วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ว่าด้วยความคิด

ท่ามกลางบริบทแห่งโลกวิชาการ ความรู้ความคิดถูกร้อยเรียงผ่านตัวอักษรจนกลายเป็นเนื้อหาเพื่อใช้เผยแพร่ความรู้ความคิดนั้นๆ ออกสู่สังคม แต่ละบรรทัดถูกรวมกันเข้าเป็นบทความ หลายบทความรวมกันเป็นหนังสือ หนังสือจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้และเสมือนบ่อเกิดในการสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา ดังนั้นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการและผู้ที่บริโภคความรู้ทางวิชาการจึงต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน กล่าวคือ มีึบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าใช้ประโยชน์จากความรู้ในโลกวิชาการและในขณะเดียวกันนั้นได้ผลิตความรู้ตอบกลับมาเช่นกัน บุคคลกลุ่มนั้นคือ เหล่า "นักวิชาการ"  นั่นเอง นักวิชาการจึงมีหน้าที่ในการขับเคลื่อน ต่อยอด ประยุกต์และเผยแพร่ความรู้ไปสู่บุคคลอื่นๆ อีกด้วย และหากจะกล่าวอย่างง่ายให้เห็นวงจรของความสัมพันธ์นี้คือ เนื้อหาทางวิชาการสร้างคนและคนก็สร้างเนื้อหาทางวิชาการด้วยเช่นกัน

กรอบความคิดหลายอย่างได้รับการเผยแพร่และสั่งสมมาเป็นเวลานานทำให้เราแทบไม่รู้สึกว่ากรอบความคิดที่เราใช้กันอยู่มีปัญหาเพรามันถูกต้อง เช่น โชคชะตา ความเท่าเทียม การตัดสินทุกอย่างด้วยเหตุผล การหาคำตอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การลำดับเวลาเป็นเส้นตรง  ภาษา เพศ โลก อวกาศ เอกภพและสรรพสิ่ง

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

The Ten Secrets of Abundant Happiness. The Ten Secrets of Abundant Love.

10 เคล็ดลับความสุข และ ความรัก
หนังสือขายดี ที่จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป
"หากวันนี้คุณรู้ว่าพรุ่งนี้คุณจะมีชีวิตอยู่เป็นวันสุดท้าย
ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณต้องการทำอะไรในวันนี้...
นี่คือคำถามที่หลายคนไม่เคยได้ถามตัวเอง
แต่หากเป็นจริง...
แน่นอนว่า ความสุขและความรัก คงเป็นสองสิ่ง
ที่อยู่ในรายการสิ่งที่จะต้องการ หากย้อนเวลาได้
ไม่มีใครรู้ว่าตนเองจะมีชีวิตเป็นอย่างไร
หรือจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
เพราะพรุ่งนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
การรีบเรียนรู้และปฏิบัติตนเพื่อที่จะได้มีความสุข
และมีความรักตามที่ใจปรารถนาเสียตั้งแต่วันนี้
จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นสิ่งที่ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
เพื่อให้เรามีความสุขและความรัก
ไม่เพียงแค่ความสุขหรือความรักธรรมดา
แต่เเปี่ยมล้นใจเลยทีเดียว"
หนังสือ 10 เคล็ดลับความสุข และ ความรัก
แปลจาก : The Ten Secrets of Abundant Happiness.
The Ten Secrets of Abundant Love.
เขียนโดย : Adam J. Jackson (อดัม แจ็คสัน)
แปลและเรียบเรียงโดย : เอกชัย วังประภา และ วุฒินันท์ ชุมภู
บรรณาธิการโดย : สมชัย เบญจมิตร
"อย่ารอให้สายเกินไป
พรุ่งนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
ดังนั้นการมีความสุขและความรักในวันนี้
จึงเป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราคุ้มค่าที่สุด"

http://www.beemedia.co.th/images/catalog_images/ten_happiness_and_love_v55_sampleweb.pdf?fbclid=IwAR2XCsyMhamQJl0Ole_bZyEbqWgcMHJcAEgqROeMq84I9z0_6V89DGRqalk

The Tools

The Tools: 5 Tools to Help You Find Courage, Creativity, and Willpower--and Inspire You to Live Life in Forward Motion


Change can begin right now.
 
The Tools is a dynamic, results-oriented practice that defies the traditional approach to therapy. Instead of focusing on the past, this groundbreaking method aims to deliver relief from persistent problems and restore control—and hope—to users right away. Every day presents challenges—big and small—that the tools transform into opportunities to bring about bold and dramatic change in your life. These transformative techniques will teach you how to
 
GET UNSTUCK: Master the things you are avoiding and live in forward motion.
CONTROL ANGER: Free yourself from out-of-control rage and never-ending grudges.
EXPRESS YOURSELF: Learn the secret of true confidence and find your authentic voice.
COMBAT ANXIETY: Stop obsessive worrying and negative thinking.
FIND DISCIPLINE: Activate willpower and make the most of every minute.
 
For years, Phil Stutz and Barry Michels taught these tools to an exclusive patient base of high-powered executives and creative types. Now their revolutionary practice is available to anyone interested in realizing the full range of their potential. Stutz and Michels want to make your life exceptional—in its resiliency, its productivity, and its experience of real happiness. 
 
Praise for The Tools
 
“This blew my mind more than anything else I’ve learned this year.”—Dr. Mehmet Oz
 
“Breakthrough material that ignites your own capacity to transform your life.”—Marianne Williamson
“A rapid and streamlined method of self-improvement.”Publishers Weekly (starred review)
 
“An ‘open secret’ in Hollywood . . . [Stutz and Michels] have developed a program designed to access the creative power of the unconscious.”The New Yorker
 
“These tools are emotional game changers. They do nothing less than deliver you to your best and most powerful self.”—Kathy Freston, author of Quantum Wellness
 
“Intensely gratifying.”Self

https://www.amazon.com/Tools-Courage-Creativity-Willpower-Inspire/dp/0812983041
https://www.thetoolsbook.com/

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

THE SANITY WE ARE BORN WITH A BUDDHIST APPROACH TO PSYCHOLOGY

เราต่างมีพุทธะในตัวเอง เชอเกียม ตรุงปะ

ความมีเหตุผลที่เราเกิดมาพร้อมกับวิธีการทางพุทธศาสนา ของ chogyam trungpa
ความมีสติที่เกิดขึ้นกับแนวทางของพุทธศาสนากับ chogyam trungpa เป็นองค์แรกที่นำเสนอกับพุทธศาสนิกชนในภาษาทางจิตวิทยาที่พูดตรงไปที่ใจว่ามีปริมาณความต้องการอย่างจำนวนมาก
การมีสติถ้าหากว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาอย่างจริงจังเชื่อว่าพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเองย้อนคืนมากได้
และเชื่อว่าพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเองสามารถทำให้เรามีความสุขได้ ได้รับในขั้นตอน  สติเราเกิดมาพร้อมกับพุทธ buddhist  จิตวิทยา chogyam trungpa
สิบสองขั้นตอนขั้นตอนที่สอง เชื่อว่าพลังงานที่ใหญ่กว่าตัวเราสามารถเรียกคืนเรามีสติ? ตอนที่พวกเขาอ่านขั้นตอนที่สองความเข้าใจใหม่ที่เราได้รับในขั้นตอนที่หนึ่งไปสู่บทเรียนการกู้คืน เรามาเชื่อว่าพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเองสามารถฟื้นฟูเราให้มีสติเราใช้เวลาสี่สัปดาห์ในหลักการ รอ 1  นาที?

การ "ยอมรับตัวเอง" ซึ่งเป็นหัวใจของทั้งพุทธธรรมและจิตวิทยาตะวันตก การยอมรับตัวเองนอกจากจะทำให้หัวใจเปิดกว้างและอ่อนโยนกับสิ่งที่ตัวเองเป็นในทุกๆ ด้านแล้ว ยังสะท้อนถึงสิ่งที่ เชอเกียม ตรุงปะ เรียกว่า basic goodness หรือ "ความดีพื้นฐาน" --- ธรรมชาติพื้นฐานอันดำรงอยู่แล้วในตัวคนทุกคน
ความดีพื้นฐานคือสภาวะจิตอันเป็นปกตินี่เองที่ทำให้ทุกประสบการณ์ ทุกอารมณ์ ทุกผู้คน ทุกปรากฏการณ์ที่ผ่านเข้ามา มีคุณค่าและความหมายในตัวมันเอง และนั่นเองคือการแสดงตนของ "พุทธะ" ในฐานะประสบการณ์อันรุ่มรวยมีชีวิต หาใช่อำนาจอันสถิตอยู่ภายนอกตัว 
″...การมีชีวิตอยู่นั้นช่างน่ามหัศจรรย์และล้ำค่า เราไม่รู้หรอกว่าจะมีชีวิตอยู่นานเพียงไร ดังนั้นในขณะที่เรามีชีวิต เหตุใดจึงไม่ใช้มันล่ะ? แต่ก่อนที่เราจะใช้มัน ไฉนเราจึงไม่ชื่นชมยินดีกับมันล่ะ″
″เราต่างมีพุทธะในตัวเอง″ เน้นย้ำถึงการกลับมาสู่ธรรมชาติอันเป็นพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวคนทุกคน เป็นสภาวะความเป็นปกติพื้นฐานอันเป็นรากฐานของการสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น

"เมื่อพุทธศาสนาพบจิตวิทยาตะวันตก......" ทั้งจิตวิทยาตะวันตกและพุทธศาสนาต่างมีหนทางเฉพาะในการทำงานกับจิต เมื่อฝึกฝนอย่างมีทักษะจิตบำบัดสามารถช่วยปลดปล่อยสิ่งที่เก็บงำ หลบซ่อนอำพรางในใจให้เผยตัวออกมาสู่แสงสว่างเราจึงสามารถมองทะลุผ่านมันและเอาใจใส่ดูมันในพื้นที่ที่เปิดกว้างและอ่อนโยนได้ การภาวนานำเราไปทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในตอนเริ่มต้นเราอาจมองว่าเรามีจิตหรือเราเป็นจิต ทว่าว่าสักพักอาจจะเริ่มตระหนักว่าเราไม่ได้ถูกกำจัดแค่โดยความคิดหรือความรู้สึกเท่านั้น.....เราเริ่มตระหนักถึงพื้นที่รอบๆ ตัวเรา จะดีกว่าหากกล่าวว่า เราเป็นพื้นที่อันนั้น ส่วนความคิดและความรู้สึกเกิดขึ้นในฐานะแขกผู้มาเยือน พื้นที่คือปัญญาญาณในตัวมันเอง เราสามารถผ่อนคลายในความว่างอันมีชีวิตชีวาได้ และนี่คือเส้นทางทั้งหมด ...เราสามารถผ่อนคลายและพังทลายสู่ความปกติพื้นฐานของเราได้ เชอเกียม ตรุงปะ เป็นธรรมะจารย์ชาวพุทธคนแรกที่นำคำสอนพุทธศาสนาในภาษาจิตวิทยาสื่อสารตรงไปยังจิตแบบตะวันตก งานชิ้นนี้รวมเองมุมมองแบบพุทธและแบบจิตวิทยาตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันซึ่งน่าสนใจอย่างยิ่งต่อนักจิตบำบัด ผู้ศึกษาธรรมะ และผู้ที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างดวงอาทิตย์แห่งปัญญาญาณการตื่นรู้ที่อยู่ในตัวเรากับเมฆหมอกทางจิตวิทยาซึ่งบดบังแสงของมัน จิตวิทยาแนวพุทธบอกว่าเราทุกคนต่างเกิดมาด้วยสภาวะปกติพื้นฐาน ซึ่ง เชอเกียม ตรุงปะ  เรียกมันว่า "ความดีพื้นฐาน" หนังสือเล่มนี้พูดถึงการช่วยตัวเราและผู้อื่นให้สัมผัสกับพื้นแห่งความเป็นปกติและสุขภาวะนั้นในตนเอง ตรุงปะนำเสนอความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการภาวนา จิต และจิตวิทยาซึ่งท่านได้แบ่งปันกับนักวิทยา นักจิตบำบัด และศิษย์ของท่านในสหรัฐอเมริการะหว่างช่วงทศวรรษ๑๙๗๐ และ ๑๙๘๐ โดยพื้นฐานแล้ว หนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกับหนทางที่เราทุกคนฝึกฝนความเป็นมนุษย์อันเป็นปกติให้แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันก็ก็ให้ความเข้าใจแก่ความต้องการอันเฉพาะเจาะจงของผู้คนที่ตกอยู่ในความทุกข์ทางจิตด้วย นอกจากนั้นงานชิ้นนี้ยังสื่อสารโดยตรงต่อคำถามของนักจิตบำบัดและนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิต รวมถึงผู้ฟังโดยทั่วไปที่สนใจนำเอาจิตวิทยาและการภาวนาแนวพุทธไปใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในความสัมพันธ์แห่งการเยียวยา

  •  Buddhist concepts of mind, ego, and intelligence, and how these ideas can be employed in working on oneself and with others 
   •  meditation as a way of training the mind and cultivating mindfulness 
   •  nurturing our intrinsic health and basic sanity 
   •  guidance for psychotherapists and health professionals



วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

DESIGN THINKING

กระบวนการคิดเชิงออกแบบ อีกชื่อหนึ่งคือ Human center design

Design Thinking คือ “กระบวนการคิดที่ใช้การทำความเข้าใจในปัญหาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง โดยเอาผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และนำเอาความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจากคนหลายๆ สายมาสร้างไอเดีย แนวทางการแก้ไข และนำเอาแนวทางต่างๆ นั่นมาทดสอบและพัฒนา เพื่อให้ได้แนวทางหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้และสถานการณ์นั้นๆ”

มีแนวคิดหลายสำนักตามนี้เลยครับ
Stanford d.school




UK Design Council




Design Thinking หรือ The Double Diamond Design Process ของ UK Design Council นั้นแบ่งขั้นตอนออกเป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่ Discover Define Develop และ Deliver จะเห็นได้ว่า กระบวนการคิดเชิงออกแบบของ UK Design Council จะคล้ายกันกับแนวคิดของ d.school อยู่มาก ก็คือ ขั้นตอนที่หนึ่งและสอง (Discover และ Define) เป็นขั้นตอนทำความเข้าใจและตีความปัญหาอย่างลึกซึ้ง รวมถึงการวางแผนโครงการ ขั้นตอนที่สาม (Develop) คือขั้นตอนในการใช้ความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจากหลากหลายด้านมาสร้างไอเดียหลากหลายไอเดีย พัฒนาให้ภาพและทดสอบไอเดียต่างๆ และขั้นตอนที่สี่ (Deliver) คือขั้นตอนในการทดสอบช่วงสุดท้ายก่อนที่จะนำเอานวัตกรรมออกสู่ตลาด หรือนำเอาไปใช้จริง
สรุป




ผมขออนุญญาต สรุปขั้นตอนง่ายๆ ของ Design Thinking แบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามภาพนี้เลยนะครับ
  1. Understand
    คือการทำความเข้าใจ ศึกษาค้นหา Insight ของเหตุการณ์และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ และตีความหาโจทย์ที่น่าสนใจสำหรับมาใช้ในการคิดแก้ปัญหาต่อไป
Tips:

  • เปิดใจรับฟังปัญหา ห้ามตีกรอบ หรือตัดสินปัญหาด้วยมุมมองของเราเพียงฝ่ายเดียว
  • เอาใจเขา มาใส่ใจเรา เข้าไปซึมซับในสถานที่ และประสบการณ์จริง
  • สัมภาษณ์หาข้อมูล Insight ให้ได้ลึกและชัดเจนที่สุด ใช้ 5 Whys (https://open.buffer.com/5-whys-process/)
  • เลือก โจทย์ ที่คนในทีมทุกคนสนใจ และเห็นพ้องตรงกัน
  • อย่าเพิ่งคิดแนวทางแก้ไขปัญหาตั้งแต่แรก เพราะไอเดียที่ได้อาจจะไม่ได้แก้ไขปัญหาจริงๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
  1. Create
    คือการสร้างไอเดีย หรือการต่อยอดไอเดียจากหลากหลายมุมมองของคนภายในทีม เพื่อสร้างสรรค์ไอเดียนวัตกรรมที่แปลกใหม่และตอบโจทย์การแก้ไขปัญหานั้นๆ
Tips:
  • ห้ามประเมินไอเดียของคนอื่น เพราะมันจะเป็นการบล็อกความคิดสร้างสรรค์ และทำลายบรรยากาศภายในทีม
  • ห้ามประเมินไอเดียของตนเองเช่นกัน คิดอะไรออก ให้เขียนลง Post it และพูดออกมาเลย
  • ไอเดียธรรมดา สามารถกลายเป็นสุดยอดไอเดียได้
  • เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ
  • ต่อยอดไอเดียซึ่งกันและกัน
  1. Deliverคือการพัฒนาไอเดีย สร้างต้นแบบ และนำไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย รับ Feedback เพื่อนำไปพัฒนาต้นแบบ จนกระทั่งคนภายในทีมและกลุ่มเป้าหมายพึงพอใจ แล้วนำเอานวัตกรรมนั้นไปใช้จริง
Tips:
  • Fail Fast, Fail Often, Fail Cheap
  • รีบลงมือทำ อย่ามัวแต่วางแผน
  • ต้นแบบเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความคิดในหัว ให้ออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้เพื่อใช้ในการพิสูจน์ไอเดีย
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมหวังว่าทุกคนจะรู้จักและเข้ากระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือ Design Thinking กันมากขึ้นแล้วนะครับ ในบทความหน้าผมจะเจาะลึกในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ทุกๆ ท่านได้ลองไปปรับใช้กัน ทั้งในที่ทำงานและชีวิตประจำวัน ฝึกใช้จนเป็นนิสัย และคุณจะพบว่า Design Thinking ให้ประโยชน์กับคุณมากมายจริงๆ
“Design thinking is about creating a multipolar experience in which everyone has the opportunity to participate in the conversation”. Brown (2009, p.192)
เกร็ดความรู้:
  • สมาชิกภายในทีมควรรวมกันจากหลากหลายสายอาชีพ เพื่อจะทำให้ได้หลากหลายมุมมอง อาทิเช่น Business, Design, Engineer, และ Environmental Science เป็นต้น
  • เปิดใจ รับฟัง ไม่ยึดติดกับความคิดของตัวเอง คือคุณสมบัติหลักที่สมาชิกภายในทีมต้องมี
  • ในการทำ Design Thinking ผู้เชี่ยวชาญมักจะบอกว่า “Stop Talking, Start Doing” อย่ามัวแต่คุยวางแผนให้ยืดยาว รีบลงมือทำให้เร็ว รีบล้มเหลวจากสิ่งเล็กๆ เพื่อที่จะป้องกันการล้มเหลวครั้งใหญ่ในตอนท้าย
  • เรามักใช้กระดาษ Post-it ในการเขียนประเด็นต่างๆ ทั้งปัญหาต่างๆ ที่ได้มาจากขั้นตอน Empathy เพื่อใช้ในการ Define ปัญหา และยังใช้ในขั้นตอน Ideate อีกด้วย
  • 3 คำง่ายๆ สำหรับ Design Thinking “เปิดใจ ต่อยอด ลงมือเร็ว”

What is Journey Mapping about?

This technique combines 2 powerful things: visualization & storytelling. A User or Customer Journey Map forms a structured, visualized narrative, a story: what the main character does, thinks, feels — while achieving a goal & having experience with a product/service, mapped out on a timeline.

  • Empathy Map — Understand your customer

ข้อมูลเกือบทั้งหมดมาจาก : https://medium.com/base-the-business-playhouse/design-thinking-คืออะไร-overview-dc8c8e7547db

ภาพบางภาพจาก https://uxknowledgebase.com



วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Nothing – A very short introduction

Frank Close
Oxford University Press
2009
157 numbered pages
softcover
ISBN 9780199225866
Scientific essay
Any interested reader
Dr. Manuel Vogel, Imperial College London, m.vogel@gsi.de

What is our world made of and what are its tiniest constituents? Are they infinitely close together or is empty  space  between  them  necessary (or possible)?

โลกของเรามีอะไรบ้างและมีองค์ประกอบน้อยที่สุดคืออะไร? มันเป็นอนันต์หรือว่าว่างเปล่า ระหว่างมันมันจำเป็นไหม (หรือเป็นไปได้ไหม)?

Is  the  idea of a  vacuum  in conflict with  our logic? Such questions concerning the  void and  how it came to be have intrigued mankind since the early ages.

ความคิดเรื่องสูญญากาศขัดแย้งกับเหตุผลของเราหรือไม่? คำถามเกี่ยวกับความว่างเปล่าและทำให้มนุษย์ทุกคนทึ่งในช่วงแรก

The ancient Greek philosophers were among the first to approach them and have done so very thoroughly, but lacking experiments and relying only on observation and logical analysis.

ปราชญ์กรีกโบราณเป็นกลุ่มแรกที่มาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้พิจารณาอย่าถี่ด้วน แต่ขาดการทดลองและอาศัยแค่การสังเกตการณ์และการวิเคราะห์เชิงตรรกะเท่านั้น

However, in terms of history it  became quickly apparent that scientific method was an irreplaceable tool in offering an explanation to the most fundamental questions of nature.
อย่างไรก็ตามในแง่ของประวัติศาสตร์มันก็เห็นได้ชัดว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ยังไม่สามารถอธิบายคำถามพื้นฐานที่สุดของธรรมชาติได้ทั้งหมด

This is exactly how this book  approaches  the problem  – it  starts  by stating  the  problem at  first  and analysing  the earliest ideas,  continues  by  reviewing  the  development  of  science  and  different  paradigms  throughout history and finally presents  modern  views  of  time  and  space.  In  order  to  do  that,  the  author  slowly introduces the concepts of classical and quantum mechanics, electrodynamics and relativity. Finally, he presents  us  again  with  the  same two thousand years old questions and  answers,  but now under the  light  of  modern  science.  A  reader  already  familiar with  physics and  mathematics  will  be  very happy  with  the  precise  scientific  style  of  the  book,  whereas  readers  without  previous  knowledge might in the beginning be  overwhelmed by such line of thought. Nevertheless, the well-written text and the interesting topic of the  book keep the reader's attention all the time and create a feeling of "I  want  to  know  what  happens  next",  rather  surprising  for  a  scientific  essay.  I  would  highly recommend  the  book  to  anyone  who  either  wants  to  spend  a  few  quality  hours  re-discovering  a known, but maybe slightly neglected topic, or who seeks an intriguing introduction to this field where science and philosophy meet.
https://www.researchgate.net/publication/243403306_Nothing_A_Very_Short_Introduction_by_F_Close

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Measure What Matters : John Doerr


OKRs — Objectives and Key results

Objectives คือวัตถุประสงค์ที่เราต้องการทำ โดยหลักการคือต้องมีความท้าทาย แต่ละคนไม่ควรมีเกิน 3–5 objectives ในแต่ละ Quarter
Key results คือผลที่จะบอกว่า. Objective นั้นสำเร็จหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นเกือบจะพูดได้ว่า Key results จะต้องวัดได้ หรือตีค่าเป็นตัวเลขได้นั่นเอง
Key resultsต้องเป็นผลที่วัดได้ โดยไม่มีคนเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ untouchable จะได้ไม่มี bias
ความถี่ของการติดตาม => รายไตรมาส ไม่ใช่รายปี

OKRsต่างจาก KPI อย่างไร ?

ผมคิดว่าฟังดูคล้ายกับ KPI มากๆมันต่างกันอย่างไรละ เนื่องจากผมเองไม่ได้มีประสบการณ์ทำ KPI มากมายเท่าไหร่นัก แต่ผมคิดว่า Principle ต่างกันตรงที่
  • OKRs มีส่วนร่วมในการกำหนด หรือกำหนดเอง (โดยปกติ Objective 50% มาจากผู้ปฏิบัติจากหน้างาน
  • OKRs ไม่ได้เป็นเครื่องมือประเมิน Performance หรือ การพิจารณาเงินเดือน ต้องแยกออกมาต่างหาก เพราะจุดประสงค์ของ OKRs คือการสร้างจุดหมายร่วมกัน ให้เห็นข้อมูลว่าอยู่ตรงไหนเพื่อพัฒนาตัวเอง อันนี้ผมถือว่าเป็นข้อแตกต่างที่ใหญ่มาก Incentive มันต่างกัน ถ้าเมื่อไหร่ OKRs ถูกเหมารวมกับตัวเงินเดือน ทุกคนก็จะไม่อยากเสี่ยงอยากตั้งเป้าหมายให้ safe จะได้ reach 100% ได้ สุดท้ายมันก็คือตัวชี้วัดผักชีที่ไม่ได้มีความหมายอะไร ทุกคนมาทำให้เสร็จๆเพื่อส่งรายงานขึ้นข้างบน (คุ้นๆไหมครับ)
  • ดังนั้น OKRs ไม่ได้จำเป็นต้อง reach 100% เสมอไป และถ้าเรา reach 100% เมื่อไหร่ อาจต้องทบทวนว่าการตั้ง goal ของเรานั้นง่ายไปหรือเปล่า

https://medium.com/humanofhealthathome/measure-what-matter-the-simple-idea-that-drives-10x-growth-ad08db4b7bd3?fbclid=IwAR2OvmDx9US1xDNKeTKIxH8vj3PLnxx3V_7DcNpdwSIflfv2EzxEqWBVIxo

https://www.whatmatters.com/

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

The Science of Well-Being



The Science of Well-Being

overviews what psychological science says about happiness. The purpose of the course is to not only learn what psychological research says about what makes us happy but also to put those strategies into practice. The first part of the course reveals misconceptions we have about happiness and the annoying features of the mind that lead us to think the way we do. The next part of the course focuses on activities that have been proven to increase happiness along with strategies to build better habits. The last part of the course gives learners time, tips, and social support to work on the final assignment which asks learners to apply one wellness activity aka "Rewirement" into their lives for four weeks.

"The course focuses both on positive psychology — the characteristics that allow humans to flourish, according to Dr. Santos — and behavioral change, or how to live by those lessons in real life,"

คนเรามองโลกในแง่ดีหรือมองในแง่ร้าย การคุยกันในเรื่องนี้มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น คนที่มองโลกในแง่ดีได้ประสบความสำเร็จในอาชีพมากกว่า ทำไมทุกคนเลือกที่จะมองโลกในแง่ร้าย? พันธุศาสตร์? ถ้าคนที่มองโลกในแง่ร้ายเป็นนิสัยพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?
นักจิตวิทยาทั้งหลายเชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีสามารถเรียนรู้ได้้เหมือนทักษะอื่นๆ แนวความคิดเหล่านี้ง่ายพอที่จะนำมาใช้งานได้ง่ายและทำงานได้ดีสำหรับคนส่วนใหญ่
- Aristotle : ความสุขคือกิจกรรมซึ่งหมายความว่าคนที่กระตือรือร้นจะมีความสุขมากขึ้น มีความสนใจและงานอดิเรกมากมายและยุ่งอยู่กับการสร้างความสุขแม้ว่าทุกคนจะต้องการพักผ่อนบ้าง
- ข้อมูลเชิงลึกของอริสโตเติลสามารถนำมาใช้ได้อย่างแท้จริงเพราะการออกกำลังกายของหอผู้ป่วยทุกชนิดที่เป็นโรคซึมเศร้า
- นักจิตวิทยาด้านความรู้ความเข้าใจได้ตระหนักว่าสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปตามความสมัครใจ คนหงุดหงิดมักตัดตัวเองลงด้วยความคิดเชิงลบโดยอัตโนมัติ (หรือ ANT) เช่น "ไม่มีใครชอบฉัน" หรือ "ฉันเป็นคนล้มเหลวอย่างสมบูรณ์" ในการบำบัดด้วยความรู้ความเข้าใจ ANTs ถูกท้าทายและถูกแทนที่ด้วยการประเมินตนเองในเชิงบวกมากขึ้น ดังนั้นสควอช ANTs!
- มีบางอย่างที่เป็นลบในชีวิตของบุคคลไม่ว่าจะเป็นอยู่ในปัจจุบันหรือใน offing คนบางคนอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะบิน แก้วของพวกเขาว่างเปล่าครึ่งหนึ่ง อย่าเป็นคนนั้น
- การใช้ชีวิตในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป คนที่อาศัยอยู่ในอดีตมักจะรู้สึกเสียใจมาก ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นอยากได้รับการยกย่องชื่นชมหรือชื่นชมมากขึ้นการมีชีวิตอยู่ในอนาคตนี้เป็นสูตรสำหรับความเสียใจ
- การชื่นชมความงามเป็นเส้นทางสู่ความสุข ไม่ว่าจะเป็นสีอิ่มตัวของกลีบดอกไม้เสียงเพลงหรือการจับภาพคนที่มีเสน่ห์ทางเพศประสบการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสมองของเราเหมือนกับยากระตุ้นซึ่งสะท้อนถึงวิวัฒนาการที่เราออกแบบไว้
- ฉลอง! ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในช่วงวัยเด็กของเรามักเป็นช่วงฉลองครอบครัว เราเป็นสิ่งมีชีวิตทางสังคมและกิจกรรมทางสังคมในเชิงบวกช่วยเพิ่มความสุขของเรา
- ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงคนที่ทำให้คุณหดหู่ ปลูกฝังสหายที่มีความสุข ความพอใจออกไป
- นอกเหนือจากการเลือกเพื่อนที่ร่าเริงแล้วควรใช้ชีวิตในสภาพอากาศที่มีแดดจัดเนื่องจากวันที่อากาศแจ่มใสยกระดับอารมณ์และฤดูหนาวของเราทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าในบางคน
- ถ้าทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ ประสบการณ์ของผมแสดงให้เห็นว่าคนที่มีความสุขโดยทั่วไปค่อนข้างเต็มไปด้วยตัวเอง แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเติมเต็ม เรายังมีชีวิตอยู่ผ่านคนอื่น ด้วยเหตุนี้การดูแลผู้อื่นโดยเฉพาะเด็กเป็นแหล่งความสุขที่ยิ่งใหญ่ ข่าวดีสำหรับเด็กไม่มีบุตรคือการดูแลสัตว์เลี้ยงหรือแม้กระทั่งกระถางในกระถางก็สามารถสร้างความสุขในลักษณะเดียวกัน

https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-human-beast/201203/creating-happiness-10-practical-strategies

https://www.coursera.org/learn/the-science-of-well-being

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

The Order of Time Carlo Rovelli Allen Lane (2018)

เวลาเป็นภาพลวงตา: การรับรู้ของเราไร้เดียงสาของการไหลไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางกายภาพ

ภายใต้ระเบียบของเวลา (The Order of Time) ที่ดูเที่ยงตรงนั้นเต็มไปด้วยความไร้ระเบียบมากมายซ่อนอยู่ มีแต่เวลาที่เหมาะสม (proper time) ของแต่ละคน และยังมีเวลาที่เป็นไปได้มากมายอีกนับไม่ถ้วน ผันไปตามตัวแปรอย่างมวลและแรงดึงดูดที่ยิ่งมากก็ยิ่งทำให้เวลาเดินช้าลง

In the first, “The Crumbling of Time”, 
In part two, “The World without Time”,
In the final section, “The Sources of Time”


https://themomentum.co/the-order-of-time-carlo-rovelli/
https://www.nature.com/articles/d41586-018-04558-7