล้วและมีระบบฐานข้อมูลใช้งานร่วม กันได้ ระบบการติดตามเอกสารก็จะมีประโยชน์มากขึ้น ส่วนเอกสารตัวจริงยังคงต้องส่งทางพนักงานเดินเอกสาร เพราะว่าเทคโนโลยีด้านฮาร์ดแวร์ทั้งระบบการกราดภาพ และความจุของฮาร์ดดิสก์ยังมีขนาดเล็ก และความเร็วของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายก็ยังเป็นข้อจำกัดอยู่
2. ระบบติดตามการเดินเอกสารภาพลักษณ์แบบอัตโนมัติ
ช่วง ประมาณปี ค.ศ.1990-1993 เมื่อเริ่มมีการใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (windows) ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของระบบเอกสารภาพลักษณ์ (document imaging) มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น จึงผนวกความสามารถของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาทำงานร่วมกับระบบจัดการ เอกสารภาพลักษณ์ แม้ระบบการเดินเอกสารอัตโนมัติในขณะนั้นจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ งานได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับการไม่ได้ใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเลย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่น่าจะพัฒนาต่อไปได้
3. ระบบจัดการกระแสงาน
ระบบ จัดการกระแสงานในยุคนี้เป็นวิวัฒนาการด้านเอกสารภาพลักษณ์ที่ต่อเนื่องไปสู่ การส่งมอบงานเอกสารภาพลักษณ์ที่เข้าสู่ระบบแล้วจะถูกถ่ายทอด และมอบหมายงานหรือเอกสารภาพลักษณ์ต้นฉบับไว้ที่ฐานข้อมูลหลักส่วนกลางเช่น เดิม ข้อมูลที่เดินทางไปตามเครือข่ายจึงมีขนาดไม่มากตามข้อความและภาพในเอกสารภาพ ลักษณ์ ผู้ปฏิบัติงานจะได้รับแจ้งงานที่ต้องปฏิบัติทันทีในรายการงานที่ยังไม่ได้ ดำเนินการแยกออกจากตู้จดหมายปกติ
4. การรื้อปรับระบบ
เมื่อกระแสการ ปรับปรุงการบริหารงานเริ่มเน้นหนักในการปรับรื้อองค์การ หรือยกเครื่ององค์การ ซึ่งต้องมีการปรับกระบวนการทำงานใหม่โดยเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้ได้งานและ บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ องค์การต้องวิเคราะห์ออกแบบกระแสงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด และต้องสามารถติดตามงานได้อย่างอัตโนมัติ
การรื้อปรับระบบหรือรีเอ็นจิ เนียริ่ง หมายถึง การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงาน หรือวิธีการทำงานขององค์การ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้องค์การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทั้งนี้รวมถึงการเปลี่ยนโครงสร้างองค์การ วัฒนธรรม ทัศนคติในการทำงาน และกฎระเบียบ
ซอฟต์แวร์เพื่อการจัดการกระแสงาน
1. คุณลักษณะของซอฟต์แวร์เพื่อการจัดการกระแสงาน
ซอฟต์แวร์เพื่อการจัดการกระแสงาน ประกอบด้วยความสามารถด้านต่างๆ ดังนี้
- การใช้เครื่องมือ โดยมีเครื่องมือเขียนแผนภูมิกระแสงานแบบคงที่ มีแบบสำเร็จรูปมาให้เริ่มต้นได้ง่ายขึ้น เครื่องมือสัญลักษณ์ที่ใช้อยู่ในแผนภูมิกระแสงาน จะมีจุดเชื่อมต่อกันถึงกันซึ่งแทนเส้นทางการเดินเอกสารจากจุดหนึ่งไปยังอีก จุดหนึ่ง
- การจัดเก็บ มีระบบการเก็บรายชื่อผู้ปฏิบัติงาน พร้อมทั้งหมายเลขประจำตัวและรหัสผ่านเพื่อเข้ามาใช้ระบบการจัดการกระแสงาน
- การกำหนดคุณสมบัติ สามารถกำหนดคุณสมบัติของวัตถุแต่ละชนิดได้อย่างละเอียด
- การออกแบบ สามารถออกแบบแผนภูมิกระแสงานตามกฎทางธุรกิจที่ซับซ้อนได้อย่างครบถ้วน
- การกำหนดเวลา สามารถกำหนดเงื่อนเวลาในการใช้ปฏิบัติงานของแต่ละชิ้นงาน
- การกำหนดงาน สามารถจัดเรียงรายการงานที่ยังไม่ได้ดำเนินการ ให้มีทางเลือกได้หลายลักษณะ
- การติดต่อ สามารถติดต่อข้อความที่ใช้เพื่อการเชื่อมต่อระหว่างระบบให้สามารถทำงานร่วม กันได้ผ่านการรับส่งข้อความที่ไม่จำเป็นต้องเป็นไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
- การกระตุ้นการทำงาน สามารถกำหนดและกระตุ้นการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน
- การใช้งานง่าย ระบบควรใช้งานง่าย และสามารถผสมผสานระบบงานต่างๆ ขององค์การ
- การรองรับการขยายตัว สามารถรองรับการขยายตัวและปริมาณเอกสารที่เพิ่มมากขึ้น
- การสำรองข้อมูล มีระบบการสำรองข้อมูลโดยอัตโนมัติ
- การแบ่งแยกระบบ มีความสามารถในการแบ่งแยกระบบที่กำลังพัฒนาแก้ไขอยู่กับระบบงานที่ใช้งานจริงอยู่ในกระแสงาน
- การเก็บประวัติ สามารถเก็บประวัติและสถิติของการทำงานในกระแสงาน
2. ประเภทของซอฟต์แวร์การจัดการกระแสงาน
ซอฟต์แวร์ การจัดการกระแสงานจำแนกได้ 2 ประเภทคือ ซอฟต์แวร์การจัดการกระแสงานเพื่อระบบงานเฉพาะ และซอฟต์แวร์การจัดการกระแสงานเพื่อพัฒนาระบบงาน
- สำหรับระบบงานเฉพาะ เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามงานของระบบ สารสนเทศสำนักงาน ระบบสารสนเทศบางระบบมีการออกแบบให้มีวิธีการจัดการกระแสงานเข้าไปในระบบด้วย เช่น ระบบสารสนเทศควบคุมสินค้าคงคลัง ระบบสารสนเทศการสั่งซื้อ เป็นต้น ตัวอย่างซอฟต์แวร์เช่น สมาร์ทสตรีม (SmartStrem)
- สำหรับพัฒนาระบบการจัดการกระแสงาน เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบและสร้างระบบงานกระแสงาน ซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะประกอบด้วยเครื่องมือที่ใช้พัฒนาระบบ ได้แก่ เครื่องมือเขียนแผนภูมิกระแสงาน เครื่องมือในการสร้างแบบโมเดล และยังสามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่างๆ
มาตรฐานของระบบการจัดการกระแสงาน
ใน ปีค.ศ. 1993 มีการก่อตั้ง Workflow Management Coalition (WfMC) หรือเรียกว่า ดับบลิวเอฟเอ็มซี ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของผู้ผลิตซอฟต์แวร์การจัดการกระแสงานหลายรายและนัก วิชาการ เพื่อช่วยกันกำหนดมาตรฐานสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์การจัดการกระแสงาน
1. ความหมายและความสัมพันธ์ของคำศัพท์มาตรฐานในการจัดการกระแสงาน
- กระบวน การทำงาน (business process) หมายถึง วิธีการทำงานของหลายกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ หรือนโยบายขององค์การ
- นิยามของกระบวนการทำงาน (process definition) จะมีรายละเอียดของกระบวนการทำงานที่แสดงให้เห็นเครือข่ายของกิจกรรมของ ธุรกิจว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร
- กิจกรรม (activity) หมายถึง หน่วยของการทำกิจกรรมย่อยที่ประกอบกันเป็นกระบวนการทำงาน
- ระบบการจัดการกระแสงาน (workflow management system) หมายถึง ระบบที่จะควบคุมกำกับการไหลไปของกระแสงาน ซึ่งซอฟต์แวร์ในการทำงานนี้เรียกว่า เวิร์คโฟลว์เอนจิน
- การทำกระบวนการแต่ละครั้ง (process instances หรือ activity instances) หมายถึงแต่ละครั้งเหตุการณ์ของกระบวนการทำงานหรือหนึ่งกิจกรรมย่อยที่เกิด ขึ้นตามนิยามกระบวนการทำงาน
2. โมเดลอ้างอิงกระแสงาน
ข้อกำหนดและ มาตรฐานในการเชื่อมระบบการจัดการกระแสงาน ได้ถูกรวบรวมสรุปเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรม เพื่อแสดงการเชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งแผนภูมินี้เรียกว่า โมเดลอ้างอิงกระแสงาน (workflow reference model)
โมเดลอ้างอิงกระแสงาน
การจัดแบ่งระบบในระดับภาพรวม โดยพิจารณาตามหน้าที่การทำงานในระบบการจัดการกระแสงานแบ่งได้ดังนี้
- บิวด์ ไทม์ ฟังก์ชัน (build time function) หมายถึง ซอฟต์แวร์ส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้าง หรือเขียนแผนภูมิกระแสงาน กำหนดแบบจำลองของกระแสงาน กำหนดวิธีการทำงานในแต่ละขั้นตอน การบันทึกรายละเอียดของนิยามกระบวนการทำงาน
- รัน ไทม์ คอนโทรล ฟังก์ชัน (run time control function) หมายถึง ซอฟต์แวร์ส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลกระแสงานในขณะปฏิบัติงานอยู่ในแต่ละ เหตุการณ์ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ เงื่อนไขที่กำหนดไว้
- รัน ไทม์ อินเตอร์แอคชัน (run time interaction) หมายถึง ซอฟต์แวร์ส่วนที่ทำหน้าที่ติดต่อโต้ตอบกับผู้ใช้ระบบงาน และติดต่อกับระบบงานประยุกต์ที่ต้องถูกเรียกขึ้นมาทำหน้าที่ในกิจกรรมหนึ่ง
ข้อควรพิจารณาในการประยุกต์การจัดการกระแสงาน
1. ความพร้อมขององค์การ
องค์การ ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมขององค์การโดยให้การอบรม ชี้แจงถึงประโยชน์ของระบบการจัดการกระแสงานและการปรับรื้อระบบขององค์การ เพื่อลดกระแสการต่อต้านจากผู้ปฏิบัติงาน
2. การวิเคราะห์ออกแบบกระแสงาน
นัก วิเคราะห์ระบบ และผู้ใช้งานปลายทางร่วมกันกำหนดรายละเอียดของกระบวนการทำงานแบบใหม่ โดยอาศัยกราฟิกใช้ในการติดต่อกับระบบ ระบบจัดการกระแสงานที่ไม่ผ่านการวิเคราะห์ออกแบบที่ดี จะไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
3. ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน
การเชื่อม ต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งในระบบ การจัดการกระแสงาน องค์การควรจัดเตรียมให้มีเครือข่ายที่มั่นคง เพื่อให้การทำงานของระบบการจัดการกระแสงานดำเนินต่อไปได้อย่างอัตโนมัติ
4. ความยืดหยุ่นของซอฟต์แวร์ระบบการจัดการกระแสงาน
ซอฟต์แวร์ ระบบการจัดการกระแสงานต้องสามารถเชื่อมต่อระบบการจัดการกระแสงานระบบที่สอง ได้ การติดตั้งระบบและจัดเตรียมการใช้งานไม่ควรยุ่งยากมากนัก สามารถดูแลบำรุงระบบให้สามารถทำงานได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ และสามารถใช้งานได้กับฮาร์ดแวร์ขนาดต่างๆ กัน
5. ความช่วยเหลือและบริการหลังการขาย
องค์การ ควรทำข้อตกลงที่ชัดเจนว่าบริการนั้นครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง เป็นระยะเวลานานเท่าใด มีกำหนดระดับการบริการที่ชัดเจน และกรณีที่ซอฟต์แวร์มีการปรับปรุงเป็นรุ่นที่ใหม่ขึ้น องค์การจะสามารถติดตั้งระบบการจัดการกระแสงานรุ่นใหม่ได้โดยมีค่าใช้จ่ายใน การบำรุงรักษาเป็นจำนวนตามที่ตกลงกับผู้ขายไว้

อ้างอิงจาก http://muyong.multiply.com/journal/item/8

The Workflow Management Coalition
http://www.wfmc.org/

Workflow Patterns home page (http://www.workflowpatterns.com


WfMOpen

Welcome to the WfMOpen project

WfMOpen is a J2EE based implementation of a workflow facility (workflow engine) as proposed by the Workflow Management Coalition (WfMC) and the Object Management Group (OMG)http://wfmopen.sourceforge.net/

http://msit.cp.su.ac.th/msit4/doc/seminar/Group2/2_49309310_ChanunyaNeam.pdf

http://www.geocities.com/comapp45201993/ch03.html

http://computer.pcru.ac.th/emoodledata/16/lesson_doc/lesson_4.doc

jBpm.org - java Business Process Mgmt

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Workflow relate





















An activity based Workflow Engine for PHP
http://www.tonymarston.net/php-mysql/workflow.html

http://workflow.tikiwiki.org/tiki-index.php


http://www.cuteflow.org/

Diploma thesis:Feasibility Study on a Graphical Workflow Editor based on the Workflow Management System “AlphaFlowhttp://thesis.romanofski.de/

MICRO-WORKFLOW: A WORKFLOW ARCHITECTURE SUPPORTING COMPOSITIONAL OBJECT-ORIENTED SOFTWARE DEVELOPMENT

The OpenFlow Project
http://sourceforge.net/projects/openflow/

Design and Implementation of a Workflow Engine
http://sebastian-bergmann.de/archives/701-Design-and-Implementation-of-a-Workflow-Engine.html

The XML Process Definition Language (XPDL)
http://en.wikipedia.org/wiki/XPDL

BPM : คน และ IT
http://thailandindustry.com/home/news_print.php?id=598%A7ion


การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่ "
http://www.e-hrit.com/
http://www.hrtothai.com/

คอลัมน์ คุยกับประภาส : วิลเลี่ยม เจมส์ - 9 ม.ค. 2548

ท่าม กลางเสียงร้องระงม และความอลหม่านของผู้คนนับพันในซากปรักหักพัง ผู้ชายคนหนึ่งกลับเดินสวนฝูงชนที่กำลังวิ่งหนีเอาตัวรอด กลับเข้าไปยังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ

พ. ศ.2449 นครซานฟรานซิสโกแทบจะราบเป็นหน้ากลอง แม้ตึกสูงในยุคนั้นจะไม่สูงมากนัก แต่แรงเขย่าจากแผ่นดินไหวก็ถล่มจนพังลงมาแทบทั้งเมือง หลายจุดเกิดไฟไหม้ซ้ำ ผู้ที่รอดชีวิตแทบทั้งหมดขวัญเสียอย่างหนัก ด้วยเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นวินาศภัยที่ร้ายแรงขนาดนี้

นอกจากหน่วย กู้ภัย และนักผจญเพลิงที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นแล้ว ก็มีชายชราวัย 64 ปีคนนี้แหละครับที่เดินสวนฝูงชนเข้าไปในเหตุการณ์ธรณีวิบัติครั้งร้ายแรง

ชื่อของเขาคือ วิลเลี่ยม เจมส์

ใน เหตุการณ์ครั้งนั้น คุณตาเจมส์ของเราได้ทำสิ่งที่ใครเห็นเข้าก็ต้องหันมองจนเหลียวหลัง เขาเดินถือสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งไว้ในมือแล้วก็เดินไปยังกลุ่มคนที่เพิ่งรอดชีวิตจากตึกถล่ม แล้วก็จดคำสัมภาษณ์ความรู้สึกสดๆ ร้อนๆ ของผู้คนเหล่านั้นเอาไว้ ดูๆ ไปก็คล้ายๆ นักข่าว แต่คุณตาเจมส์ไม่ใช่นักข่าวนะครับ จะว่าไปแล้วชื่อวิลเลี่ยม เจมส์ นี่ถ้าไปพูดให้นักศึกษาทางจิตวิทยาและปรัชญาทุกวันนี้ฟัง ทุกคนต้องรู้จักเขาเป็นอย่างดี

เขาเป็นนักปรัชญาผู้ริเริ่มแนวคิด หน้าที่นิยม (Functionalism) คำฝรั่งนี่มันแปลยากนะครับ บางแห่งก็เรียกแนวความคิดปรัชญากลุ่มนี้ว่า หน้าที่ทางจิต ยิ่งงงไปกันใหญ่นะผมว่า

ขออนุญาตชวนให้ลองฟังเขาดูหน่อยนะครับว่า แนวคิดหน้าที่นิยมของคุณตาเจมส์เขาว่าอย่างไร วิชาปรัชญานี่จะว่ายากก็ยากจะยากจะสนุกก็สนุก ฟังแล้วมึนได้ไม่แพ้กินเหล้าหรือนั่งเมาเรือกลางทะเลเลย

คุณตา เจมส์ ให้ความสนใจอย่างมากในเรื่องพฤติกรรม โดยเฉพาะการเรียนรู้ และเน้นศึกษาการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของตนเอง ถึงตรงนี้แล้วผมว่าเราน่าจะเรียกแนวคิดของคุณตาเจมส์ว่า แนวคิดพฤติกรรมนิยม มากกว่า ว่าไหมครับ

คุณตาเจมส์เชื่อว่า ความรู้จะเกิดขึ้นได้ จากความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์จะได้รับความรู้ต่อเมื่อตนเองเป็นผู้ลงมือกระทำเอง

สอง ย่อหน้านี้อ่านแล้วเข้าใจยากดีไหมครับ ถ้าไม่เข้าใจก็คิดเสียว่าเข้าทางคุณตาเจมส์พอดี เพราะแกก็บอกไว้แล้วว่า ความรู้จะเกิดได้ต่อเมื่อตนเองเป็นผู้ลงมือกระทำ หรือมีเหตุการณ์มาเกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ใช่ไปฟังไปอ่านมาจากไหน

เพื่อน ผมคนหนึ่งเป็นผู้บริหารในธุรกิจเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ เขาเล่าให้ฟังถึงน้องคนหนึ่งที่เขาส่งให้ไปถ่ายทำสารคดีเหตุการณ์คลื่นยักษ์ สึนามิถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้

น้องคนที่กำลังจะถูกส่งลงใต้นี้ทำหน้า ปุเลี่ยนๆ เมื่อได้รับคำสั่ง แล้วก็บอกหัวหน้าตัวเองไปว่า เขาเป็นคนกลัวผีมาก งานที่เขากำลังถูกส่งไปทำนี้มีคนตายเป็นพัน เขายอมรับว่าเขากลัว แต่ในเมื่อเป็นหน้าที่เป็นคำสั่งเขาก็ต้องลงไป

แต่เมื่อกลับขึ้นมากรุงเทพฯ การณ์กลับเปลี่ยนไปว่าเขาต้องรีบมาขอบคุณหัวหน้าเขายกใหญ่ที่ส่งเขาลงไป

เขา บอกว่าการลงไปทำงานครั้งนี้มันทำให้เขาได้สัมผัสคำว่า "ชีวิต" อย่างใกล้ชิดที่สุด เขาได้เห็นการช่วยเหลือกันของผู้คนอย่างไม่คิดถึงสิ่งตอบแทน ได้ลงไปช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยตัวเอง ได้เห็นความเป็นและความตายอยู่ข้างหน้าอย่างไม่รู้สึกรังเกียจรังงอนใดๆ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

หรือนี่แหละ? คือคำยืนยันทฤษฎีของวิลเลี่ยม เจมส์

จะ ว่าไปแล้วถ้าคุณตาเจมส์ได้มาเที่ยวประเทศไทยเสียหน่อย แล้วได้มานั่งคุยกับหลวงปู่ของเราอีกสักหน่อย ก็จะพบว่าสิ่งที่คุณตาเจมส์พูดถึงนั้นคืออันเดียวกับที่ทางพุทธเราเรียกว่า พุทธะ คือการรู้อย่างภาวะหยั่งรู้ หรือการรู้ด้วยตัวเอง อย่างที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำเป็นตัวอย่างเมื่อก่อนพุทธศักราช

ตลอด ชีวิตของคุณตาเจมส์ แกทุ่มเทไปกับการค้นคว้าเรื่องราวทางจิตที่เกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์ หลายคนยกย่องให้แกเป็นบิดาแห่งจิตวิทยาภาคทดลอง บ้างก็เรียกว่าแกเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยา

หลักจิตวิทยาใหญ่ๆ ของคุณตาเจมส์ย้ำการพึ่งพาตนเอง และการสร้างลักษณะนิสัยที่สร้างสรรค์ คนที่อยู่รอบๆ ข้างๆ คุณตามักจะถูกแกกระตุ้นให้ทำอะไรใหม่ๆ ในชีวิตตลอดเวลา เช่นเขียนหนังสือสักเล่ม ปั้นรูปปั้นสักรูป เดินทางข้ามมหาสมุทรสักครั้ง ฯลฯ

ตอนที่แกเที่ยวเดินสอบถามความ รู้สึกของผู้คนที่เพิ่งรอดพ้นเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตอนนั้นแกดำรงตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ พลังอันเต็มเปี่ยมของอาจารย์เจมส์นี้นับเป็นที่เลื่องลือของลูกศิษย์ลูกหา อย่างมาก เล่ากันว่าหลายครั้งที่คุณตาเจมส์สอนหนังสืออยู่นั้น ด้วยความที่ติดพันอยู่กับการกำลังอธิบายและเขียนกระดานดำไปด้วย คุณตาเจมส์จะไม่เสียเวลาแม้แต่จะลบกระดานแล้วเขียนใหม่ แต่คุณตาจะพูดไปเขียนไปจนกระทั่งกระดานดำหมดที่เขียน ต้องมาคุกเข่าเขียนต่อบนพื้นห้อง โดยที่ไม่มีใครหัวเราะการกระทำนี้แม้แต่คนเดียว เพราะทุกคนก็ถูกดึงดูดให้สนใจเรื่องที่อาจารย์เจมส์บรรยายอยู่

อาจารย์อย่างนี้ใครได้เป็นลูกศิษย์ก็ถือว่าบุญโขเลยครับ

เท่า ที่ผมอ่านแนวความคิดของคุณตาเจมส์ดู คำพูดเดียวที่น่าจะร้อยรัดทุกรายละเอียดของแนวคิดของแกทั้งหมดเป็นทฤษฎี เดียวกัน ก็คือ มนุษย์มีศักยภาพล้นเหลือที่จะทำอะไรก็ได้โดยการกระทำ

ผม ไม่รู้ว่าแกเคยพูดประโยคนี้หรือเปล่า แต่ถ้าให้ผมสร้างหนังอัตชีวประวัติของวิลเลี่ยม เจมส์ ผมคงเขียนบทใส่ปากนักแสดงที่เป็นพระเอกว่า "พฤติกรรมกำหนดชะตากรรม"

อยาก ให้ลองฟังข้อปลีกย่อยของแนวคิดของคนที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อ 100 ปีก่อนคนนี้ดูครับ ผมว่าน่าสนใจทีเดียว ยิ่งกับบรรยากาศที่สลดหดหู่มาสองสามสัปดาห์ติดต่อกันอย่างนี้ คนบางคนน่าจะได้อ่านครับ

กิริยาควบคุมอารมณ์ คุณตาเจมส์ให้ลองทำหน้าทำตาขึงขังใส่กระจกเงาดู กล้ามเนื้อที่เกร็งบนใบหน้า ปากที่แสยะออก ถ้าเราทำไปสักพักมันจะทำให้เรารู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆได้ เรื่องนี้ผมช่วยยืนยันได้ครับ ไม่เชื่อลองนึกถึงตอนเราที่โกรธใครสักคนแล้วดันทะลุปล้องออกปากด่าขึ้นมา คราวนี้ความโกรธจะยิ่งทวีคูณแล้วครับ เพราะไอ้กิริยาท่าทางที่เราโกรธนี่แหละเป็นตัวส่งให้โกรธยิ่งขึ้น อารมณ์เศร้านี่ก็เหมือนกัน ถ้ามัวแต่ทำหน้าเศร้ากอดเข่าเจ่าจุกอยู่ อารมณ์เศร้ามันจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกิริยาท่าทางของเรา

งานกระตุ้น พลัง ทฤษฎีนี้ใครที่เป็นประเภทสุขนิยมหรือออกแนวขี้เกียจหน่อยคงไม่ชอบ คุณตาเจมส์เชื่อว่าการทำงานหนักต่างหากที่ทำให้เรามีพลังไม่ใช่พักผ่อนหย่อน ใจแล้วถึงมีพลัง ใครที่นึกไม่ออกว่าคนทำงานหนักแล้วยิ่งกระตุ้นให้มีพลังเป็นอย่างไร ก็ลองตามไปดูคุณหมอพรทิพย์ของผมที่กำลังทำงานมหากุศลอยู่ที่ภาคใต้ ผมยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าแกซ่อนแหล่งพลังงานไว้ตรงไหน ทำไมไม่รู้จักหมดเสียที หรือทฤษฎีของคุณตาเจมส์จะเป็นจริง

นิสัย บ่มได้ วิลเลี่ยม เจมส์น่าจะเป็นนักจิตวิทยาคนแรกๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกทางร่างกาย มันจะถูกจารึกไว้ในเซลล์สมอง และเมื่อปฏิสัมพันธ์บ่อยๆ รอยนั้นจะถูกจารึกแน่นขึ้น จากพฤติกรรมกลายเป็นนิสัย และจากนิสัยกลายเป็นสันดาน ไม่ต่างอะไรกับมะม่วงที่แม้ไม่สุกจากต้นก็บ่มให้สุกได้

กังวลนิดๆ มีชีวิตชีวา ต้องนับว่าแนวความคิดนี้แปลกทีเดียว แต่คุณตาเจมส์ก็ออกตัวไว้ด้วยว่า แม้แกจะชอบความเครียดน้อยๆ ที่ทำให้สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้หมายถึงความเครียดประเภททำลายตัวเอง

จะเป็นพระแม่อุมา หรือเจ้าแม่กาลี คุณตาเจมส์พูดไว้เป็นร้อยปีแล้วว่า มนุษย์มีทั้งด้านดีและด้านร้ายในตัวคนหนึ่งๆ แม้ฮินดูจะกล่าวถึงปางโหดร้ายและปางใจดีของพระแม่อุมาหลายพันปีแล้วก็ตาม คุณตาเจมส์แนะว่าถ้าด้านดีของเราเชื่อมั่นในความดีของมนุษยชาติ ก็ให้ศรัทธาด้านนั้นของตัวเอง แล้วก็อยู่กับมัน ผมเองก็เชื่อว่าใครก็ตามที่ศรัทธาในความดีของเพื่อนมนุษย์ เขานั่นแหละจะเป็นตัวสร้างสรรค์ความดีนั้นเองตลอดเวลา

ฝากไว้เป็น ประโยคสุดท้ายครับ ประโยคของคุณตาเจมส์ นักปรัชญาชาวอเมริกันคนนี้ คนที่เชื่อว่ามนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อลิขิตชะตากรรมของตัวเอง มิได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเดินตามพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมอย่างต้อยๆ ฝากเผื่อแผ่ไปยังคนที่กำลังคิดว่าถูกชะตากรรมเล่นงานด้วย

"อย่าหวาดกลัวชีวิต จงเชื่อมั่นว่าชีวิตมีค่าควรแก่การดำรงอยู่ แล้วความเชื่อจะช่วยให้มันเป็นจริงตามนั้น"


ประภาส ชลศรานนท์
----------------------------------------

แรงบันดาลใจ ในชีวิตนั้น ประกอบไปด้วย 

1. การเปลี่ยนแปลง (Change) จิตรกรเอกของโลกอย่างปิคาสโซกล่าวไว้ว่า
ข้าพเจ้ามักทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้เสมอ เพื่อจะได้รู้ไงว่า
ทำอย่างไรจึงจะทำสิ่งนั้นให้ได้ หรือคารอล เบอร์เนตต์ กล่าวว่า
มีแต่เพียงตัวเราเองเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้
ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกในเรื่องนี้
2. รู้จักต่อสู้ดิ้นรน (Coping) วิลเลียม เจมส์ พูดได้น่าฟังว่า จงเชื่อว่า
การมีชีวิตอยู่นั้นมีค่า แล้วความเชื่อนี้จะผลักดันให้มันเป็นจริง
3. ปรารถนา (จะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ) (Aspiration) วินเซนต์ แวน โกะห์
จิตรกรฝีมือเยี่ยม บอกว่า ต่อให้มีแรงดลใจอย่างเดียว
ก็ไม่พอหรอกที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ หากไม่ลงมือสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา
4. ความสุข (Happiness) อริสโตเติล นักปราชญ์ กล่าวว่า
ความสุขขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองนั่นแหละ ถ้าคิดว่า ตัวเองมีความสุขมันก็สุข
แต่ถ้าไม่ มันก็ไม่ ความคิดของมนุษย์นี่แหละ ที่สามารถบั่นทอนหรือสนับสนุน
ให้เกิดกำลังใจต่อสู้ชีวิตต่อไป
5. หยิ่งในศักดิ์ศรี (Self-Esteem) ไมเคิล แองเจโล กล่าวว่า จงมีศรัทธาในตัวตน
อย่าเอาตัวเองไปเปรียบกับใคร ทุกคนล้วนมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
-เจ้านายไม่ใช่พระเจ้าที่จะรู้ไปหมดทุกออย่าง
-จงมั่นใจ หากเราเป็นคนมีความสามารถและตตั้งใจในการทำงาน วันนี้ เจ้านายไม่เห็น
แต่พรุ่งนี้ท่านอาจชื่นชมคุณ
-ถึงคุณจะเก่งเพียงใด มีความสามารถสุดยออดแค่ไหนก็ตาม
คุณก็ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ หากคุณไม่ได้รับความร่วมมือจากทีมงาน
-จงให้ความสำคัญกับคนทุกคนในองค์กรของคุณ แม้บุคคลเป็นเพียงพนักงานทำความสะอาด
เพราะทุกคนมีความสำคัญเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันที่หน้าที่
-เมื่อเพื่อนร่วมงานไม่ดีกับท่าน จงทำดีกับเขาเป็นสองเท่า
แล้วท่านจะได้ใจเขาพร้อมกับเพื่อนคืนมา
-หากคิดจะเปลี่ยนงาน..จงมั่นใจเสียก่อนวว่าคุณได้งานใหม่แน่ๆและงานนั้นต้องดีกว่าที่เดิม
มีความสุขมากกว่า..มีรายได้ที่ดี


-ไม่มีใครหรอก....ที่ไม่เคยพบอุปสรรค
-ไม่มีใครหรอก....ที่ไม่เคยผิดพลาด
-ไม่มีใครแน่...ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งงใด

"อย่าหวาดกลัวชีวิต จงเชื่อมั่นว่า ชีวิตมีค่าควรแก่ การดำรงอยู่แล้ว ความเชื่อของคุณ จะช่วยให้เป็น จริงตามนั้น"

วิลเลียม เจมส์ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกาในรอยต่อศตวรรษที่ 19-20 บอกว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ถูกโปรแกรมให้รู้สึกเหนื่อยเมื่อถึงเวลาเหนื่อย มนุษย์เราใช้พลังน้อยกว่าที่มีอยู่จริง เขาบอกว่า หากคุณผลักความเหนื่อยออกไปอีกสักนิด คุณจะได้งานมากกว่าเดิม อย่างไม่น่าเชื่อ

แน่ละ ความหมายของ วิลเลียม เจมส์ มิใช่ต้องการให้คนทำงานจนตายคาที่ แต่ให้ลองทดสอบดูว่า บางครั้งการยอมแพ้เกิดจากใจไม่สู้ ไม่ใช่กายไม่พร้อม

เราอาจไม่ต้องทำถึงขนาดขยันจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งอาจมากเกินพอดี แต่คำถามคือแค่ไหนคือความพอดี เท่าไรคือความเหมาะสม

บางคนทำงานได้มากมายกว่าจะเหนื่อย บางคนทำนิดเดียวก็ 'รู้สึก' เหนื่อยแล้ว บางคนไม่ทำอะไรเลย ก็ยังเหนื่อย

ผมไม่เคยเห็นใครที่ขยันแล้วชีวิตฉิบหาย ตรงกันข้าม คนที่ชีวิตพังหลายส่วนใหญ่เกิดจากความขี้เกียจ ความเขลา และความโลภ

ไม่มีใครตายไปเพราะทำงานหนัก

ไม่มี ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็น

ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ต้องลงแรง

ถึงจะเอนกายนอนพัก ก็ยังต้องออกแรงเขยื้อนกาย ถึงจะเดินถอยหลัง ก็ยังต้องออกแรง
จะยกธงขาวยอมแพ้ก็ยังต้องออกแรงยกธง

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุยกับประภาส : คิดนอกกรอบ - 27 มิ.ย. 2547

คอลัมน์ คุยกับประภาส : คิดนอกกรอบ - 27 มิ.ย. 2547



คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์


เรียน คุณประภาส


ได้ อ่านเรื่องคณิตศาสตร์อธิบายธรรม จึงอยากขอร่วมวงด้วยครับ ราวสามร้อยปีก่อนพระเยซูประสูติ อาร์คีมีดิส แห่งไซราคิวส์ ซิซิลี คนเดียวกับที่แก้ผ้าร้องยูเรก้าแหละครับ ได้เพียรหาค่า โดยอาศัยการประมาณพื้นที่ของวงกลม เขาได้สร้างรูปหกเหลี่ยมด้านเท่าสองรูป รูปเล็กบรรจุในวงกลม รูปใหญ่มีวงกลมบรรจุอยู่ภายใน แบบแบบสนิท

โดย การนี้ พื้นที่ของวงกลมจะมากกว่าหกเหลี่ยมด้านเท่ารูปเล็ก แต่น้อยกว่าหกเหลี่ยมด้านเท่ารูปใหญ่(พื้นที่รูปเหลี่ยมด้านเท่าสามารถคำนวณ ได้ครับ) พอเพิ่มเป็นแปดเหลี่ยม พื้นที่รูปเหลี่ยมข้างในจะมากขึ้นแต่ก็ยังน้อยกว่าพื้นที่วงกลม ขณะที่พื้นที่รูปเหลี่ยมด้านนอกก็จะเล็กลงแต่ก็ยังมากกว่าพื้นที่วงกลม ทำให้ประมาณพื้นที่วงกลมได้แม่นยิ่งขึ้น(ซึ่งทำให้ประมาณค่าได้เป็นแนวคิดใน การประมาณพื้นที่แบบนี้ถือว่าเป็นแนวคิดของแคลคูลัส ต้องรอกว่าสองพันปีทีเดียวกว่านิวตันจะทำให้เป็นระบบ) ยิ่งเพิ่มเหลี่ยมให้มากขึ้น จากหกเป็นแปด เป็นสิบ จนเป็นอนันต์เหลี่ยมด้านเท่า รูปเหลี่ยมก็จะกลายเป็นวงกลม มันแปลกนะครับ จากรูปเหลี่ยมที่มีจำนวนเหลี่ยมมากมายมหาศาลสุดคะเน กลับกลายเป็นวงกลม รูปเรขาคณิตที่ไม่มีเหลี่ยมมีมุมเลย

หัวข้อธรรมวันนี้ขอเสนอ "สูงสุดคืนสู่สามัญ" ครับ


จิณดิษฐ์


==========================================


ทุกวันนี้กระแสความนิยม "คิดนอกกรอบ" ค่อนข้างจะไหลเชี่ยวขึ้นทุกที แม้แต่โฆษณาทางโทรทัศน์ สินค้าที่มีเป้าทางการตลาดเป็นคนรุ่นใหม่ก็มักนำเอาเรื่องนี้มาเป็นจุดขาย

ดารา วัยรุ่นหลายคนพูดให้เข้าหูบ่อยๆ ว่าสมัยนี้ต้องคิดนอกกรอบถึงจะทันสมัย ซึ่งถ้าผมนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็คงอดคันปากถามไม่ได้หรอกครับว่า มันเป็นอย่างไรหรือไอ้ความคิดนอกกรอบนี่

หนักที่สุดก็เห็นจะเป็นคำ ถามที่นักข่าวรุ่นกระเตาะท่านหนึ่งถามผมว่า ในฐานะที่ผมเป็นหัวขบวนของคนคิดนอกกรอบ รู้สึกอย่างไรกับการเรียนการสอนในบ้านเราทุกวันนี้

ผมฟังแล้วผมก็อึ้งไป

ไม่ ได้อึ้งในส่วนของคำถามนะครับ ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้วเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้มันต้องพูดกันยาวเป็นสิบๆ หน้ากระดาษถึงจะไล่เรียงเหตุผลกันครบ แต่ถ้าจำเป็นต้องให้พูดเอาความรู้สึกสั้นๆ ตรงนั้นจริงๆ ก็คงพอกล้อมแกล้มไหว แต่ที่ผมอึ้งก็คือผมดันถูกมอบหมายให้เป็นหัวขบวนของคนคิดนอกกรอบไปไม่ทันรู้ ตัว

ว่ากันตามสัตย์จริง ผมไม่ค่อยชอบคำคำนี้สักเท่าไรด้วยซ้ำ

จดหมาย ของคุณจิณดิษฐ์เขียนมาคุยเรื่องคณิตธรรม ที่โยงต่อจากเรื่องคณิตศาสตร์อธิบายธรรมของอาทิตย์ก่อน ซึ่งก็ได้โยงมาจากเรื่องของแม่เภาสอนลูกสาวมองโลกในตอนแม่เภามาเยี่ยมอีก อาทิตย์หนึ่ง

ผมอ่านจดหมายของคุณจิณดิษฐ์แล้วผมก็ไพล่คิดไปถึง เรื่องคิดนอกกรอบเสียอย่างนั้น ความคิดของคนนี่มันแตกไปได้เรื่อยๆ ไม่แพ้รากผักบุ้งเหมือนกันนะครับ

ประเด็นของจิณดิษฐ์น่าสนใจครับ ไม่นำมาลงไว้ให้อ่านกัน ผมเกรงจะหาโอกาสมาลงทีหลังลำบาก เข้าใจคิดดีครับ คงต้องขอขอบคุณไว้ตรงนี้อย่างสูง

กลับมาที่หัวเรื่องที่ผมขึ้นไว้เป็นชื่อตอนวันนี้ต่อครับ

ทำไมผมถึงไม่ชอบคำว่า "คิดนอกกรอบ"

สิ่ง ที่เราน่าจะเข้าใจตรงกันก่อนก็คือ "ความคิด" ในประโยคที่ว่านี้คืออะไรก่อน สำหรับผมแล้วความคิดสร้างสรรค์ทุกอย่างในโลกนี้คือการแก้ เห็นด้วยไหมครับ

สิ่ง ประดิษฐ์จำนวนมากมายมหาศาลของนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทฤษฎีสำคัญต่างๆ แม้จะพูดไกลไปถึงดวงดาวและจักรวาลก็ค้นหาเพื่อแก้โจทย์ที่ถูกตั้งเอาไว้ใน อดีต

เทคนิคการก่อสร้างใหม่ๆ ถูกค้นคิดเพื่อแก้ไขให้การก่อสร้างแข็งแรงขึ้น ประหยัดขึ้น รวดเร็วขึ้น

อาหารจานใหม่ๆ ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อแก้เรื่องสุขภาพ หรือแก้เรื่องความเบื่อหน่ายในรสชาติ

นิยาย ทั้งประเทืองปัญญาและอารมณ์ ภาพยนตร์ร้อยแปดรูปแบบ ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้เรื่องความคิดหรือศรัทธาที่เห็นต่าง ไม่ก็เพื่อแก้ความติดขัดทางอารมณ์

ผมขอแสดงความเห็นไว้ตรงนี้ว่า "ความคิด" ที่จะแก้ปัญหาจำต้องมี "กรอบ"

แล้วกรอบคืออะไร

กติกา งบประมาณ แนวความคิด ระยะเวลา ลมฟ้าอากาศ ฯลฯ เหล่านี้เป็นกรอบทั้งนั้นแหละครับ แม้แต่รัฐธรรมนูญก็จะต้องถือเป็นกรอบอย่างหนึ่งในการแก้ปัญหาระดับชาติ

หลายครั้ง "กรอบ" ทำให้ผมคิดออก

ยก ตัวอย่างง่ายๆ สักอัน เพลงโฆษณาที่ฉายทางโทรทัศน์ เขากำหนดให้มีความยาวแค่ 30 วินาที ระยะเวลาอันนี้นี่แหละคือกรอบ มันสั้นจนนักแต่งเพลงทุกคนบ่นว่ามันทำงานยาก เพลงต้องจบในเวลาที่กำหนดนับเป็นวินาที บางคนทำไปสักประเดี๋ยวก็บอกว่ามันสั้นไปขออีก 5 วินาทีได้ไหม

นั่นหมายความว่าเรากำลังรื้อกรอบนั่นเอง

ที่ ผมบอกว่ากรอบทำให้คิดออก ก็เพราะความที่มันสั้นมาก เราจึงต้องหาคำที่กะทัดรัด ได้ใจความเร็ว แล้วมันก็เลยทำให้คำบางคำที่เราไม่เคยนึกถึงโผล่ออกมา

เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ทำไมนักเรียนชายจึงต้องตัดผมรองทรง การตัดผมรองทรงไม่ทำให้เขาเรียนดีขึ้น

อย่างนี้ผมเรียกว่าคิดนอกกรอบ

กรอบในเรื่องนี้คือระเบียบวินัยการแต่งกายของโรงเรียน

แน่ นอนครับผมสั้นมันไม่ทำให้ใครเรียนดีขึ้น แต่ในเรื่องนี้ไม่ได้พูดเรื่องเรียนดีหรือเรียนไม่ดี โรงเรียนกำลังพูดถึงเรื่องวินัยที่จะให้เด็กๆ เรียนรู้ เราเอาเรื่องเรียนดีไปอ้างนั่นก็คือเรากำลังไม่ได้คิดอยู่ในกรอบนั่นเอง คนแบบนี้มีเยอะนะครับในสังคม ท่านผู้อ่านบางท่านก็คงจะเคยพบ

ความคิดนอกกรอบคงไม่ดีแน่ถ้าจะมีพระสงฆ์บางรูปบอกว่า ไม่เห็นต้องห่มจีวรเหลืองเลย เพราะห่มจีวรไม่เห็นทำให้เข้าใจในโลกุตรธรรมสักที

กรอบ จึงยังเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆ สถานที่ๆ มีมนุษย์มากกว่า 1 คน มาอยู่ร่วมกัน โรงเรียนฝรั่งอาจไม่มีวินัยเรื่องการแต่งตัวของนักเรียน แต่อย่าลืมว่าเขาก็มีกรอบเรื่องอื่นๆ ที่บ้านเราไม่มี

อีกคำถาม หนึ่งที่ผมได้ยินมากับหูไม่กี่วันมานี้ ก็คือ ทำไมพวกถาปัดจึงชอบคิดนอกกรอบ ผมเดาเอาว่าที่ถามมาอย่างนั้นก็เพราะคงเห็นนิสิตสถาปัตย์จัดแสดงละครที่ไม่ เกี่ยวกับวิชาที่เรียน หรือไม่ก็อาจจะดูจากบุคลิกภาพส่วนตัวที่ดูแปลกๆ ของคนที่เรียนคณะนี้

บอกให้ก็ได้ครับ อันที่จริงแล้วคนพวกนี้เป็นมนุษย์กลุ่มที่ต้องคิดแบบมีกรอบอย่างแท้จริง

การ จะออกแบบอาคารสักหลังหนึ่งนี่ สถาปนิกมีกรอบความคิดเต็มไปหมดเลยครับ ไหนจะเรื่องดินฟ้าอากาศ ทิศทางลม งบประมาณ แนวความคิดทางศิลปะ สัดส่วนและตำแหน่งของพื้นที่ใช้สอย ลักษณะของวัสดุก่อสร้าง ความปลอดภัยทางโครงสร้าง ฯลฯ (นักคิดสร้างสรรค์หลายวงการที่ผมรู้จัก อย่างคุณดลชัยนักคิดโฆษณา คุณเก้งจิระนักสร้างหนัง หรือคุณหนุ่มเมืองจันท์นักหนังสือพิมพ์ ฯลฯ คนพวกนี้ล้วนคิดทุกอย่างแบบเคารพกรอบแทบทั้งสิ้น)

หรือไอ้ที่เรา หลงเข้าใจว่าแบบนั้นแบบนี้คือการคิดนอกกรอบ คนโน้นคนนี้คือคนที่คิดนอกกรอบนั้น ที่แท้ทุกๆ อย่างมันยังอยู่ในกรอบอยู่เลย

กลับมาที่จดหมายของคุณจิณดิษฐ์อีกที

อา คีมีดิสพยายามหาพื้นที่ของวงกลม โดยการเขียนรูปหลายเหลี่ยมจำนวนสองรูปต่างขนาดกัน รูปหนึ่งใส่ลงไปในวงกลม และอีกรูปหนึ่งครอบอยู่นอกวงกลม แล้วก็หาพื้นที่ของรูปหลายเหลี่ยมของทั้งสองรูปก่อน จึงค่อยหาพื้นที่วงกลม

น่าทึ่งที่อาร์คีมีดิสไม่ได้มองแค่ในกรอบของวงกลม

หรือเพราะเขามองเลยออกมานอกเส้นรอบวง ทำให้เขาคิดออก

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ถามว่าอาร์คีมีดิสคิดนอกกรอบหรือไม่

ก่อน จะตอบคำถามนี้ผมมีปัญหาๆ หนึ่งให้ได้ไขกัน มีจุดเก้าจุดดังรูปข้างล่าง บางคนอาจจะเคยได้เล่นเกมอย่างนี้มาบ้างแล้ว ลองดูครับใครที่ยังไม่เคยเล่น

กติกามีอยู่ว่า ให้ลากตรงเส้นสี่เส้นผ่านจุดเก้าจุดโดยไม่ยกปากกาเลย อาทิตย์หน้าเราจะมาคุยเรื่องคิดนอกกรอบตอนต่อครับ


ประภาส ชลศรานนท์

----------------------------------------------------------------------------------------------------------
คิดนอกกรอบ ผมไม่ชอบคำนี้เท่าใดนัก
เพราะงานสร้างสรรค์มักเกิดจากความคิดใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ ที่อาศัยกรอบและความเป็นไปได้ ไม่ว่างานใดก็ตามแต่มักจะต้องอ้างอิงกรอบไว้เสมอ เพียงแต่บางครั้งเราอาจจะสร้างกรอบลวงตาเราไว้ทำให้ไม่สามารถตีโจทย์ให้แตกเพราะเราลืมมองให้ครบทุกด้านว่าจริงๆ แล้วสามารถทำได้โดยเราคิดไม่ถึง

อะไรเอ่ยตรงข้ามกับคำว่ารัก

เคยมีคนมาถามว่าอะไรตรงข้ามกับคำว่า"รัก"
ลองคิดหาคำตอบดูเล่น ๆ เอาไว้ในใจกันนะ ว่าคืออะไร
คำตอบของแต่ละคนคงแตกต่างกัน
ตามแต่ความคิดและความรู้สึกที่มี
บวกกับประสบการณ์ที่เคยพบเจอ
บางคนอาจตอบว่า ไม่รัก โกรธ หรือเกลียด บ้าง
แต่คำตอบที่เคยได้ยินแล้ว หันไปว่า เออ จริงว่ะ คือ "เฉย ๆ "
เพราะความรู้สึกเฉย ๆ คือไม่รู้สึกอย่างไรเลย
เสมือนหนึ่งว่าเขาคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้
ไม่มีค่าพอที่จะทำให้เราคิดถึง หรือรู้สึก
โกรธ เกลียด หรือโมโห ใด ๆ ทั้งสิ้น
ถ้าอยากรู้ว่าลืมเขาคนนั้นได้หรือยัง
คุณน่าจะรู้สึกเช่นนี้นะ
ลองคิดว่าเขาไม่มีตัวตนบนโลกนี้ดูซิ
คนไม่มีค่า ก้ออย่าทำให้เขามามีค่าต่อความรู้สึกเรานะ
"เสียเวลาว่ะ"
“ถ้าเรายังรู้สึกเกลียดเขา หรือโกรธเขาอยู่ นั่นหมายความว่าเรายังมีความรู้สึกบางส่วนหลงเหลือให้ใครคนนั้นอยู่บ้าง จริงๆ แล้วสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกรัก มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่เรียกว่าเฉยๆ นะ แบบว่าไม่รับรู้ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจอะไรทำนองนั้น เพราะนั่นมันหมายความว่าเราไม่หลงเหลือความรู้สึกใด ๆ กับใครคนนั่นอีกแล้ว และนั่นแหละคือสิ่งที่มันตรงข้ามกับความรัก เพราะเราไม่ได้หลงเหลืออะไรใดๆ ให้ใครคนนั้นอีกต่อไป”

บางคนอาจจะเริ่มด้วยความรู้สึก เฉย ๆ แล้วพัฒนาไปเป็นความรัก เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความผูกพัน ความใกล้ชิด ความดี การเอาใส่ใจ ความเห็นอกเห็นใจ แต่ทั้งหมดที่พิมพ์ก่อนหน้านี้และอีกหลายๆ อย่างนั้น มันก็ต้องมีระยะเวลาที่สามารถคงอยู่เหมือนเดิมได้ มิได้แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา พอรักแล้ว ถ้าหลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไปเนื่องจากมันไม่ใช่ของจริงแล้ว มันก็อาจจะเปลี่ยนความรู้สึกไปได้เป็นเกลียด โกรธหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันจะเปลี่ยนเป็นเฉยๆ ในที่สุดเชื่อไหมหละ ลองคิดและทบทวนกันดู เป็นอย่างนั้นกันจริงๆ รึเปล่า

แล้วเราก็จะได้รู้จักอีกด้านหนึ่งความรัก ... “สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน”...

... ความรู้สึก เฉยๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของความรัก ...

ตื่นเถิดชาวเรา อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง

เมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้ (a seed of awakening)
เพราะตื่นอยู่ จึงสามารถรู้
ตื่นพร้อมที่จะรับผัสสะที่มากระทบ
ส่งต่อให้ส่วนคิด คิดบางครั้งอาจไม่ถูก
อาจมีประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในการสรุป เพื่อจะได้คำตอบ
คำตอบอาจตรงจุด ถ่องแท้
แล้วก็ทบทวนอีกครั้ง
พยายามระวังหลายๆ อย่าง

28 ข้อที่ควรเก็บเอาไปคิด
1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด
2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ
3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : จริงๆ แล้วมันง่ายกว่าที่คิดไว้”
6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆ ลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ แต่ความเพี้ยนก็เกิดขึ้นเป็นประจำแต่อาจจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามกาลเวลา บริหารจัดการกันไป
7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ (หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)
9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ
11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง
12. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่าง แต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น
14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง : ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ
16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า
17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆ เป็นของแถม
18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวย ความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์
19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี
20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ
21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ
22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด - เฮเลนเคลเลอร์
23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็น การให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง
24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)
25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก” พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น
26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น
27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น
28. เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

วิพากย์สังคมไทย มิ.ย.51

ช่วงนี้ฟังข่าวแล้วไม่ค่อยชอบหลายๆ อย่างในบ้านเมืองเราเลย

1. ประชาธิปไตย ที่จริงแล้ว

* วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด*

* วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด*

ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่งแต่จำเป็นต้องอยู่ทำงานด้วยกันในที่ทำงานเดียวกันทุกๆ วัน ผมควรจะวางตัวอย่างไรดีครับ
มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสุขเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักงานร่วมกันคนคนนี้


============ ========= =====


วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า


''
น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด
''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก

เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก

เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า
'' การกลับมาอยู่กับตัวเอง ''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา
'' มองด้านใน ''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า
'' ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง ''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก
?

จากเพื่อนถึงเพื่อน

เพลง : จากเพื่อนถึงเพื่อน
อัลบั้ม : จากเพื่อนถึงเพื่อน
ศิลปิน : ศุ บุญเลี้ยง

* กว่าจะรู้ใจกัน มันก็นานแสนนาน
กว่าจะมาเป็นเพื่อนกัน ต้องใช้เวลาเนิ่นนาน
อยู่กันมานานแสนนาน จากกันไปไกลแสนไกล
จดจำไว้ เพื่อนยังไม่ลืม

บน...เส้นทางยาวไกล
ร่วมฝ่าฟันไว้ ก้าวไปด้วยกัน
จำ...วันนั้นยังจำ
เคยร่วมกันทำ ด้วยความมั่นใจ
สุขเราก็เคยร่วมเสพ เจ็บเราก็เคยร่วมเจ็บ
จดจำไว้ ถึงวันเก่าเก่า

(ซ้ำ *)

วัน...ที่จำต้องจาก
ต้องจากกันไกล แต่ใจยึดมั่น
คืน...และวันเดือนผ่าน
ไม่อาจเรียกวัน เก่าคืนหวนได้
แต่ใจเรายังมั่นคง ฝากความทรงจำถึงเพื่อน
จดจำไว้ เพื่อนยังไม่ลืม

(ซ้ำ *)

จดจำไว้ ถึงวันเก่าเก่า
จดจำไว้ จากเพื่อนถึงเพื่อน
-----------------------------

Ps.คิดถึงพวกมึงมากๆ เพื่อนๆ ที่รัก

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ดินแดนแห่งรัก

คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดซักแห่ง คงมีใครซักคนรออยู่ ตรงนั้น
คงมีความหมายใด ซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน คงจะมีซักวันฉันคงได้เจอ
เจ็บมาแล้วตั้งกี่ครั้ง เมื่อความรักพังทลาย จะมีใครที่เป็นคนสุดท้าย
เธอคนนั้นอยู่แห่งไหน จะไกลแสนไกลเท่าไหร่ ก็จะไปที่ดินแดนแห่งนั้น
จะขอเอาคำว่ารัก ทุกคำที่ฉันได้เคยเอ่ย จะขอมันคืนจากใครที่เคยผ่านเข้ามา
จะขอรวมคำว่ารักเหล่านี้ ทวีความหมายและคุณค่า
จะขอเอามามอบไว้ให้เธอผู้เดียว...
ข้ามขอบฟ้า แผ่นน้ำ หรือขุนเขา ทะเลทราย ไกลเท่าไหร่จะไปให้ถึง
คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดซักแห่ง คงมีใครซักคนรออยู่ ตรงนั้น
คงมีความหมายใด ซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน คงจะมีซักวันฉันคงได้เจอ
ข้ามขอบฟ้าหรือขุนเขา ข้ามแผ่นน้ำหรือท้องทะเลกว้างใหญ่ แต่ฉันจะไปหาเธอ
จะขอรวมคำว่ารักเหล่านี้ ทวีความหมายและคุณค่า
จะขอเอามามอบไว้ให้เธอผู้เดียว...
คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดซักแห่ง

-----------------------------
ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี จะได้รวมเอาคำทุกคำที่อยากจะเอื้อนเอ่ยไว้ที่รักคำเดียวน่าจะพอ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เพลงคนรักเมีย

เพลงคนรักเมีย ของ บอย
เธอเป็นคนเดียวที่ใจของฉันยอม
เปลี่ยนแปลงตัวเอง
จากที่ไม่ได้เรื่องราวซักกะอย่าง
และเป็นคนเดียวที่ ฉันจะพยายาม
อยากจะขอเธอ ให้อดทนอีกต่อไป

พยายามซักเท่าไหร่
ฉันก็รู้ว่ายังไม่ไปถึงไหน

อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รักเมียมากที่สุด
อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รักเมียหมดหัวใจ
อย่างน้อยถ้าใครถามเธอก็ตอบเขาได้
ว่าอย่างน้อยเธอกำลังรักกับ
ผู้ชายที่รักเมียมากกว่าใคร

ไม่หล่อไม่ดีไม่มีอะไรได้เรื่องเลย
อ้วนๆ เชยๆ ซุ่มซ่ามอย่างเคย
เหมือนเดิมทุกๆ อย่าง
อยากให้เธอรู้ว่าฉันกำลังพยายาม
ที่จะร้องเพลง นี้ให้เพี้ยนน้อยที่สุด

แต่พยายามสักเท่าไร
ฉันก็รู้ว่ายังไม่ไปถึงไหน

อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รักเมียมากที่สุด
อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รักเมียหมดหัวใจ
อย่างน้อยถ้าใครถามเธอก็ตอบเขาได้
ว่าอย่างน้อยเธอกำลังรักกับ
ผู้ชายที่รักเมียมากกว่าใคร

อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รักเมียมากที่สุด
อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็รักเมียหมดหัวใจ
อย่างน้อยถ้าใครถามเธอก็ตอบเขาได้
ว่าอย่างน้อยเธอกำลังรักกับ
ผู้ชายที่รักเมียสุดหัวใจ

-*--*-
น่ารักจังเลยเพลงนี้ ถ้ามีเมียสักคนนะ ก็จะบอกเค้าไปด้วยเพลงนี้เหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คำบางคำ จากเซนสู่พุทธ

"If you meet the Buddha, kill him."
ถ้าเจอพระพุทธเจ้าบนถนนให้ฆ่าท่านเสีย : เป็นอุบายให้คิดเหลือเกิน เพราะเซนอยู่ที่คิด ไม่ได้อยู่ที่คำพูด

Nothing makes any sense, even the nothingness.
ไม่มีอะไรเป็นตัวตน แม้กระทั่งความไม่มีเอง ก็เช่นกัน

Before we study Zen,
the mountains are mountains and the rivers are rivers.
ก่อนที่จะเรียนเซน ภูเข้าก็เป็นภูเขา แม่น้ำก็เป็นแม่น้ำ
While we are studying Zen,
the mountains are no longer mountains and the rivers are no longer rivers.
พอเรียนเซน ภูเข้าก็ไม่ใช่ภูเขา แม่น้ำก็ไม่ใช่แม่น้ำ
But then, when our study of Zen is completed,
the mountains are once again mountains and the rivers once again rivers.

หลังจากเรียนเซนสมบูรณ์แล้วภูเขาก็กลับมาเป็นภูเขา แม่น้ำก็กลับมาเป็นแม่น้ำอีกครั้ง

“ถังขยะของฉันรับทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งเศษกระดาษที่ไม่ใช้แล้วหรือความผิดพลาดที่ฉันได้ก่อขึ้น
ไม่เอ่ยแม้แต่เพียงถ้อยคำหนึ่งใด
มันเพียงแค่กลืนกินลงไปเท่านั้นเอง”
ไม่มีอะไรจะต้องลุถึง เพียงแต่ลืมตาตื่นเท่านั้นสิ่งๆ นั้นก็จะปรากฏแก่เธอ

สติที่เป็นสติสัมโพชฌงค์ ก็คือสติที่มีเองทุกขณะ โดยไม่ต้องออกแรงตั้งใจให้มีสติ และมีอยู่เองโดยไม่มีความต้องการที่จะให้มีสติ เพราะเห็นว่าสตินั้นมีประโยชน์

สิ่งที่เราเรียกว่าสวรรค์ ความสุข ธรรมะ หรือการรู้แจ้งนั้นไม่สามารถแสวงหาได้ภาย
นอกตัวของเรา หากแต่จะพบได้ก็ต่อเมื่อเราสังเกตุเห็นอย่างจริงเท่านั้นว่า
มันเป็นหนึ่ง
เดียวกับเราอยู่แล้วตามธรรมชาติ

ความสุขที่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากได้อะไรหรือคุณอยากเป็นอะไรนั้น เป็นเพียงความ
สุขที่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
มันก็สักแค่เกิดขึ้น หากคุณป่วย ก็สักแค่ป่วย หากคุณจน ก็สักแค่จน หากคุณไม่
ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในขณะนั้น ๆ คุณจะไม่มีทางรู้จักกับความสุขได้เลย
การเผชิญหน้ากับสิ่งใดก็ตามและยอมรับมันให้ได้ด้วยวงแขนที่เปิดรับในกรณีที่มัน
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จะเปิดทัศนคติของคุณให้สามารถเห็นได้ว่าชีวิตที่สวยงาม
นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เมื่อใดก็ตามที่คุณมีทัศนคติเช่นนี้ คุณก็จะถึงสวรรค์แล้ว
ไม่ว่าที่ใด เวลาใหน และในสถานกรณ์ใด