วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

แผนที่ของพระเจ้า

แผนที่ของพระเจ้า

สวัสดีค่ะพี่ประภาส
ถามสั้นๆค่ะ พี่คิดยังไงกับหมอดู เชื่อมั้ยคะ
ปุ๋ย

ได้อ่านข่าวที่นักวิทยาศาสตร์เขาถอดรหัสดีเอ็นเอของมนุษย์ได้สำเร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์หรือยังครับ

ข่าวใหญ่เลยนะครับข่าวนี้

ผมถามคนหลายคนรอบๆตัวแต่กลับไม่ยักมีใครรู้เรื่อง ทั้งๆที่หนังสือพิมพ์ก็ลงเกือบทุกฉบับ แต่อาจเป็นได้ที่กรอบข่าวมันเล็กไปหน่อย ทำให้คนทั่วไปมองเห็นแต่ข่าวของคุณติ๋มบินไทย

ทราบไหมครับว่านักวิทยาศาสตร์เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างไร

เขาบอกว่าข่าวการถอดรหัสดีเอ็นเอได้เกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์ครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่กว่าข่าวการส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เสียอีก เป็นข่าวที่สร้างความยินดีให้แก่วงการแพทย์ครั้งใหญ่เลยครับ เพราะการรู้รหัสดีเอ็นเอของมนุษย์อย่างละเอียดจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคต่างๆของมนุษย์อย่างยิ่ง

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า จากนี้ไปเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีอายุยืนยาวขึ้น มนุษย์ จะเป็นโรคน้อยลง หรือเมื่อเป็นโรคก็จะรักษาง่ายขึ้น เพราะนักวิทยาศาสตร์จะรู้แล้วว่ายีนตัวใดในหน่วยพันธุกรรมควบคุมอวัยวะหรือ ระบบอะไรในร่างกาย

อันนี้เป็นความคิดของนักวิทยาศาสตร์นะครับ จะเป็นจริงหรือไม่ เดี๋ยวเราจะคุยเรื่องนี้กันอีกที

แล้วอย่างไรกันครับนี่ คุณปุ๋ยถามผมเรื่องหมอดู แต่ผมผ่าไปคุยเรื่องดีเอ็นเอเฉยเลย

ลองปล่อยผมไปเรื่อยๆแล้วกัน

ตอนนี้ผมกำลังจินตนาการไปถึงตอนที่มนุษย์เริ่มสงสัยในชีวิตของตัวเอง วัน ที่มนุษย์เริ่มตั้งคำถามถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง เริ่มมองไปในชีวิตของคนอื่นว่าทำไมจึงแตกต่างไปจากตนเอง และเริ่มถามว่าทำไมวิถีทางชีวิตของคนเราแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน แล้วพวกเขาก็เริ่มสงสัยอีกว่าคนที่สร้างพวกเขาขึ้นมาได้ซ่อนความลับหรือ แผนที่อะไรบางอย่างไว้กับมนุษย์หรือไม่ แผนที่ที่ติดตัวลงมากับมนุษย์เพื่อกำหนดว่าชีวิตคนๆนั้นจะเป็นอย่างไร ตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ที่ไหน

พูดง่ายๆพวกเขาชักอยากรู้ความลับของพระเจ้าเกี่ยวกับตัวเองนั่นเอง

ทีนี้ มนุษย์คนที่มีหน้าที่ค้นหาแผนที่ค้นหาแผนผังลับของพระเจ้า ก็ต่างค้นหากันไปและก็บันทึกต่อๆกันไปด้วยคำพูดและตัวหนังสือ

บางคนจ้องไปในท้องฟ้า หาความสัมพันธ์ของดวงดาว

บางคนสนใจดวงเดือนหมู่ดาวโดยเอาระยะเวลาการหมุนครบรอบมาผูกโยงกับวันเวลาการเกิดของมนุษย์

แต่บางคนไม่มองไปไกลถึงนอกโลก เขามองกลับมาที่หน้าตาและฝ่ามือของมนุษย์ เพราะคิดว่าบางทีมันอาจจะซ่อนอยู่ในนั้น

วิชาโหราศาสตร์จึงกำเนิดขึ้นเพื่อไขความลับของพระเจ้า ไขความลับในตัวมนุษย์ให้ได้

ถึงตรงนี้ผมยอมรับว่าเป็นเรื่องแปลกจริงๆนะครับ ที่ลายมือของคนทั้งโลกไม่มีใครซ้ำกันเลยแม้แต่ฝาแฝด ผมเองไม่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ยังรู้สึกและอยากหาคำตอบในความลับอันนี้เลยครับ

วิชาโหรทุกๆแขนงถ้ามองให้เป็นวิทยาศาสตร์ก็คือวิชาสถิติดีๆนี่เอง การ บันทึกต่อเนื่องอย่างตลอดเวลาเพื่อเปรียบเทียบอ้างอิงว่าลายมืออย่างนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างนี้ หรือถ้าเกิดตรงกับเวลาที่ดวงดาวดวงนี้เคลื่อนมาอยู่ส่วนนี้ของฟากฟ้า ชีวิตจะเป็นอย่างนี้ คนจมูกแบบนี้ชีวิตจะลำเค็ญอย่างนี้ ล้วนเป็นวิชาสถิติทั้งสิ้น

แล้วถามว่าผมเชื่อไหม วิชาโหราศาสตร์

ผมสนใจโหราศาสตร์ในมุมมองอย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้น และสนใจในเชิงว่าน่าจะมีการค้นคว้าต่อไปบันทึกอย่างจริงจังต่อไปในเชิงสถิติ ผมต้องขอย้ำนะครับว่าในเชิงสถิติเท่านั้น

เพราะผมไม่เชื่อว่าจะมีมนุษย์คนไหนในโลกนี้ล่วงรู้ความลับของพระเจ้าได้ทั้งหมด ต่อให้นอสตราดามุสมีจริงก็เถิด
ผมอาจจะพูดอย่างนี้เพื่อให้ฟังง่ายขึ้นว่า “เราควรสนใจโหราศาสตร์ในมุมมองที่ว่ามันมีข้อมูลทางสถิติที่น่าสนใจ แต่เราไม่ควรให้โหราศาสตร์มาบงการชีวิตเรา”

หรือถ้าคุณปุ๋ยอยากได้คำตอบอย่างสั้นๆว่าผมเชื่อหมอดูไหม คำตอบก็คือ ไม่เชื่อและไม่ดูถูก แต่สนใจที่สถิติหลายอันทำไมแม่นยำเหลือเกิน หรือเป็นความลับของพระเจ้าที่รั่วออกมาจริงๆ เหมือนข้อสอบรั่ว ผมจึงอยากให้คนที่ศึกษาอยู่ก็ศึกษาต่อไป และน่าจะศึกษาอย่างเป็นระบบจะเอาวิทยาการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปช่วยบันทึกช่วยวิเคราะห์ก็ไม่เลวนะครับ แม้กระทั่งเรื่องผีหรือเรื่องวิญญาณผมก็ว่าน่าจะค้นคว้ากันต่อไปเหมือนกัน

เชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องหนึ่ง ศึกษาค้นคว้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผม จำได้ว่าเคยได้ยินข่าวเรื่องที่จะมีการเปิดคณะวิญญาณศาสตร์ หรือภาควิชาวิญญาณศาสตร์อะไรสักอย่างในระดับปริญญาโทไม่ทราบว่าตอนนี้ไปถึง ไหนแล้ว แต่ตอนที่ฟังข่าวครั้งแรกผมชอบใจมาก

ก็ อย่างที่บอกไม่ใช่ว่าผมเชื่อหรืองมงายเรื่องผีนะครับ แต่เราได้ยินคำนี้มาช้านาน ทำบุญตักบาตรก็มักอุทิศส่วนกุศลไปให้ปู่ย่าตายายเสมอ ถามว่าเราไม่ได้ทำบุญให้ผีดอกหรือ

เหมือนกับว่าลึกๆแล้วคนไทยทุกคนก็เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย

ผมเลยว่าถ้าอย่างนั้นเราก็น่าจะศึกษาให้เป็นจริงเป็นจังไปเลย อย่าลืมสิครับว่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างมากเหมือนกัน ศึกษาให้มันรู้ไปเลยว่ามันไม่มีจริง

กลับ มาที่แผนที่ลับของพระเจ้ากันต่อครับ ที่ผมว่ามนุษย์พยายามตามหาแผนที่ที่พระเจ้าซ่อนในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบนผืนฟ้ายามค่ำคืน บนปฎิทินเวลาตกฟากเกิดของมนุษย์ ในใบหน้าของคนและลายมือที่ไม่เหมือนกันเลยของมนุษย์

แม้แต่ฝ่าเท้ามนุษย์ยังมองหาลงไปเลยครับ

ตำราแพทย์จีนพบว่าบนฝ่าเท้าและใบหูของมนุษย์เป็นแผนที่ของร่างกาย จุดแต่ละจุดสื่อความหมายถึงอวัยวะภายนอกภายในและระบบต่างๆของมนุษย์ เคยเห็นใช่ไหมครับ รูปภาพฝ่าเท้าที่บอกไว้ว่าตรงไหนเป็นตับเป็นไตเป็นหัวใจเป็นเซ่งจี้ คนที่เคยนวดกดจุดหรือรักษาด้วยการฝังเข็มน่าจะคุ้นเคยดี

และถึงวันนี้มนุษย์ได้มองหาแผนที่ลงไปในส่วนที่เล็กกว่าฝ่ามือหรือฝ่าเท้าอีก เล็กลงไปในอณูของมนุษย์

โครงการฮิวแมนจีโนมโครงการร่วมของรัฐบาลกว่า 18 ประเทศใช้เวลากว่าสิบปีถอดรหัสทำแผนที่รหัสพันธุกรรมมนุษย์ไป 99 เปอร์เซ็นต์ แล้ว และแผนที่ที่ได้นี้จะถูกแพร่หลายออกไปให้วงการวิทยาศาสตร์การแพทย์นำไป พัฒนาการรักษาคนให้ดียิ่งขึ้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจากนี้ไปคุณภาพของชีวิตมนุษย์จะดีขึ้น

เป็นความจริงหรือ นักวิทยาศาสตร์ลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า

การ ตามหาแผนที่ของพระเจ้าในทุกรูปแบบของมนุษย์ไม่ว่าจะในศาสตร์ทางวิทย์และ ศาสตร์ที่ไม่ใช่ทางวิทย์ มีมาช้านานแล้ว ปัญหาอันหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอเมื่อเราค้นพบวิทยาการที่สำคัญขนาดนี้ก็คือ ด้านมืดของมัน

พลังมหาศาลของสมการ E = MC2 ถูกใช้ไปในทางไหนเมื่อสงครามโลกที่ผ่านมา คงจำกันได้ใช่ไหมครับ

มนุษย์มีความโลภ ความโกรธและความหลง ในที่สุดมนุษย์ก็จะใช้แผนที่ของพระเจ้านั้นด้วยกำลังแห่งโลภโกรธหลง แล้วโลกมนุษย์มันจะไปดี ขึ้นได้อย่างไร

กษัตริย์องค์ใดก็ตามต่อให้มีโหรเก่งกาจมากมายที่สามารถผูกดวงผูกฤกษ์ได้ดั่งรู้ใจเทพยดา แต่หากกษัตริย์องค์นั้นไร้ซึ่งทศพิศราชธรรม ประชาชนย่อมเดือดร้อนกันไปทั่ว แผนที่พันธุกรรมนี้ก็เช่นกันถ้าไปตกอยู่ในมือมนุษย์พร่องคุณธรรม สิ่งที่ทุกคนน่าจะกลัวก็คือ “สิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์” ที่จะเกิดตามขึ้นมาในอนาคต นี่ยังไม่รวมไปถึงสงครามล้างเผ่าพันธุ์ที่จะใช้ความรู้เรื่องความลับเรื่องยีนและโครโมโซมนี้เป็นอาวุธ

ฟังดูเหมือนหนังแอ็คชั่นวิทยาศาสตร์เลยนะครับ

แต่โลกนี้ยังมีความหวังครับ เพราะยังมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังตามหาแผนที่ของพระเจ้าอยู่เช่นกัน แผนที่ว่านี้เรียกได้ว่าเป็นแผนที่แห่งจิตวิญญาณ เป็นแผนที่ที่จะนำให้พวกเขาเข้าไปในจิตใจของตัวเอง พวกเขาเหล่านั้นถือกำเนิดกันมานานแล้ว และก็ยังคงใช้ชีวิตปะปนอยู่บนโลกเพื่อศึกษาเพื่อถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ แผนที่นี้จะทำให้พวกเขาเข้าไปใกล้พระเจ้าหรือพระธรรมหรือพระธรรมชาติมากขึ้น

ผู้คนบนโลกต่างเรียกแผนที่ที่ว่านี้ในนามที่ต่างกัน บ้างเรียกพระไตรปิฎก บ้างเรียกคัมภีร์ไบเบิ้ล รวมไปถึงคัมภีร์กุรอ่าน

ไม่ว่ามนุษย์จะค้นพบแผนที่อันใหม่ของพระเจ้าอีกกี่แผนที่ก็ตาม แต่แผนที่แห่งจิตวิญญาณนี้โลกมนุษย์มิอาจขาดได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น: