วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดดีๆของผู้ที่หนุ่มสำหรับผมเสมอ => ระพี สาคริก

“ความจนความรวยไม่เคยมีในโลกนั้นเป็นความจริง เช่น สมมติเรามีเงินอยู่ 10 บาท ถ้าเราบอกตัวเองเสมอว่าเราพอใจแล้ว เราพอใจตรงนี้ นี่คือความพอเพียงเพราะรากฐานของความพอเพียงคือจิตใจ ต้องควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้เพราะรากฐานจิตใจทำให้เราได้รู้จักกับตนเอง รวมทั้งใช้ธรรมะคือธรรมชาติในใจเป็นฐานทุกอย่าง แล้วจากนั้นแม้จะมีเทคโนโลยีใดๆเข้ามาก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้”

“คนที่จะช่วยบ้านเมืองได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง แต่จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”

“ธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างตัวผมก็ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร แต่ผมยืนอยู่บนความหลากหลายของตนเองคือเคารพในตนเอง ขณะเดียวกันก็เคารพคนอื่นไปพร้อมๆกัน”

“ ระพี สาคริก” ชายผู้ที่จบเพียงปริญญาตรีแต่ตำแหน่งทางวิชาการคือศาสตราจารย์ เคยเป็นผู้นำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในตำแหน่งอธิการบดี ผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านกล้วยไม้

เกิดเป็นข้าแผ่นดิน วันนี้คุณทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง

“...ข้าราชการที่มีหน้าที่สำคัญส่วนหนึ่ง ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลทั้งปวงด้วยความสุจริตจริงใจ วางตัวให้พอเหมาะพอสมกับฐานะตำแหน่ง พร้อมกับรักษาความสุภาพอ่อนโยนไว้ให้เหนียวแน่นสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ยังจะต้องมีความเสียสละ อดทน รู้จักเกรงใจ ให้อภัย ทั้งโอนอ่อนผ่อนตามกันและกันด้วยเหตุผล และสำคัญที่สุด จะต้องหัดทำใจให้กว้างขวางหนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดความเห็นแม้กระทั่งคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดนั้นแท้จริงคือ การระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลายหลาก มาอำนวยประโยชน์ในการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง...”

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ วันที่ 1 มีนาคม 2536

เกิดเป็นข้าแผ่นดิน วันนี้คุณทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความรักกับวิทยุ

ฟังวิทยุ FM ยังต้องจูนหาคลื่นเลย
ความรักก็เหมือนกัน
บางที่ก็มีคลื่นที่เราอยากฟัง บางที่ก็ไม่มี
มีบ้างที่คลื่นที่เราชอบ ขาดๆหายๆ
แต่เมื่อไหร่ ถ้าจูนกันถูกช่องถูกเวลา มันก็ ชัดเจนเองเนอะ
แล้วเราก็จะมีความสุข

จากน้องเดียร์ ศวท.8

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

บันทึกของเสด็จในกรมหลวงชุมพร

บันทึกของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
"กูกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช ขอประกาศให้พวกมืงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤๅ กระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตร
ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร" ยังยืนหยัดอยู่ในโลก
กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น.

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

คนฉลาดทั้งเจ็ด

ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ "คุยกับประภาส"
มติชน หน้า 14 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2544

สวัสดีครับ พี่ประภาส
น้องสาวผมชอบบอกว่าตัวเองไม่ฉลาด ถึงอ่านหนังสือไปเท่าไหร่ก็ไม่เก่งขึ้นเพราะหัวไม่ดี ไม่เหมือนคนที่เขาฉลาด อ่านหนังสือนิดเดียวก็รู้เรื่องแล้ว แกเลยไม่ค่อยอ่านหนังสือ ผมละหนักใจจริงๆ พยายามบอกเขาว่าในโลกนี้ความฉลาดนั้นเท่าเทียมกันตั้งแต่เกิด มีแต่ความขยันเท่านั้นที่ไม่เท่ากัน คนที่เขาฉลาดกว่าเพราะเขาขยันกว่าก็เท่านั้นเอง บอกไปทีไรก็เถียง
1. จริงหรือเปล่าครับที่คนเราฉลาดไม่เท่ากัน
2. ถ้าเป็นอย่างข้อหนึ่งจริง ผมสงสารคนที่ไม่ฉลาดจังเลยครับ ถ้าเขาเอาข้ออ้างนั้นมาอ้างเพื่อที่จะไม่พยายามให้มากๆ เพราะพยายามไปก็เสียเปล่า
3. คนที่เขาฉลาดเพราะเขาขยันหรือเพราะเขาหัวดีกันแน่ครับ
สุดท้ายนี้ผมอยากให้พี่ประภาสตอบจดหมายผมลงในหนังสือพิมพ์ด้วย เพราะน้องสาวผมเขาชอบอ่านหน้าสิบสี่
ดีเลิด เนินโคบาล

คำเถียงข้างๆ คูๆ ของน้องสาวคุณดีเลิศอาจมองได้สองทาง
ทางแรกเขาเถียงไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้เถียงโดยเชื่ออย่างที่ตัวเองคิด แต่เถียงเพราะถูกเคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือในขณะที่กำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ ก็เลยเถียงเพื่อให้เป็นข้อแก้ตัว ทางที่สองเถียงเพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ฉลาดจริงๆ แล้วก็ให้บังเอิญหนังสือเรียนของเขามันก็ดันเกิดไม่น่าอ่านเอาเสียอีก เมื่อไม่ยอมอ่านหนังสือบ่อยๆ เข้าก็เลยรู้สึกยิ่งตอกย้ำความไม่ฉลาดของตัวเองไปเรื่อยๆ
ตอกบ่อยๆ ไม่ดีนะครับความคิดโจมตีตัวเองแบบนี้
เสาเข็มที่ถูกปั้นจั่นตอกไปเรื่อยๆ ทีละนิ้วทีละคืบจนมันจมมิดลงดินนี่ ตอนจะดึงขึ้นยากกว่าตอนตอกไม่รู้กี่ร้อยเท่า นักจิตวิทยาหลายสำนักพูดตรงกันเลยครับว่า การพูดย้ำว่าตัวเองว่าเป็นอย่างไรซ้ำๆ บ่อยๆ มันจะทำให้เรามีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ดังนั้นหากจะตอกเสาเข็มละก็ ผมว่าเราเลือกเสาเข็มที่มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นดีไหมครับ ใครที่ชอบดุว่าลูกหรือลูกศิษย์ตัวเองโง่นี่เปลี่ยนใหม่เถิดครับ ถ้ายังเขินปากไม่กล้าชมใคราว่าฉลาดมาก ลองใช้คำพูดในตอนแรกๆ ว่า "ฉลาดไม่เบานี่เธอ" ก็ยังได้
พูดถึงความฉลาด...บางทีเราอาจจะมองคนฉลาดไม่ตรงกัน คนแบบไหนกันที่เรียกว่าคนฉลาด
คนที่เรียนหนังสือคือคนฉลาดถูกไหม?
ผมว่าไม่ถูกทั้งหมด เพราะสมัยที่โลกนี้ยังไม่มีโรงเรียนก็ยังมีคนฉลาดเดินชนกันอยู่มากมาย
เราต้องยอมรับว่า เวลาที่เรานึกถึงคนฉลาดเรามักจะนึกถึงคนที่มีความคิดหลักแหลมในทางวิชาการ บางทีเราอาจตีความหมายของคำว่าฉลาดแคบไปสักหน่อย
ผมชอบนั่งดูช่างทำงานครับ ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้หรือช่างเครื่อง ยิ่งวเวลาที่ช่างไม้คนไหนเข้าเดือยไม้สวยๆ หรือมีวิธีแก้ปัญหากการะประกอบเครื่องเรือนได้อย่างแยบยลนี่ ผมจะรู้สึกว่าช่างนนนี้ฉลาดดี หรือแม้แต่แม่ค้าบางคนทีอธิบายสรรพคุณของสินค้าจนผมต้องยอมควักกระเป๋าซื้อ สินค้านั้น ด้วยความเชื่อมั่นว่าของที่ซื้อดีจริง ผมก็รู้สึกว่าแม่ค้าคนนนี้เธอฉลาดดีเหมือนกัน

เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเสนอความคิดหนึ่งที่ถูกใจผมเหลือเกิน เขาบอกว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นมีอยู่เจ็ดอย่าง
คุณการ์ดเนอร์แกเชื่อว่ามนุษย์มีความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดไม่เท่ากัน บางคนมีความฉลาดอย่างหนึ่งมากกว่าอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจมีความฉลาดหลายอย่างอยู่ในตัว และถ้ายิ่งได้ฝึกฝนมากขึ้น ความฉลดอันนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
แล้วถามว่าสำหรับคนที่ไม่มีเลยจะฝึกให้มขึ้นได้ไหม ในความคิดส่วนตัผมว่าได้ ผมมองว่าความฉลาดของคนเรานี่ฝึกฝนกันได้ แต่จะได้มากหรือน้อยก็ต้องย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมาย และคงต้องยอมรับว่าแต่ละคนย่อมได้รับผลจากการฝึกไม่เท่ากัน
เป็นความจริงทีเดียวที่เด็กทุกคนเปรียบเหมือนผ้าขาว แต่ผ้าขาวย่อมมีหลายเนื้อ และผ้าแต่ละเนื้อก็ย่อมดูดซึมสีแต่ละชนิดได้แตกต่างกัน ผ้าบางอย่างย่อมเหมาะกับสีบางอย่าง
ผมมีคนอยู่เจ็ดคนจะแนะนำให้รู้จัก เป็นคนฉลาดที่ทฤษฎีของนายการ์ดเนอร์พูดถึงนั่นแหละครับ

คนแรกเขาชื่อ คณิต เด็กหนุ่มคนนี้เป็นภาพของคนฉลาดอย่างที่คนทั่วไปนึกถึงก่อนเป็นลำดับแรก เขาเก่งวิทยาศาสตร์ สอบเลขได้คะแนนดีเสมอ ผมถือว่ามุมมองของเขาต่อสรรพสิ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่าตรรกะ เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลปรากฎการณ์ทุกอย่าง ในจักรวาลต้องอธิบายได้ด้วยตรรกวิทยา
ในทางจิตวิทยาเรียกความฉลาดแบบนี้ว่า Logical Mathematical Intelligence หรือความฉลาดด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
คนฉลาดแบบนี้สมัยกรีกโบราณเขาเรียกว่าปราชญ์ครับ
คนที่สองชื่อรจนา เธอคล่องถึงสามภาษา และกำลังวางแผนที่จะเรียนอีกภาษาหนึ่งอยู่ ใครๆ ก็มักบอกว่าเธอเขียนโคลงกลอนได้อย่างก้บมืออาชีพ ตอนเป็นนักเรียนเธอเข้าใจความหมายของเสียงในคำได้ท้นทีที่ครูพูดถึง เพื่อนหลายคนต้องให้เธอติเรื่องเสียงเอกโทตรีที่เธอก็ไม่เข้าใจว่ามันยากตรง ไหน ตอนอยู่มหาวิทยาล้ยเธอร่วมอยู่ในชมรมโต้วาทีโดยเป็นประธานชมรมถึงสองสมัย เธอมีความฉลาดที่เรียกกันว่าความฉลาดด้านภาษา หรือ Linguistic Intelligence อย่างเต็มเปี่ยม

คนที่สามเป็นช่างไม้ครับ ผมเรียกแกว่าหน้าทรง น้าทรงแกเป็นคนผอมๆ ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไหร ยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่า แล้วแกจะมีแรงเลื่อยไม้ไหวหรือ
น้าทรงเป็นหัวหน้าช่างครับ แต่ผมว่าแกฉลาดเหลือเกิน แกเข้าใจรูทรงสามมิติได้อย่างไม่น่าเชื่อ รูปทรงยากๆ แค่ไหน อธิบายให้แกฟัง แกก็ประกอบเข้าไม้ได้ไร้ที่ติ การกะระยะยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่ต้องใช้เทปวัดเลย ว่างๆ ผมเห็นแกนั่งวาดรูปเล่น เส้นสายไม่เลวเลยครับ ถ้าได้ร่ำเรียนเสียหน่อย แก็น่าจะไปได้ดี นี่ถ้าแกเกิดในครอบครัวที่ส่งเสียแกเรียนได้ ผมว่าแกคงเลือกเรียนจิตรกรรมหรือสถาปัตย์เป็นแน่
คุณการ์ดเนอร์แกเรียกคนที่มีความสามารถในการกะระยะทาง การเข้าใจรูปทรง การมองเห็นเป็นสามมิติ รวมไปถึงความชำนาญในการใช้สี เส้น ที่ว่าง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับมันได้ว่าเป็นคนที่มีความฉลาดด้านมิติ หรือ Spatial Intelligence
ความฉลาดด้านมิตินี่ผมว่าเราคงจะต้องนับเอาพวกที่มีความชำนาญในเรื่องทิศทางเข้าไปด้วย

คนที่สี่คนนี้เป็นนักกีฬาสมัครเล่นครับ ถังจะดูจากรูปร่างแล้วเขาก็ไม่ได้มีร่างกายล่ำสันอะไร แต่กีฬาแทบทุกชนิดเขาเล่นได้ดีเหมือนกับว่าอุปกรณ์กีฬาที่เล่นอยู่เป็นส่วน หนึ่งของร่างกายเขาเองเลย..ชื่ออินทรีย์ครับคนนี้
เคยแปลกใจบ้างไหมครับเวลาที่เราเห็นคนบางคนเล่นกีฬาอะไรก็ดีไปหมดเสีย ทุกอย่าง ไมเคิล จอร์แดนเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทั้งบาสเกตบอล เบสบอล หรือแม้แต่กอล์ฟ เขาเล่นได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ เขาทราย แกแล็คซี่ของเรานี่ก็ใช่ครับ นอกจากทำให้คนทั้งโลกยอมรับไปแล้วว่า ไม่มีใครที่น้ำหนักตัวเท่าเขาล้มเขาบนสังเวียนได้ ผมยังเคยเห็นเขายิงหนังสติ๊กออกทีวีโชว์ความแม่นยำที่ต้องบอกว่าแม่นเอามากๆ และก็ยังเคยได้ยินมาอีกว่าชั้นเชิงสนุกเกอร์กับฝีมือตะกร้อของเขาก็ไม่เบาที เดียว ไอ้ครั้นจะบอกว่าคนพวกนี้มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่าคนอื่นก็คงไม่ใช่ เพราะกล้ามเนื้อคนเรานี่มันเพาะกันได้ แล้วผมก็ว่านักกล้ามกับนักกีฬานี่มันก็ไม่เกี่ยวกัน
นักจิตวิทยาอเมริกันท่านนี้มองว่า ความสามารถในการใช้ร่างกายของคนเราก็เป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ความแคล่วคล่อง ความยืดหยุ่น หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ล้วนเป็นความฉลาดของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
พวกนักเล่นกลหรือนักกายกรรมนี่ก็ใช่นะครับ พวกใช้มือประดิษฐืสิ่งของเก่งๆ นี่ก็ใช่เหมือนกัน รวมไปถึงพวกพ่อครัวที่โยนแป้งได้สูงๆ แล้วรับได้ พวกโยนผักบุ้งลอยฟ้า คนที่ใช้มือได้คล่องๆ อย่างนี้ล้วนมีความฉลาดเหมือนที่นายอินทรีย์มี เป็นความฉลาดที่เรียกว่า ความฉลาดด้านร่างกาย หรือ Bodily Intelligence นั่นเอง
คนต่อมาชื่อลุงสำเนียงครับ เครื่องดนตรีในวงปี่พาทยืทั้งวงนี่คุณลงุแก่นเล่นได้หมดเลย โน้ตสักตัวก็ไม่รู้ แต่แต่งเพลงมาไม่รู้กี่เพลงแล้ว พูดง่ายๆ คุณลุงแกมี Musical Intelligence หรือความฉลาดด้านดนตรีมาตั้งแต่เกิด ใครร้องเพลงเพี้ยนขึ้นมาไม่ถึงสามคำแกก็เคาะหัวได้เลย เรื่องจังหวะนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างแกนี่ต้องเรียกว่าชีพจรเพลงมากกว่าจังหวะเพลง คิดดูก็แล้วกัน เล่นเพลงอยู่ดีๆ เกิดสัปหงกหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมายังเดี่ยวระนาดเข้ากับวงได้ทันทีไม่มีคร่อม
พวกนักเต้นรำที่คล่องจังหวะมากๆ นี่ก็ถือว่ามีความฉลาดด้านดนตรีเหมือนกัน ต่อให้จังหวะซอยถี่แค่ไหนก็ยังย่ำเท้าได้ไม่มีผิด

คนที่หกเขาชื่อสัมพันธ์ เคยเห็นคนแบบนี้บ้างไหมครับ คนที่ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกและเจตนาของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ เป็นคนที่รู้ถึงความเหมาะเจาะของสัมพันธภาพของมนุษย์ ไม่มีขาดไม่มีเกิน ความสามารถแบบนี้คุณการ์ดเนอร์แกก็ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง เขาเรียกว่าความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ หรือ Interpersonal Intelligence

คนสุดท้ายชื่อแปลกหน่อยนะครับ เขาชื่ออัตตา จิตแพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนทุกวันนี้ล้วน แแล้วมาจากการที่ไม่มีใครทำตัวเหมือนคุณอัตตาคนนี้ แล้วคุณอัตตาฉลาดตรงไหนหรือ?
คุณอัตตาเป็นคนที่นับถือตัวเองอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้จุดอ่อนตัวเอง รู้ความปรารถนาและรู้อารมณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุดเขารู้ด้วยว่าเขาจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองตรงนั้นอย่างไร
ตรงนี้น่าสนใจนะครับ หรือพวกเจ้าอารมณ์ทั้งหลายนี่เป็นเพราะไม่ฉาดในเรื่องนี้?
เราเรียกความฉลาดของคุณอัตตาว่าความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง หรือ Intrapersonal Intelligence หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของ EQ หรือความแลาดทางอารมณ์นั่นเอง ซั่งความฉลาดอันสุดท้ายนีแหละครับ ที่นักจิตวิทยาทั้งโลกกำลังส่งเสริมให้ฝึกฝนกัน เพราะมันทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
แต่เราต้องเห็นตรงกันก่อนว่าความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คือความพอใจในความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช่เงินทองยศถา
มนุษย์ทุกคนมีความฉลาดในเจ็ดด้านนี้มาแต่อ้อนแต่ออก แต่อาจจะมีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนอาจมีทั้งเจ็ดด้านเฉลี่ยๆ ไป แต่บางคนอาจมีด้านเดียวโด่งไปเลย การฝึกฝนจะเป็นหินแท่งสำคัญที่จะลับมีดทั้งเจ็ดเล่มนี้ให้คมยิ่งขึ้น
หาให้พบนะครับ คนเจ็ดคนทีผมแนะนำให้รู้จัก ถูกคอกับคนไหนก็อย่าลืมตีสนิทกับเขาให้มากๆ เขาอยู่ในตัวพวกเราทุกคนนั่นแหละ

(คัดลอกจากหนังสือ มะเฟืองรอฝาน, ประภาส ชลศรานนท์, หนังสือชุด คุยกับประภาสลำดับที่ ) 4

จากมะเฟืองรอฝาน

ความสนุกของงาน มันไม่ได้อยู่ที่งานไหนสนุกหรือไม่สนุก มันอยู่ว่าเราเอาใจของเราเข้าไปทำงานนั้นด้วยหรือเปล่าต่างหาก

โสเครติส : หนึ่งในบรรดาความเชื่อมากมายที่ข้าฯ มีก็คืออำนาจแห่งกฏหมายพลเมือง ในเมื่อกฏหมายแห่งเอเธนส์พิพากษาประหารข้าญ ข้าญ ก็ต้องตาย นี่คือตรรกะที่ชอบแล้ว

กาลิเลโอ : เอ..เปร..ชิ..มู..เบ แปลว่าถึงอย่างไรโลกก็ไม่เคยหยุดหมุน

ประเทศที่คนรู้หนังสือมากที่สุดในโลก อันดับหนึ่งนั้นมีญี่ปุ่นและเยอรมันผลัดกันเป็นแชมป์อยู่
ประเทศที่รบกับคนทั้งโลกมาแล้วนั่นเอง

เซนถือว่าการเข้าใจและรู้แจ้งในชีวิตเกิดจากการเฝ้าดูชึวิตให้มันผ่านไปเรื่อยๆ ผ่านไปเหมือนสายน้ำในลำธารแล้วแวบหนึ่งแสงแห่งณาณก็จะสว่างขึ้น
ในหยินมีหยางและในหยางก็มีหยิน

ก่อนมีเต๋าก่อนมีเซน กระบี่ดีอยู่ที่เนื้อเหล็ก
เมื่อมีเต๋า...กระบี่อยู่ที่ใจ
และเมื่อมีเซน ไม่มีทั้งกระบี่ไม่มีทั้งใจ

ดูกรมหากัสสปะ เราได้แสดงขุมทรัพย์อันไพศาลแห่งจิตใจคือโลกุตรธรรมให้เห็นแล้ว เราขอส่งมอบให้เธอ ณ บัดนี้

เป้าหมายที่สัคัญกว่าสิ่งอื่นใด คือเมื่องานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จะเห็นทีมงานจับมือกัน ส่งเสียงดีใจกัน เป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด

ปราชญ์จีนโบราณถือกันว่า งานสิ่งใดจะประสบความสำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่าง....นั่นคือ ฟ้า ดิน และคน
ฟังแล้วผมก็ชอบอยู่

ปัจจัยแรก คน สิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีปัจจัยนี้ย่อมไม่มีงานเกิดขึ้น แม้แต่ในนิทาน ถ้าเทวดาไม่แปลงร่างลงมาเป็นคน วีรกรรมต่างๆ ก็คงไม่อุบัติขึ้น ในตำรับตำราทางโหราศาสตร์ของจีน คนที่ว่านี้ยังหมายถึงความสมบูรณ์ทางนรลักษณ์ศาสตร์หรือรูปลักษณ์ของใบหน้าร่างกายที่เราเรียกทับศัพท์ภาษาจีนกันว่าโหงวเฮ้งอีกด้วย

ปัจจัยที่สอง ดิน ถ้าเป็นซินแสนักดูทำเลก็จะบอกว่าดินนี้หมายถึงภูมิประเทศที่เหมาะตามศาสตร์ของฮวงจุ้ย ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของการใชัชีวิตเป็นอย่างมาก วิชาฮวงจุ้ยเชื่อว่ามีพลังสองอย่างอยู่ในที่ต่างๆ บนโลกนั้นคือพลังดีและพลังร้าย การตั้งเคหาหากวางตัวอาคารและตำแหน่งหอห้องให้รับพลังดีเข้ามาและคอยหลีกหนีพลังร้าย ชีวิตและการงานจะประสบความสำเร็จ

ปัจจัยที่สาม ฟ้า หรือชะตาฟ้าลิขิตนั่นเอง

แต่ถึงขงเบ้งจะเชื่อว่าคนเป็นผู้สร้างและฟ้าเป็นผู้กำหนด ขงเบ้งก็ไม่เคยหยุดสร้าง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าฟ้าจะกำหนดไปทางไหน และฟ้าคงไม่ว่าอะไรเราหรอก ถ้าจะโยนความผิดเล็กๆ น้อยๆ ไปให้เขาบ้าง


"นิรันดร" กับ "ความไม่มี"...มันอยู่ใกล้กันเหลือเกินครับ ใกล้กันจนบางครั้งผมก็รู้สึกว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียว

เล็กที่สุดและใหญ่ที่สุดคืออันเดียวกัน ความไม่มีและความไม่สิ้นสุดก็คืออันเดียวกัน

จักรวาลอันกว้างใหญ่เหลือคณาที่เราเห็นอยู่นี้ รวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นอยู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นอดีต ภาพที่เราเห็นคือการเดินทางของแสง จุดสุดท้ายของการเดินทางของแสงจะเป็นอะไรไปได้...นอกจาก "ปัจจุบัน"

มรรคก็สำคัญไม่แพ้ผล

คลาสสิกต้องไม่ดูถูกแจ๊ซ แจ๊ซต้องไม่ดูถูกร็อก ร็อกต้องไม่ดูถูกป๊อบ ป๊อปก็ต้องไม่ดูถูกลูกทุ่ง และลูกทุ่งก็อย่าไปรู้สึกว่าคลาสสิกน่ะมันคนละชั้นกับเรา มันสูงกว่าเรา
คนที่สนใจเรื่องสุริยจักรวาลก็อย่าไปดูแคลนคนที่สนใจเรื่องการถักโครเชต์ ทีนี้จะให้แปลกแยกกันอีกเท่าไร ผมว่าโลกก็ยังคงวิไลอยู่ไม่เสื่อมคลาย

รถที่ออกวิ่งบ่อยๆ นอกจากเครื่องยนต์จะคล่อง สายพานและเพลาต่างๆ จะไม่ติดนขัดแล้ว ทำเล่นไปนะครับ เผลอๆ เราอาจเจอเส้นทางใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไป และถ้าโชคดี...ไอ้ทางที่เราเจอใหม่นั้นราดยางมะตอยอย่างดีด้วย รถเราจะได้วิ่งได้อย่างสบายขึ้น ถึงตอนนั้นไอ้ความสับสนก็คงจะเบาบางลง ค่าที่คล่องกับเส้นทางเสียแล้ว

ชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน แต่งานแต่งงานมันเป็นเรื่องของคนหลายคน เพราะมันเป็นเรื่องของพิธีการ เป็นเรื่องของความสมานฉันท์ในหมู่ญาติมิตร
เพราะไม่ว่าจะจัดพิธีแบบไหนก็ตาม มันก็ไม่เคยพิสูจน์ได้เลยว่ามันจะทำให้คู่ไหนอยู่กันยืดกว่าคู่ไหนเลย

การเตรียมเทศกาล สนุกกว่าเทศกาล ใครหนอเป็นคนคิด มันเป็นความจริงทีเดียว

พระพุทธเจ้าพูดถึงวัฏสงสาร การเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตาย พระองค์กำลังพูดถึงอินฟินิตี้ หรือจักรวาลอยู่ใช่ไหม