วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บ้านหลังสุดท้ายของช่างไม้


...มีช่างไม้สูงอายุคนหนึ่งต้องการจะเกษียณตัวเอง และใช้ชีวิตที่หรูหรากับภรรยา
จึงบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้างที่เค้าทำงานให้... มาทั้งชีวิต...นายจ้างบ่นเสียดาย
ที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป หวังจะให้เขาทำงานต่อ แต่ช่างไม้ก็ยังยืนกรานขอเกษียณตัวเองตามเดิม จึงได้ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสัก 1 หลัง
นายจ้างจึงพูดว่า "เอาอย่างนี้ ผมมีที่ดินว่างอยู่ติดทะเลสาบอยู่แปลงหนึ่ง ทิวทัศน์งดงามเป็นอย่างมาก แต่ขาดบ้านพักตากอากาศ ผมอยากให้คุณสร้างบ้านหลังสุดท้าย โดยที่คุณต้องใช้วัสดุไม้ที่ดีที่สุด และใช้ฝีมือที่ปราณีตที่สุดในการสร้าง" ช่างไม้ก็ฝืนใจตอบตกลง
จากนั้นช่างไม้ก็ลงมือสร้างบ้านไม้หลังสุดท้ายของตนเอง แต่ในใจกลับคิดว่า เดี๋ยวเราก็เกษียณแล้ว
ถ้าทำออกมาไม่ดีนายจ้างไล่ออกก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องตั้งใจด้วยล่ะ
ดังนั้นช่างไม้ก็ไม่ได้คัดเลือกไม้ที่แข็งแรงมาสร้างบ้าน แต่เลือกไม้ส่งๆ เป็นไม้คุณภาพต่ำจากภูเขา เขาไม่ใส่ใจว่าบ้านจะแข็งแรงหรือไม่ เพียงสักแต่ว่าสร้างให้เสร็จๆไป จนในที่สุดเขาก็ทาสีเพื่อให้ภายนอกดูสวยงามและปกปิด เขาคิดในใจว่า ขอให้ข้างนอกดูดีไว้ก่อน พอส่งงานได้ก็พอ โครงสร้างภายในจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เจ้านายดูไม่ออกหรอก
ครั้นพอบ้านสร้างเสร็จก็พบว่า มันไม่เหมือนงานที่เป็นฝีมือของช่างคนนี้เลยแม้แต่น้อย บ้านที่สร้างมาก็เป็นงานที่หยาบๆ วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดีที่ไม่สวยหรูเลย
วันที่งานเสร็จ นายจ้างก็มาตรวจงาน ผลปรากฏว่าเป็นที่พอใจอย่างมาก นายจ้างดูไม่ออกว่าขาดตกบกพร่องอะไร ก่อนที่นายจ้างจะไปเขาตีไหล่ช่างไม้เบาๆ ควักกุณแจออกมาพวงหนึ่งยื่นส่งให้ช่างไม้แล้วบอกว่า
" ตอนนี้บ้านหลังนี้เป็นของคุณแล้ว ผมขอบคุณมากที่คุณอยู่ทำงานกับผมมานานหลายปี นี่ถือเป็นของขวัญเกษียณที่ผมตั้งใจจะมอบให้คุณ"
เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า....
น่าละอายจริงๆ ถ้าเขารู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่ เขาก็คงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้...
คุณได้เรียนรู้อะไร? จากนิทานเรื่องนี้...
เช่นเดียวกับพวกเรา ที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเองด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆ วันละเล็กวันละน้อย และบ่อยครั้ง ที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการสรรค์สร้างชีวิตของตัวเอง
และเมื่อวันหนึ่งมาถึง เราก็จะตระหนักว่า เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง...ที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด..
และเมื่อถึงวันนั้น เรามักจะพูดเสมอว่า ถ้าเรา!!!! สามารถย้อนกลับไปได้ เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ...
พวกเราทุกคนก็เปรียบเสมือนช่างไม้ ทุกๆ วันพวกเรากำลังตอกตะปู ปูกระดาน หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงให้กับชีวิตตัวเอง
ดังคำพูดที่ว่า
"ชีวิตในอนาคตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง"
ทัศนคติ และ ทางเลือกต่างๆที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้
ก็เสมือนกับการสร้าง "บ้าน"(ชีวิต) ที่เราจะต้องอยู่กับมัน.....
ดังนั้นจงสร้างบ้านด้วยความฉลาด และจงจำไว้ว่า "จงทำงานเหมือนกับว่า....เราไม่ต้องการเงินทอง
จงรักราวกับว่า......เราไม่เคยเจ็บ
จงเต้นระบำ(ร่าเริง)ราวกับว่า.....ไม่มีใครจ้อง"
ความเสมอต้นเสมอปลายก็นับว่าเป็นคุณธรรมอีกประการหนึ่งที่เราไม่ควรละเลย ทุกวันนี้เราทำอะไรกันอยู่ เราได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีๆให้กับชีวิตของเราหรือยัง???...
จงใช้ชีวิตราวกับว่ามันคือ "วันสุดท้าย"
เพราะนี่คือวิธีเดียว..ที่จะสร้างชีวิตได้อย่างดีที่สุด...

ความรัก

ความรัก จาก นิทานล้านบรรทัด

ดิน น้ำ ลม แดด เป็นเพื่อนกัน
น้ำเป็นหญิงสาวหนึ่งเดียวในจตุรมิตร
ใครๆ ก็รู้ว่าดินกับน้ำรักกัน
แดดนั้นรู้ดีที่สุด ด้วยตัวเองมีใจแอบรักน้ำอยู่เต็มอก
แดดมองเห็นความรักอับแนบแน่นของดินและน้ำที่ซึมซับ โอบอุ้ม หล่อเลี้ยงกันและกันมานานแล้ว
ริษยาิแห่งรักของแดดจึงอุบัติขึ้น
แดดพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้น้ำระเหยออกจากดิน
พยายามทุกวิถีทางที่จะให้น้ำพ้นจากอ้อมอกแห่งดิน
ทุกครั้งที่มีโอกาส ความร้อนจากแดดจึงแผดเผาดินให้น้ำีระเหยออกมา
แดดต้องการให้น้ำกลายเป็นไอลอยตัวขึ้นมาหาแดด
เพื่อให้มาอยู่ในอ้อมกอดของแดดเพียงผู้เดียว
น้ำนั้นปรับตัวง่าย อยู่กับแดดก็ทำตัวราวกับมีความสุข
แดดจะแต่งตัวให้น้ำอย่างงดงามที่สุดด้วยชุดเมฆสีขาวฟูฟ่อง
แต่เมื่อไรก็ตามที่น้ำในชุดฟูฟ่องลอยต่ำลงมาหาดิน
ก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงมาซึมซับอยู่กับดินดังเดิม
แดดไม่ยอมแพ้
ยังคงแผดเผาดึงดันให้น้ำระเหยลอยเป็นไอขึ้นมาเป็นของตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ความรักของแดดนั้นเป็นเรื่องแปลก
ยิ่งพยายามแผดเผาให้น้ำระเหยขึ้นมาใส่ชุดฟูฟ่องมากเท่าไหร่
ชุดฟูฟ่องก็มักจะฟูและหนักจนลอยต่ำกลั่นตัวเป็นน้ำไปหาดินทุกครั้ง
ราวกับว่า ยิ่งรักมากยิ่งสูญเสียมาก
อย่างไรอย่างนั้น
วันหนึ่งดินจึงไปปรึกษาลมเพื่อนรัก
ลมรับรู้เรื่องราวรักสามเส้านี้มาตลอด
เมื่อดินมาขอความช่วยเหลือ ลมจึงอาสาช่วย
ทุกครั้งที่น้ำถูกแดดดึงตัวลอยขึ้นไปบนฟ้า
ลมก็จะพัดให้น้ำในชุดเมฆฟูฟ่องลอยไปรวมตัวเพื่อกลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงไปหาดิน
และแล้ว
วันที่ลมกลัวเหลือเกินก็มาถึง
แดดมาหาลมเพื่อขอความช่วยเหลือจากลมบ้าง
แดดมาขอให้ลมช่วยทำให้การระเหยของน้ำมากขึ้นอีก
ด้วยการพัดดินที่ชุ่มน้ำให้คลายน้ำออกมา
ด้วยความเป็นเพื่อน ลมจึงต้องรับปาก
จากนั้นมา
ลมจึงต้องทำทั้งสองหน้าที่
นั่นคือทั้งทำให้น้ำระเหยตัว และก็ทำให้น้ำรวมตัวเพื่อหยดลงมา
เหตุการณ์เป็นอย่างนี้วนเวียนไปมามิรู้จักจบสิ้น
และด้วยความใกล้ชิดกับน้ำบ่อยๆ เข้า
ในที่สุด ลมก็ตกหลุมรักน้ำอีกคน

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วันที่ไฟฟ้าดับ

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
วันที่ไฟฟ้าดับ
จุ๋มกับจ้อยเป็นสามีภรรยากัน
จ้อยเป็นชายหนุ่มที่ทำงานอยู่กับบ้าน รับจ้างเขียนโปรแกรม ส่วนจุ๋มทำงานเป็นดีไซเนอร์อยู่บริษัทเล็กๆที่รับจ้างออกแบบอาร์ตเวิร์คทั้งสิ่งพิมพ์และเว็บไซท์
เวลาส่วนใหญ่ของทั้งสองจึงอยู่หน้าจอ ถึงแม้กลางวันทั้งสองจะไม่ได้เจอหน้ากัน แต่ทั้งสองก็ยังคงส่งข้อความถึงกัน ถ่ายรูปอาหารการกิน ผู้คนและสิ่งที่เขาพบเจอผ่านสมาร์ทโฟนถึงกัน ใครๆก็รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้หลงใหลในโซเชียลเน็ตเวิร์คเพียงใด
ในยามค่ำคืน เมื่อสาวจุ๋มกลับมาบ้านก็มักนั่งกินข้าวเพียงลำพัง ค่าที่สาวจุ๋มกลับบ้านดึกดื่น หนุ่มจ้อยจึงซื้ออาหารสำเร็จรูปมาเตรียมไว้ แล้วตัวเขาก็กินให้อิ่มแต่หัวค่ำ แล้วก็นั่งทำงานเขียนโปรแกรมต่อในตอนที่สาวจุ๋มกลับถึงบ้าน
“วันนี้แกงไตปลาอร่อยมาก ซื้อร้านไหน” สาวจุ๋มส่งข้อความผ่านไลน์ให้สามี ทั้งๆที่ทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ผนังห้องกัน
“ร้านนี้” หนุ่มจ้อยส่งรูปภาพหน้าร้านที่เขาถ่ายมาเมื่อตอนเย็น
“ขอบใจนะที่รัก” สาวจุ๋มส่งรูปตัวเองทำหน้าทะเล้นให้สามี และแน่นอนที่สุดมืออาร์ตเวิร์คอย่างเธอไม่มีทางลืมที่จะตบแต่งรูปตัวเองให้ดูดีก่อนส่ง
“เดี๋ยวอิ่มแล้ว ขออาบน้ำนอนเลยนะ พรุ่งนี้มีประชุมเช้า ฝันดีนะคะ”
เหตุการณ์ซ้ำๆอย่างนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน
จุ๋มกับจ้อยแต่งงานกันมาห้าหกปีแล้ว ทั้งสองใช้ชีวิตแทบทั้งหมดอยู่บนจอมอนิเตอร์ทั้งการงานและงานอดิเรก ทั้งเรื่องความรู้และการพบปะสังคม ไม่น่าเชื่อว่าในบางสัปดาห์ทั้งสองคุยกันผ่านตัวหนังสืออย่างเดียว ทั้งจอเล็กและจอใหญ่
ทั้งสองยังเจอเพื่อนๆผ่านทางจอ พวกเขาไม่รู้สึกเลยว่าพวกเขาไม่ได้เจอกัน เพราะการอัพเดทสเตตัส การอ่านข้อความที่ทวีตบอกข่าว และการเห็นรูปของเพื่อนๆที่ถ่ายมาตามสถานที่ต่างๆในอินสตาแกรม ทำให้พวกเขาคุ้นชินว่าพวกเขาได้เจอเพื่อนอยู่เนืองๆ ทั้งที่บางคนพวกเขาไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีแล้ว
แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ไฟฟ้าดับทั้งเมือง
จ้อยเดินออกมาห้องทำงานเดินมาที่ห้องนอน จุ๋มงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าอากาศอึดอัด เสียงแอร์คอดิชั่นที่คุ้นหูเงียบไป
“คุณเป็นใคร” สาวจุ๋มเพ่งมองหนุ่มจ้อยที่เพิ่งเดินมาถึงปลายเตียง มีแสงจันทร์ส่องเข้ามากระทบหน้าจ้อยรำไร
“คุณนั่นแหละเป็นใคร” หนุ่มจ้อยย้อน “คุณเข้ามาในห้องผมทำไม แล้วเอาชุดนอนของเมียผมมาใส่ทำไม” หนุ่มจ้อยจำภรรยาตัวเองไม่ได้ ทั้งหน้าตาและเสียง
“แกนั่นแหละถอยไป อย่าเข้ามานะ แกทำอะไรสามีฉันแล้วเอาเสื้อผ้าเขามาใส่” สาวจุ๋มขว้างหมอนใส่หนุ่มจ้อย จะว่าไปทั้งสองไม่ได้คุยกันแบบคนปรกติมาเป็นปีแล้ว
หนุ่มจ้อยเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง สาวจุ๋มเห็นท่าไม่ได้การจึงวิ่งออกไปที่นอกบ้าน ถนนข้างนอกมืดมิดเพราะไฟถนนดับหมด มีแต่แสงจันทร์ที่ช่วยส่องสว่าง ก่อนออกมาสาวจุ๋มไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาด้วย
สาวจุ๋มรีบส่งข้อความหาสามีของตัวเองทันที
“ช่วยด้วย” เธอพิมพ์เสร็จแล้วก็หาสติกเกอร์การ์ตูนรูปคนตกใจแถมส่งไป
สาวจุ๋มคงไม่รู้ว่าไฟฟ้าดับครั้งนี้ มันเป็นการขัดข้องเรื่องไฟฟ้าครั้งใหญ่ นั่นคือมันดับทั้งเมือง ดับแม้กระทั่งเครือข่ายผู้ให้บริการทางโทรศัพท์ก็ไม่มีพลังงานไฟฟ้าที่จะรับส่งสัญญาณให้
หนุ่มจ้อยวิ่งตามมาถึงที่ตรงสาวจุ๋มยืนหอบอยู่ มือขวาเขาหยิบท่อแป๊บส่วนมือซ้ายเขาถือโทรศัพท์มือถือ “แกเป็นใคร” หนุ่มจ้อยจ้องเขม็ง
“ฉันชื่อจุ๋ม” สาวจุ๋มพูดตะกุกตะกัก เธอถอยหลังช้าๆด้วยความกลัว
คราวนี้แสงจันทร์ที่ส่องมาทำให้เขาเห็นหน้าผู้หญิงที่อยู่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น
“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ฉันรู้จักจุ๋มเมียฉันดี” หนุ่มจ้อยมองโทรศัพท์ เขาเปิดไปที่รูปภรรยาตัวเอง แล้วก็เงยหน้าตวาด“หน้าเธอไม่เหมือนจุ๋มเลย ไม่เหมือนเลยสักนิด จุ๋มของฉันสวยกว่านี้ตั้งเยอะ”
ใครจะไปคาดคิดว่า วันหนึ่งในอนาคตเราจะเห็นแต่หน้าคนรู้จักผ่านทางจอ และก็จำแต่ใบหน้านั้นไว้ในความทรงจำ ใครจะไปคิดว่าเราจะจำหน้าจริงๆของคนที่เรารู้จักไม่ได้ในวันหนึ่ง เพราะฤทธิ์ของแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนได้ช่วยแต่งหน้าให้ผู้คนเปลี่ยนไป
หนุ่มจ้อยกระชับท่อแป๊บในมือแน่น แล้วก็เดินย่างสามขุมเข้าหาภรรยาตัวเอง
.........................................................

เกมโชว์

นิทานล้านบรรทัด

ประภาส ชลศรานนท์
เรื่อง เกมโชว์
...................
รายการเกมโชว์ที่มีรางวัลเป็น โลกทั้งใบให้ครอง ได้ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายแล้ว พิธีกรประกาศเสียงลั่น 

คำถามรอบนี้ ถามเพียงสั้นๆ หากใครตอบแล้วเสียงของคนทั้งโลกโห่ร้องพอใจและตบมือเสียงดังยาวนานที่สุด คนผู้นั้นก็จะได้เป็นแชมป์และรับรางวัลโลกนี้ไปครอง และคำถามคือ... 

พิธีกรหยุดเสียงเพื่อให้ได้ยินคำถามชัดเจน
“1+1 เป็นเท่าไร

ผู้แข่งขันคนที่หนึ่งซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดกดปุ่มได้ก่อนแล้วตอบว่า มันอยู่ที่ว่า 1นั้นมีค่าเป็น สัมบูรณ์ไหม

ทนายความเป็นผู้แข่งขันคนที่สองกดปุ่มได้เป็นคนต่อมา มันอยู่ที่ตัวบทกฎหมายว่าเขียนไว้อย่างไร หากเขียนไว้ว่า 1+1 เท่ากับ เราก็ต้องมาตีความว่า 1+1 มันเป็นอย่างอื่นได้อีกไหม

ผู้แข่งขันคนคนที่สามและสี่เป็นฝาแฝดกัน และมีอาชีพเป็นนักธุรกิจใหญ่ทั้งคู่ คุณคิดว่ามันเป็นเท่าไรละ” แฝดคนแรกถามพิธีกรกลับ แฝดคนหลังพูดต่อ คุณมีตัวเลือกให้เราเลือกไหมละว่ามันควรจะเป็นเท่าไร โจทย์แบบนี้มันน่าจะมีช้อยส์ให้เลือกนะนักธุรกิจต่อรองกลับ

มาถึงคนที่ห้าผู้แข่งขันคนนี้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ผมคิดว่า1+1 เท่ากับ 1000000 ผมเสนอตัวเลขกลมๆอย่างนี้ก่อน แต่ต้องดูบริบทอื่นประกอบด้วย การรวมกันในของสองสิ่งมันมักมีค่ามากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ผมไม่ได้มองเป็นเครื่องหมายบวกอย่างเดียว 

ผู้แข่งขันคนที่หกกดปุ่มตอบต่อทันทีหลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์เพิ่งตอบไป “1.00 บวกกับ1.00 เท่ากับ 2.00” เธอเป็นนักสถิติ

ยังคงเหลือผู้แข่งขันอีกสี่คนที่ยังไม่ได้กดปุ่มตอบ นั่นคือ นักการเมือง กวี นักบวช และเด็กอนุบาล

หากมิมีใครแก่งแย่งกันแล้ว ดอกไม้คงเผยความจริง” กวีกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ หนึ่งผสานหนึ่ง คำตอบนั้นอยู่ในสายลม

นักการเมืองหันไปทางนักบวชพนมมือนอบน้อม นิมนต์ก่อนเลยขอรับ
นักบวชแต่งชุดขาวซึ่งนับเป็นผู้แข่งขันคนที่แปดตอบว่า “ 1+ 1 เท่ากับ ศูนย์
ความเงียบเข้าปกคลุมเวทีแข่งขันเกมโชว์ไปพักใหญ่ มีเสียงขานสาธุเบาๆมาจากกลุ่มคนดู อีกมุมหนึ่งมีคนได้ยินเสียงขานรับอาเมนดังขึ้้นด้วย

นักการเมืองขยับตัวมาด้านหน้าเพื่อตอบเป็นคนที่เก้า สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประชาชน ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อสิ่งนั้น
พิธีกรทำหน้านิ่วเหมือนจะถามว่านี่คือคำตอบของคำถามที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าไร แล้วใช่ไหม
ให้ผมไปสาบานที่ไหนก็ได้” นักการเมืองย้ำ

แทบจะไม่มีใครสังเกตเลยว่าเด็กน้อยผู้แข่งขันคนที่สิบซึ่งยืนอยู่ตั้งนานแล้วนั้น มีอาการตัวสั่นเบาๆด้วยความตื่นเต้น เขาตอบเป็นคนสุดท้าย

“1 + 1 เท่ากับ ครับ” เด็กน้อยตอบ
ดนตรีตื่นเต้นดังรับ พิธีกรเดินเข้ามาตรงกลาง
คำตอบที่ผู้แข่งขันทั้งสิบ ตอบไปหมดแล้ว ท่านผู้ชมพร้อมหรือยังที่จะให้คะแนน ถ้าพร้อมแล้ว เครื่องตรวจรับเสียงตบมือทั่วโลกก็พร้อมแล้ว เมื่อสัญญาณไฟแดงสว่างขึ้นที่จอทีวีท่านตบมือเลยนะครับ ผมจะขานทีละหมายเลข พร้อมนะครับ....

กล่องหัวเราะ กล่องร้องไห้

กล่องหัวเราะ กล่องร้องไห้

นิทานล้านบรรทัด 
ประภาส ชลศรานนท์
ระหว่างนั่งรอแฟนสาวเดินทางกลับจากต่างประเทศ เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น
เมธารีบลุกไปเปิดด้วยความดีใจทันที
ไม่ใช่แฟนสาวของเขา หากแต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ยืนถือกล่องกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือ 2 ใบ
" ...สวัสดีครับ อยากหัวเราะหรืออยากร้องไห้? " ชายหนุ่มนิรนามพูดขึ้น
" คุณเป็นใคร มาขายเครื่องกรองน้ำหรือเปล่า? " เมธาพูดติดตลก
" ถ้าอยากหัวเราะเปิดกล่องนี้ ถ้าอยากร้องไห้เปิดกล่องนี้ " ชายหนุ่มยังคงพูดเรื่องเดิม
" แต่มีข้อแม้... "
"ข้อแม้ก็คือ ถ้าเปิดกล่องนี่ แล้วต้องซื้อเครื่องดูดฝุ่นที่ซักผ้าปูที่นอนได้ด้วยใช่ไหม?~" เมธายังคงเย้าเล่น
 
ชานหนุ่มลึกลับถือวิสาสะเดินเข้ามาในบ้าน แล้ววางกล่องลง
 
" กล่องด้านขวานี้เป็นกล่องหัวเราะ ส่วนกล่องด้านซ้ายคือกล่องร้องไห้
 
ข้อแม้คือ.. เมื่อคุณเปิดกล่องหัวเราะ คุณจะหัวเราะอย่างมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
 
จากนั้นเมื่อฝากล่องปิดคุณจะร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ "
 
 
 
 
 
 
 
" แล้วกล่องร้องไห้ล่ะ " เมธานึกสนุก " ข้อแม้เป็นอย่างไร "
 
" ง่ายๆ ..มันก็แค่สลับกัน มันเริ่มด้วยเสียงร้องไห้ และเมื่อกล่องปิด มันจะจบลงด้วยเสียงหัวเราะ "
 
ชายหนุ่มนิรนามตอบ
 
 
เมธาเดินมามองดูกล่องสองใบใกล้ๆ " แล้ว..ผมไม่เล่นได้มั้ย ไม่เปิดเลยสักกล่อง "
 
" ได้สิครับ ชีวิตเป็นของคุณอยู่แล้วนี่ครับ "
 
ชายหนุ่มเจ้าของกล่องเดินมาหยิบกล่องแล้วเตรียมออกจากบ้าน
 
" เดี๋ยว " เมธาคว้าข้อมือชายนิรนามไว้ " วางกล่องลงก่อน  ผมอยากลอง "
 
 
 
" จะเปิดกล่องไหนครับ " ชายหนุ่มยิ้ม
 
" ใครจะบ้าเปิดกล่องร้องไห้ มีใครที่ไหนไม่อยากมีความสุขบ้าง " เมธาตอบ
 
" จริงครับ แล้ว..คุณไม่กลัวต้องร้องไห้หลังจากนั้นเหรอครับ"
 
เมธานิ่งคิดไปพักหนึ่ง แล้วตอบออกไป " ผมไม่กลัว ผมเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ค่อยร้องไห้อะไรง่ายๆ "
 
 
 
 
" ถ้าอย่างนั้น เชิญครับ " ชายหนุ่มยื่นกล่องหัวเราะให้เมธา
 
เมธาหยิบกล่องมาถือไว้ ด้วยความเชื่อมากกว่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เขาเปิดฝากล่องทันที
 
แล้วมองเข้าไปในกล่องนั้น
 
 
มันเป็นกล่องว่างเปล่า  ไม่มีอะไรเลย แล้วทันใดนั้นเองเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
 
เขาหัวเราะต่อเนื่อง หัวเราะด้วยความสุข ความสนุก หัวเราะจนต้องนั่งลงกุมท้อง
 
ชายหนุ่มเจ้าของกล่องยืนมองดูเมธาด้วยความพึงใจ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เมธาหัวเราะจนแทบหมดแรง
 
 
 
" โอย~ ทำไมมันมีความสุขอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อ ฮะๆๆๆๆ "
 
" ขอกล่องผมคืนด้วยครับ " ชายหนุ่มนิรนามพูดขึ้นหลังจากเสียงหัวเราะเบาลง
 
เมธาส่งกล่องคืนให้ " แล้วคุณจะไปแล้วหรือ "
 
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ " ผมขออนุญาตไปปิดฝากล่องข้างนอกนะครับ ผมไม่ชอบเห็นคนร่ำไห้"
 
" คนอย่างผมน่ะหรือ จะร้องไห้ " เมธายิ้มเยาะ
 
ชายหนุ่มนิรนามเดินไปถึงสุดประตู แล้วหันกลับมา
 
 
" แฟนสาวของคุณยังกลับไม่ถึงบ้านไม่ใช่เหรอครับ คุณคงลืมว่าคุณรอเธอมากี่ชั่วโมงแล้ว
 
...ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ "
 
 
.
 
.
 
.
 
 
 
แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ปิดฝากล่องลง

ธนูเลือกดินแดน

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์
"ธนูเลือกดินแดน"

สงครามแก่งแย่งดินแดนที่ดำเนินมาหลายสิบปียังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ห้าขุนพลที่แตกคอกันเองออกมาตั้งกองทัพเล็กๆก่อสงครามมากมายหลายสมรภูมิ ทั้งห้าต่างรบพุ่งกันโดยลืมไปว่าพวกเขาเคยเป็นคนในดินแดนเดียวกัน

แม้ทหารแต่ละฝ่ายจะล้มตายไปมากมาย แต่ก็ยังไม่ปรากฏร่องรอยว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ มีแต่ความสูญเสียเท่านั้นที่เป็นร่องรอยอันชัดเจนที่สุด

ในที่สุด ห้าขุนพลก็นัดกันเพื่อเจรจาสงบศึก

แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา” ขุนพลคนแรกพูดขึ้น เราจะรบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งไปใย ถึงต่อให้เราแบ่งดินแดนของตัวเองเพื่อไปปกครอง ดินแดนของแต่ละคนก็กว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะดูแลทั่วถึง

ขุนพลอีกสี่คนมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าน้อยๆเห็นด้วย การสู้รบอันเนิ่นนานที่ผ่านมาสร้างความเหนื่อยล้าให้กับพวกเขาและเหล่าทหาร

ถ้าทุกคนเห็นด้วย ข้าจะขอเสนอให้พวกเราแบ่งดินแดนกัน เราจะไม่รบราฆ่าฟันกันอีก” ขุนพลคนที่หนึ่งเสนอ ท่านขุนพลทั้งหลาย พวกเราจงมายิงธนูคนละหนึ่งดอกไปยังดินแดนที่ต้องการกันเถิด ธนูของผู้ใดปักลงตรงที่ใด ก็หมายถึงสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะครอบครองดินแดนแห่งนั้น

เสียงพึมพำอย่างพึงใจของเหล่าทหารดังขึ้นเบาๆ

ขุนพลคนที่สองไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาคว้าธนูออกมาแล้วก็น้าวศรยิงไปที่ภูเขาลูกที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันทีที่ลูกธนูปักลงตรงยอดเขา เขาก็ประกาศออกมา ภูเขาลูกนั้นคือดินแดนของข้า ข้าจะสร้างเมืองบนภูเขา” เสียงเหล่าทหารของเขาตะโกนรับเสียงประกาศของเขา

ขุนพลคนที่สามเห็นดังนั้นก็หยิบธนูยิงออกมาบ้าง และเช่นกันเมื่อลูกธนูของเขาปักลงที่ริมแม่น้ำ เขาก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กันแผ่นดินของข้าอยู่ที่ริมแม่น้ำนั้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ที่นั่น ข้าจะเป็นเจ้าของมันทั้งหมด” เสียงของเขาดังกังวานและตามต่อด้วยเสียงตะโกนดีใจของทหารของเขา

ขุนพลคนที่สี่ไม่รอช้า เขายิงธนูออกไปที่ที่ราบระหว่างภูเขากับแม่น้ำ ดินแดนของข้าอยู่ที่นั่น ขอให้ใครอย่ามาบุกรุกดินแดนของข้า ข้าและพวกของข้าจะรบจนตัวตาย” เสียงทหารตะโกนร้องรับอย่างฮึกเหิม

ระหว่างที่เหล่าทหารกำลังส่งเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์ดินแดนของตัวเอง ขุนพลคนที่ห้าก็กำลังหันรีหันขวางเหมือนว่ากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะยิงไปทางไหนดี ขุนพลคนที่หนึ่งจึงถือโอกาสนั้นหยิบธนูขึ้นมา 

ทุกคนหยุดส่งเสียงแล้วลุ้นกันว่าเขาจะเล็งไปที่ใด 

เขาส่ายธนูไปมา แล้วก็หยุดอยู่ที่ทิศทางที่จะยิงไปที่ทะเล แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ หันธนูกลับมาเล็งที่พื้นดินที่เขายืนอยู่ แล้วเขาก็ปล่อยลูกธนูของเขาพุ่งลงปักใกล้ๆกับเท้าของเขา

ทุกคนแปลกใจในการตัดสินใจเลือกดินแดนของขุนพลคนที่หนึ่ง เพราะสถานที่ที่ทุกคนยืนอยู่นี้เป็นแค่สมรภูมิข้างสันเขาเล็กๆ แล้วถ้ามันเล็กขนาดนี้มันจะสร้างเมืองอะไรได้

ผืนดินตรงนี้เป็นของข้า” เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว ดังนั้นใครก็ตามที่ตอนนี้ยืนอยู่บนผืนดินตรงนี้ จึงหมายความว่าพวกเขาเป็นคนของข้า เป็นข้าทาสบริวารของข้า นั่นหมายความว่าสมบัติที่พวกเขามีทั้งหมดซึ่งรวมไปถึงผืนดินที่เขาครอบครอบจึงต้องเป็นของข้าด้วย” ขาดคำของเขา เหล่าทหารของขุนพลคนที่หนึ่งก็ชักดาบออกมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ แล้วทุกคนก็ตวัดดาบจ่อไปที่คอหอยของทหารของขุนพลคนอื่นๆ 

ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจในเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขุนพลคนที่ห้าจึงหยิบธนูขึ้นมา ช้าก่อนท่านนักรบทั้งหลาย ข้ายังไม่ได้ใช้สิทธิ์ยิงธนูเพื่อเลือกดินแดนเลย

พูดจบ เขาก็ยิงธนูเข้าปักกลางอกของขุนพลคนที่หนึ่ง และแล้วสงครามก็ดำเนินต่อไป

นอนหลับฝันดีครับ....

โลกที่ไม่มีบันได

นิทานล้านบรรทัด

โลกที่ไม่มีบันได
ประภาส ชลศรานนท์


ละครเวทีเรื่องนี้มีฉากที่แปลกกว่าทุกเรื่องที่ผมเคยดูมา 
ด้วยส่วนใหญ่ของละครเวทีแทบทุกเรื่อง ถ้าไม่เป็นละครประเภทฉากเดียว 
ก็มักจะมีฉาก ฉากที่มีสถานะอยู่ตรงข้ามกัน 
ถ้าเป็นละครแบบเปลี่ยนฉากได้ ก็มักจะออกแบบแบ่งเวทีออกเป็น ฝั่งซ้ายและขวา ทำไว้ทั้ง 2ฉาก 
ฉากที่ว่านี้ ถ้าไม่เป็นฉากเมือง เมือง ก็มักเป็นฉากเมืองกับฉากป่า หรือไม่ก็เป็นฉากบ้านคนรวยกับบ้านคนจน 

แต่ฉากละครเรื่องโลกที่ไม่มีบันไดนี้ กลับแบ่งเป็นฉาก ฉากที่ไม่เหมือนละครเวทีเรื่องอื่น 
นั่นคือ แบ่งเป็นด้านล่างกับด้านบน และก็แบ่งเส้นนี้ยาวตลอดแนวเวที 
ทั้ง ฉากที่แบ่งเป็นล่างกับบนนี้สร้างต่อกันเป็นฉากเดียวกัน ด้วยโครงสร้างเดียวกัน 
ตัวละครที่แสดงอยู่ทั้ง ฉากสามารถเดินเหินอย่างสะดวกสบายทั้ง ชั้น 
และก็สามารถส่งเสียงพูดคุยโต้ตอบกันได้ 

เนื้อเรื่องของละครเรื่อง 'โลกที่ไม่มีบันไดก็เป็นอย่างที่ชื่อเรื่องบอกนั่นแหละครับ 
นั่นคือเป็นโลกสมมติ เป็นดินแดนสมมติดินแดนหนึ่ง ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นยุคไหน ประเทศไหน 
รู้แต่เพียงว่าดินแดนนี้เขาแบ่งผู้คนออกเป็น ชั้น นั่นคือผู้คนชั้นบนกับผู้คนชั้นล่างตามฉากที่เขาสร้างขึ้นมา 
และแน่นอน ในฉากหรือดินแดนที่ว่านี้ ไม่มีบันไดให้ตัวละครเดินขึ้นเดินลงตามชื่อเรื่องเลย 

ตัวละครที่อยู่ทั้ง ชั้น ตะโกนพูดคุยกันได้ ดูจากบทเจรจาแล้ว ก็พอสังเกตได้ว่า 
ผู้คนชั้นบนเป็นผู้คนที่มีฐานะสูงกว่าผู้คนชั้นล่าง รวมไปถึงกิริยาท่าทางพินอบพิเนาของผู้คนชั้นล่างต่อผู้คนชั้นบนก็แสดงออกอย่างนั้น 

ละครองก์แรกก็ดำเนินไปด้วยความสนุก ด้วยความแตกต่างและความเหมือนของผู้คนทั้งสองชั้น 
บทละครถูกเขียนขึ้นเพื่อประชดประชันความเลื่อมล้ำต่ำสูงของคน ชั้นอยู่ตลอดเวลา 

หลายครั้งที่คนดูหัวเราะสนุกไปกับการสนทนากันของตัวละครทั้งสองฐานะ ทั้งท่าทางการโหนตัวลงมาชั้นล่างของพ่อพระเอก ทั้งการพยายามปีนป่ายของตัวตลกที่จะปีนขึ้นไปเพื่อเช็ดรองเท้าให้เหล่าอำมาตย์ 
หรือแม้แต่ตอนที่ผู้นำของเมืองจะลงมาชั้นล่าง ก็ต้องวุ่นวายกันไปทั้งฉาก เพราะต้องตั้งแถวทหารเพื่ออุ้มผู้นำส่งต่อลงมายังดินแดนชั้นล่าง 

ก่อนจะจบองก์แรกของละครเพื่อพักครึ่งการแสดง พ่อของพระเอกที่ดำเนินเรื่องมาตลอดด้วยบุคลิกที่คิดอะไรแปลกกว่าชาวบ้าน ก็ค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ พอเดาออกใช่ไหมครับว่าคืออะไร 
ถูกต้องครับ บันได นั่นเอง 

พ่อพระเอกค้นพบว่า ถ้าเอาก้อนหินมาว่าเรียงกันเป็นขั้นๆ มันจะทำให้เขาก้าวเดินขึ้นไปยังดินแดนชั้นบนได้อย่างสบายโดยไม่ต้องปีน ถึงตอนนี้เพลงที่เล่นประกอบก็ดังกระหึ่มขึ้น 
เพื่อสรรเสริญการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของพ่อพระเอก 

ไม่รู้สิครับ ฟังแล้วไม่รู้ว่ามันยิ่งใหญ่หรือขำกันแน่ 

ดูฉากนี้แล้วจู่ๆ ผมก็ดันไพล่ไปนึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ตอนที่กาลิเลโอทำการทดลองทิ้งหิน ก้อนลงมาจากหอเอนปิซ่า 
เมื่อพ่อพระเอกประดิษฐ์บันไดขึ้นมาได้ ผู้คนทั้ง ชั้นก็ดีใจกันใหญ่ ต่างเลี้ยงฉลองกับสิ่งประดิษฐ์นี้อย่างครึกโครม ฉากร้องรำทำเพลงทำได้อย่างสนุกสนาน ผู้นำของเมืองถึงกับประกาศแต่งตั้งพ่อของพระเอกเป็นวีรบุรุษของเมืองเลยทีเดียว 

แล้วละครก็พักครึ่งการแสดง 

ผมรีบออกจากโรงละครเพื่อเข้าห้องน้ำ ด้วยอยากทำเวลาให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้กลับมาดูองก์สองต่อให้ทัน แล้วก็เลยได้เห็นห้องน้ำของโรงละครเวทีที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา 
ห้องน้ำหญิงของโรงละครเรื่องนี้ ไม่มีแถวยาวของคุณสุภาพสตรีเข้าแถวรอคิวเหมือนโรงละครอื่นเลย ที่นี่เขาทำห้องน้ำหญิงให้มีขนาดใหญ่เพื่อบรรจุจำนวนห้องน้ำให้มากกว่าห้องน้ำผู้ชาย 
ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนออกแบบห้องน้ำของโรงมหรสพทั่วๆไปชอบออกแบบให้ห้องน้ำชายหญิงมีขนาดเท่ากัน 
ทั้งๆที่ปริมาณคนดูมหรสพนั้น ผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงก็ใช้เวลาในห้องน้ำมากกว่าผู้ชาย ทั้งเรื่องความสะอาดและการดูแลความสวยความงามของผู้หญิง 

หลังจากพักครึ่ง องก์สองของละครก็ดำเนินต่อด้วยการเล่าเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้นับตั้งแต่มีบันได บันไดได้เริ่มถูกสร้างเพิ่มขึ้นมากมาย 
ทั้งบันไดลิงและบันไดขั้นแบบเดินก้าว มีทั้งบันไดวน และบันไดหักศอก ละครเล่าด้วยการร้องเพลงเพื่อบอกว่าผู้คนทั้งสองฐานะเข้าถึงกันเพราะบันได 

เนื้อเพลงร้องประมาณว่า พวกเขารู้จักกันมากขึ้น เริ่มพูดคุยกันแบบไม่ต้องตะโกนก็ได้แล้ว เริ่มสังสรรค์กัน เริ่มทะเลาะกัน สุดท้ายหนุ่มสาวจากต่างฐานันดรก็เริ่มมีความรักต่อกัน 

และหนุ่มสาวคู่นั้นก็ใช่ใครที่ไหน ลูกชายของวีรบุรุษผู้ประดิษฐ์บันไดกับลูกสาวของผู้นำเมืองนั่นเอง 
ฟังๆดูแล้ว ทุกอย่างน่าจะไปได้ดี 

แล้วละครก็มาถึงจุดวิกฤติ ผู้นำของเมืองไม่พอใจพระเอกที่เป็นลูกชายวีรบุรุษนักประดิษฐ์ 
ด้วยอยากให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับอำมาตย์หนุ่มอีกคน 
จึงหาทางใส่ร้ายพ่อพระเอกว่าเป็นปีศาจร้ายที่นำ บันได สิ่งประดิษฐ์ที่มาจากนรก 
เพราะบันไดทำให้คนชั้นบนถูกคนชั้นล่างพูดคุยและหลอกลวง บันไดทำให้คนชั้นล่างสามารถเดินขึ้นไปก่ออาชญากรรมกับคนชั้นบนได้ง่าย 

พ่อพระเอกถูกจับขังคุกรอการประหารชีวิต จากวีรบุรุษกลายเป็นกบฏ และกลายเป็นพ่อมดในชั่วข้ามคืน ตัวพระเอกเองก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนหลบหนีการตามล่า เพราะถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด 

ฉากที่สวยงามมากบนเวทีคือตอนที่บันไดทั้งหมดในเมืองที่เพิ่งถูกสร้างขึ้น ถูกเอามากองไว้กลางเมืองและก็จุดไฟเผาทิ้ง 
ถึงตอนนี้ ทั้งเมืองก็เหลือเพียงบันไดไม้ไผ่ที่พระเอกหอบหิ้วหนีมาที่เชิงเขา และเขาก็ใช้มันปีนหนีทหารขึ้นไปหลบในถ้ำบนภูเขาสูง 

เนื้อเรื่องของละครจะเป็นอย่างไรต่อไปขอไม่เล่า พระเอกของเราใช้บันไดเพื่อไปช่วยพ่อ และพานางเอกหนีออกมาอย่างไรก็ไม่ขอเล่า 

ที่ไม่เล่านั้นไม่ใช่เพราะกลัวจะสปอยท่านผู้อ่านเสียก่อน แต่ยังเล่าไม่ได้เพราะละครเรื่องนี้ยังไม่มีใครนำไปสร้าง เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่านี้เป็นเรื่องที่ผมคิดผมฝันขึ้นมาเล่นๆ 

และเช่นกัน โรงละครที่ห้องน้ำหญิงมีมากพอสำหรับคนดูแบบนี้ก็ยังไม่มีใครสร้าง ผมคิดฝันขึ้นมาเล่นๆเหมือนกัน

"ความรู้ -> ปัญญา" ... (ประโยคย้อนแสง : ประภาส ชลศรานนท์)

เมื่อเราเอาสิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน
ไม่เคยสัมผัสมาไว้ในใจ นั่นคือ

"ความรู้"


และเมื่อเราเอาสิ่งที่เราเคยเห็น
เคยได้ยิน เคยสัมผัสออกมาวางข้างนอก นั่นคือ

"ปัญญา"

ผจญภัยในความรัก

คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์


สวัสดีค่ะคุณประภาส

ไม่ทราบว่าคุณประภาสจะเป็นเหมือนแม่ของดิฉันหรือไม่ คือไม่ว่าดิฉันจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่กลับบ้านดึก ไม่เคยทำให้แม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับความประพฤติ แม่บอกว่าไม่ให้มีแฟน ดิฉันก็ไม่มี (จนตอนนี้อายุก็ 20 กว่าแล้ว) คือดิฉันทำตามใจท่านทุกอย่าง แต่แม่ไม่เคยกล่าวชมดิฉันเลย เวลาผลสอบออกมาดีกว่าเทอมก่อนๆ ก็ไม่เคยชม แต่พอได้น้อยขึ้นมาก็บ่นอยู่หลายวันทีเดียว

ดิฉันจึงอยากเรียนถามคุณประภาสในฐานะที่คุณประภาสเองก็มีลูกเหมือนกัน คุณประภาสเคยชมลูกบ้างไหม หลายครั้งที่ดิฉันนึกน้อยใจว่าทำไมหนอทำไม เราทำดีมาขนาดนี้แล้ว แม่ไม่เห็นแสดงอาการภูมิใจในตัวเราสักครั้งหนึ่งเลยค่ะ

อั้ม

*********************************************************



ผมสนใจคำขึ้นต้นจดหมายของคุณอั้มครับ

คุณอั้มขึ้นต้นด้วยคำถามว่าผมเป็นอย่างที่คุณแม่คุณอั้มเป็นหรือเปล่า นั่นคือถามผมว่าผมเคยทำตัวเย็นชาไม่ออกปากชมลูกชมเต้าอย่างที่คุณเขียนมาในจดหมายหรือเปล่า ผมอ่านจดหมายของคุณอั้มด้วยความเห็นใจครับ เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าความน้อยเนื้อต่ำใจที่คุณได้รับจากสิ่งที่คุณแม่ทำนั้น มันพาลให้คิดเหมาไปหมดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่คงเป็นอย่างนี้กันหมด

ความน้อยใจแบบนี้ถ้าเป็นหนักๆ เข้าอาจถึงขั้นไปรู้สึกอิจฉาคนอื่นที่มีแม่ที่ออกปากชมลูกได้

ผมเชื่อว่าความทุกข์ใจที่คุณอั้มประสบอยู่นั้น คุณอั้มก็คงเคยนำไปปรึกษาหรือเล่าสู่กันฟังกับคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจมาบ้างแล้ว และผมก็เชื่อว่าคำตอบที่คุณอั้มได้รับก็คงจะเป็นประโยคทำนองที่ว่า "ทุกอย่างที่แม่ทำไปก็ด้วยความรักเท่านั้น"

ฟังดูเหมือนในละครตอนหัวค่ำนะครับ คำพูดที่ฟังแล้วน่าเบื่อซ้ำๆ ซากๆ อ้างแต่ความรัก แม่บ่นก็เพราะรัก แม่เคี่ยวเข็ญก็เพราะรัก แม่ตีก็เพราะรัก ฯลฯ

ส่วนท่านผู้อ่านที่กำลังเดาอยู่ว่าแล้วผมจะตอบอย่างไรให้แตกต่างจากคำพูดน่าเบื่อที่ว่านั้น

อาจจะผิดหวังหน่อยนะครับ เพราะผมก็คงตอบเหมือนกันว่า "ความรักตัวเดียวเท่านั้นเอง" ที่ทำให้แม่ของทุกคนเป็นอย่างที่แม่เป็นอยู่

เคยเห็นฉากนี้ในชีวิตจริงไหมครับ

เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งข้ามถนนไปด้วยความซุกซนประสาเด็ก รถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาด้วยความเร็วสูง แล้วเสียงเบรกจากรถก็ดังลั่นจนเรียกให้ผู้เป็นแม่ที่อยู่แถวๆ นั้นหันมามอง รถจอดห่างจากเด็กน้อยที่ยืนตกตะลึงอยู่ไม่ถึงสองเมตรดี จากนั้นเราก็จะเห็นผู้เป็นแม่พุ่งเข้าไปหาลูกแล้วก็จับข้อมือลากออกมาให้พ้นรัศมีรถ

ภาพต่อมาเราก็จะเห็นผู้เป็นแม่เริ่มลงมือตีลูก และแน่นอนการตีนี้ย่อมเป็นการตีไปบ่นไป หรือถ้าตัวแม่อาศัยอยู่ในตลาดที่ผู้คนมักใช้ภาษาเดิมๆ ของบรรพบุรุษโบราณ เราก็อาจจะได้เห็นการตีไปผรุสวาทไปอย่างเผ็ดร้อนด้วย

ทำไมฉากชีวิตฉากนี้ไม่จบลงด้วยการที่แม่พุ่งเข้าไปหาลูกแล้วก็จูงมือออกมากอดเรียกขวัญ

ทั้งๆ ที่การจบทั้งสองแบบของฉากนี้ก็ล้วนทำไปด้วยความรักเช่นกัน

ผมพูดคำว่าความรักออกมาอีกแล้ว เพราะผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ

เป็นที่รู้กันอยู่ว่าคนตะวันออกไม่ถนัดที่จะแสดงความรักต่อกัน เรื่องบอกรักบอกความในใจนั้น คนไทยคนลาวคนจีนนี่ทำไม่เป็นเลย ยิ่งเป็นพ่อเป็นแม่กับลูกที่โตๆ แล้วนี่ยิ่งเก้งก้างใหญ่

ให้ผมเดาเล่นๆ ผมก็ว่าคุณอั้มเองก็คงไม่เคยเข้าไปกอดหอมแม่แล้วก็บอกรักท่าน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักท่านนี่ จริงไหมครับ

สำหรับคนที่เป็นลูก...แค่แม่อุ้มท้องแล้วคลอดเราออกมา บุญคุณก็ทดแทนกันไม่หมดแล้วชาตินี้ เรื่องความกตัญญูกตเวทีผมก็เชื่อว่าคุณอั้มมีอยู่เต็มเปี่ยม ไม่อย่างนั้นคุณอั้มจะอยู่ในโอวาทเชื่อฟังท่านทุกเรื่องอย่างที่เล่ามาหรือครับ
ถึงตรงนี้ผมคงต้องหมายเหตุไว้สักหน่อยหนึ่งว่า เรื่องการเชื่อฟังกับเรื่องกตัญญูก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกันนัก แม้จะใกล้กันมาก

มาดูฉากชีวิตอีกฉากหนึ่งกัน ฉากนี้ผมว่าคุณอั้มก็คงเคยเห็น

ลูกสาวคนโตกลับมาจากที่ทำงาน พอเข้าบ้านก็เห็นแม่นั่งกินไอศครีมสบายใจอยู่บนโต๊ะ เห็นดังนั้นเข้าตัวลูกสาวก็ส่งเสียงดังขึ้นทันที

"แม่กินไอศครีมทำไม แม่ก็รู้อยู่ว่ากินไม่ได้ เดี๋ยวน้ำตาลในเลือดก็สูงหรอก หนูอุตส่าห์ซ่อนในตู้เย็นลึกๆ แล้ว แม่ยังไปค้นมาอีก แม่ไม่เข็ดหรือไง คราวที่แล้วที่น้ำตาลสูงน่ะ หมอก็ห้ามให้ระวัง แม่ก็ดื้อเหลือเกิน อยากนอนโรงพยาบาลอีกหรือไง"

พูดไม่พูดเปล่าลูกสาวยังเอามือยกถ้วยไอศครีมที่กินไม่หมดออกจากโต๊ะด้วย ตัวแม่เห็นลูกทำดังนั้นก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่พูดอะไร

"แม่...หนูเหนื่อยนะ ทำงานหาเงินก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว กลับมาบ้านยังมาเจอแม่พูดไม่รู้เรื่องอีก"

เหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อคุณอั้มก็คงจะเดาได้

ตัวแม่แอบไปนั่งเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียว แล้วก็อาจเข้าใจผิดไปได้ว่า ลูกนั้นหวงแม้กระทั่งไอศครีมจนต้องแอบเอาไปซ่อนไม่ให้แม่เห็น

คุณอั้มมองอยู่วงนอกก็มองออกใช่ไหมครับว่า คำพูดของลูกสาวนั้นแม้จะไม่น่าฟังเลย แต่ก็ล้วนพูดมาจากความรักแทบทั้งสิ้น คนนอกฟังอย่างไรก็ฟังออกว่าตัวลูกสาวกลัวอาการเบาหวานของแม่จะกำเริบหนัก เลยรู้สึกโกรธที่เห็นแม่กินของหวานเข้าไปมาก ส่วนตัวคนในเหตุการณ์นั้นฟังไม่ออกหรอกครับว่าเป็นความหวังดี ถึงจะฟังออกบ้าง แต่ไอ้ความน้อยใจนี่สิมันแรงกว่าเยอะ หลายรายแล้วครับที่แรงน้อยใจมันแรงจนบดบังความหวังดีของอีกฝ่ายหนึ่งได้

คุยกันมาถึงตรงนี้ บางคนอาจคิดเล่นๆ ว่าเป็นมนุษย์นี่มันยากดีแท้ กะอีแค่มีความรักนี่ยังไม่พออีกหรือ ต้องมีการแสดงออกของความรักที่สมควรด้วยหรือ

ปัญหามันอยู่ตรงนี้จริงๆ

ปัญหามันอยู่ที่เราไม่แสดงออกกัน หรือไม่ก็ชอบแสดงออกแบบตรงข้าม

มนุษย์เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือความรัก ความรักเป็นความรู้สึกพิเศษที่อธิบายได้ยาก กวีและปราชญ์ตลอดประวัติศาสตร์ต่างก็อธิบายออกมาได้ไม่จบสิ้น

ความหมายของมันว่าอธิบายยากแล้ว การแสดงออกยิ่งยากกว่า

เราจึงเข้าใจผิดกัน หรือไม่เข้าใจกัน และเมื่อขาดความเข้าใจในรักแล้ว ความทุกข์จากความไม่สมหวังในรักก็บังเกิดขึ้น

อย่างเช่นกรณีของคุณอั้มก็ถือเป็นการไม่สมหวังในรักนะครับ คุณอั้มรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวคุณอั้มรักคุณแม่ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าหรือคุณแม่นั้นไม่รักเรา

ขออนุญาตแนะนำคุณอั้มง่ายๆ สองข้อ

ก่อนจะแนะนำก็ขอฝากท่านผู้อ่านที่เป็นพ่อคนแม่คนลองทบทวนการแสดงออกของความรักของตัวเองดู ตัวผมเองผู้เขียนก็ยอมรับครับว่าบางทีผมก็เผลอแสดงออกผิดๆ ไปกับลูก

กลับมาที่คุณอั้มครับ ลองทำดูนะครับแม้จะรู้สึกเขินๆ ตอนแรกๆ

ข้อแรก แนะนำให้เข้าไปกอดท่าน บอกรักท่าน ออดอ้อนท่านเหมือนครั้งยังเด็กก็ได้ ไม่น่าเกลียดหรอกครับ เราเป็นลูกนี่ คนรักกันนั้นลองฝ่ายหนึ่งพูดความในใจอยู่ตลอดเวลาแล้วอีกฝ่ายจะไม่พูดบ้างเชียวหรือ

บางทีไอ้ที่ท่านเคยแสดงออกทางความรักด้วยการบ่นหรือหวงแหนจนเกินเหตุ ก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ ถ้าคุณอั้มเริ่มก่อน และทำอยู่เป็นนิจ

กล้าหาญในความรักนี่น่ายกย่องออก ลองดูสิครับ

ข้อที่สอง จะขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนความคิดดูใหม่

ให้รักท่านอย่างที่ท่านเป็น อย่าไปรักท่านอย่างที่เราอยากให้ท่านเป็น แม่บอกรักเราด้วยการบ่น ก็จงเข้าใจท่านและรู้จักตัวท่านว่าท่านเป็นอย่างนี้ ยามใดที่ท่านบ่นก็ให้คิดเสียว่าท่านกำลังบอกรักเรา เพราะถ้าคุณอยากรักท่านอย่างที่อยากให้ท่านเป็น แสดงว่าคุณอยากให้ท่านชมเราก่อน เราถึงจะรัก ผมว่าอย่างนี้มันตื้นๆ อย่างไรไม่รู้

ผจญภัยในความรักให้สนุกนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ 

"ทัศนคติ" ... (ประโยคย้อนแสง : ประภาส ชลศรานนท์)

คนหนึ่ง ได้รับพรสวรรค์มามากกว่าคนอื่น
คนหนึ่ง ได้เอกสิทธิ์ ได้การศึกษาหาความรู้ดีกว่าคนอื่น
คนหนึ่ง ไม่ได้ทั้งสองอย่าง

แล้วคนไหนเล่าจะถูกพยากรณ์ว่า เขาจะเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่
ทั้งพรสวรรค์ ทั้งเอกสิทธิ์ ไม่ใช่เส้นลายมือสำคัญที่จะพยากรณ์ได้เลย

สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนเลือกเองได้ ไม่ต้องได้รับจากพระเจ้า
และไม่ต้องไ้ด้รับดีเอ็นเอจากบรรพบุรุษ

สิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์ยิ่งใหญ่

"ทัศนคติ"

"โอกาส กับ ความสามารถ" ... (ประโยคย้อนแสง : ประภาส ชลศรานนท์)

มี คำ อยู่ สอง คำ
ที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในชีวิต 
นั่นคือคำว่า "โอกาส" และ "ความสามารถ"
สองคำนี้มีความสัมพันธ์กันและแตกต่างกัน
"โอกาส" เป็นของที่ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของที่คนอื่นหยิบยื่น
"ความสามารถ" เป็นของของเรา ไม่ว่าจะมีมาตั้งแต่เกิดหรือสร้างขึ้นมาเอง

"โอกาส"
เป็นของที่เกิดขึ้นมาแล้วก็หายวับไปได้ เพราะมันเป็นของของคนอื่น

"ความสามารถ"
ต่างหากที่จะไม่หายไปไหน เพราะเราสร้างมันขึ้นมาเองได้ด้วยคาถาที่มีชื่อว่า "ความพยายาม"

การเกิดมาเป็น "คนด้อยโอกาส" จึงไม่น่ากลัวเท่ากับเกิดมาเป็นคน "ด้อยความสามารถ"

ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจที่สุดของคำสองคำนี้ก็คือ

ทุกครั้งที่ขีด "ความสามารถ" เพิ่มขึ้น

"โอกาส" ก็มักจะเพิ่มตามมาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

"ใช่เธอใช่ไหมคนดี" ... (ประโยคย้อนแสง : ประภาส ชลศรานนท์)



"ใช่เธอใช่ไหมคนดี"
โดย ลุงชาลี


เคยใช้นามปากกา "ชาลี" พูดคุยกับน้อง ๆ หลาน ๆ ในเว็บไทยมุงเมื่อสมัยที่ยังไม่มีเฟซบุ๊ค
แล้วก็เขียนตอบน้องคนหนึ่งไปเกี่ยวกับเพลง "เก็บใจ" เอามาแปะไว้ตรงนี้เผื่อใครไม่เคยอ่าน จะได้ยืนยันว่า ไม่นัดตอบคำถามเกี่ยวกับความรักจริง ๆ

"ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่งานแต่งงานเป็นเรื่องของคนหลายคน"

ลุงเคยอ่านเจอที่คุณประภาสเคยเขียนไว้ตอนไหนสักตอนหนึ่งในหนังสือของเขา
"ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน" ประโยคนี้ฟังดูง่าย
แต่ทำเป็นเล่นไป อาจมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนไม่เข้าใจประโยคง่าย ๆ นี้

หลายคนเจ็บปวดกับความรัก เพราะดันให้ความรักเป็นของคนแค่คนเดียว
บางคนก็ให้เป็นเรื่องของตัวเอง นั่นคือตามใจแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจอีกคนหนึ่ง
บางคนก็ให้เป็นเรื่องของอีกคน นั่นคือตามใจแต่คนรัก เอาตัวคนรักเป็นใหญ่ ไม่สนใจตัวเอง

สิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้จำต้องมี "การปรับตัว" - ปรัชญาข้อนี้คุณประภาสแกอธิบายมาจากทฤษฎีของดาร์วิน

นอกจากการปรับตัวแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่ามนุษย์ทำมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็คือ "การเอาชนะ"
ปรัชญาข้อนี้ คุณประภาสแกก็อธิบายมาจากวิถีของ เอดิสัน กาลิเลโอ

เอะอะอะไร คุณประภาสแกก็ทูนแต่พวกนักวิทยาศาสตร์ยันเต อย่าไปว่าแกเลย

กาลิเลโอนั้นน่าสนใจที่สุด เพราะพี่ท่านใช้ทั้งการปรับตัวและเอาชนะ ยอมติดคุกหัวโตเพื่อเขียนตำราวิทยาศาสตร์เล่มยิ่งใหญ่ของโลก

ความรักก็เป็นอย่างนั้น

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
ความรักจำเป็นต้องอยู่รอด
ความรักจึงจำเป็นต้องปรับตัวและต้องเอาชนะ
ฟังดูโหดจัง ต้องเอาชนะด้วยหรือ
พุทโธ่ ... คนรักกันทำไมุ่ถูกไม่ควร จะไปยอมได้อย่างไร

ถ้าฝ่ายหนึ่งยอมตลอดเวลา ความรักจะกลายเป็นเรื่องของคนคนเดียวทันที

ใครที่คิดว่าเรื่องเอาชนะเป็นเรื่องโหดร้าย
คุณประภาสแกก็เคยเล่าเรื่องของซุนวูให้ฟัง
"รอบร้อยชนะร้อย ยังหาใช่ความยอดเยี่ยมไม่
มิต้องรบแต่ชนะได้ จึงเป็นความยอดเยี่ยม"
ปรัชญาสูงสุดของซุนวูว่าไว้

นอกจากการปรับตัวและการเอาชนะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของมหาบุรุษแล้ว
อีกข้อหนึ่งซึ่งจะทำให้มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประเสริฐ
นั่นก็คือ "การเปิดใจ"
รับฟังทุกความเห็น มองทุกอย่างเป็นไปได้ มองความผิดพลาดของตัวเองได้ ยอมรับความผิดหวังได้ ยอมรับความสมหวังได้

เอดิสันเปิดใจกว่าสองพันครั้ง เพื่อรับวัสดุใหม่ ๆ ในการสร้างหลอดไฟให้ชาวโลก

ไอน์สไตน์เปิดใจรับจินตนาการของตัวเองบนเนินเขาว่า มันอาจเป็นจริงได้ในทางคณิตศาสตร์จนเกิดฟิสิกส์ยุคใหม่

เจ้าชายสิทธัตถะเปิดใจรับคำสอนจากอาจารย์หลายต่อหลายคน เพื่อค้นหาคำตอบของชีวิต และสุดท้ายพระองค์ยังเปิดใจอันใสที่สุดในจักรวาล เพื่อฟังเสียงจากสมาิธิของตัวเอง

ในความรัก คนสองคนต้องการ "การเปิดใจ" อย่างที่สุด

ไม่ "เปิดใจ" แล้วจะ "เชื่อใจ" กันได้อย่างไร
ความเชื่อใจนี่แหละคือเสาเข็ม อันปักลึกมั่นคงของตึกที่ชื่อว่า "ความรัก"
เมื่อเราเจอใครสักคนหนึ่งที่เราคิดว่า "ใช่" วินาทีนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ต้อง "เปิดใจ" ตัวเองก่อน "ใช่" จริงไหม หรือแค่พึงใจในหน้าตาและบุคลิก หรือแค่เหมือนใครสักคนที่เราขาดหายไป หรือใช่เพราะเขาสาละวนเอาใจแต่เราคนเดียว

เปิดใจตัวเองจริง ๆ ว่า เขาใช่สำหรับเราไหมและเราใช่สำหรับเขาไหม
อันนี้ต้องดูดี ๆ ต้องเปิดใจจริง ๆ ไม่ใช่เอาแต่ใจ แล้วหลอกตัวเองว่าใช่

คุณประภาสแกบอกมาว่า บางทีแกก็เรียกการรู้ว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" จากการเปิดใจอันนี้ว่า "สัมผัสที่หก"

ไม่เพียงแต่เรื่องความรักดอก มันจะมีกับทุกเรื่องจริง ๆ ถ้าเรา "เปิดใจ"