วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

ปลาใหญ่ปลาเล็ก

ปลาใหญ่ปลาเล็ก
=========
คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

สองอาทิตย์ก่อนมีโอกาสได้ไปพบแฟนๆ หนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ ถึงคนจะเยอะจนเดินเบียดกันแทบทั้งหอ แต่ก็สนุกดีครับ ต้องขอบคุณท่านผู้อ่านหลายท่านไว้ตรงนี้ด้วย ที่วันนั้นอุตส่าห์เจียดเวลาเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน

คุณพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งพูดแซวผมตามชื่อหนังสือยอดมนุษย์ลำลองว่า เป็นยอดมนุษย์หรืออย่างไร ถึงได้นั่งเซ็นหนังสือตั้งสามสี่ชั่วโมงโดยไม่เหนื่อยไม่เมื่อยบ้าง เรียนตามตรงครับไอ้เมื่อยนี่มันก็มีอยู่หรอก แต่ทุกครั้งที่แหงนหน้ามองเห็นแฟนๆ ยืนเข้าคิวเป็นระเบียบรออยู่อย่างนั้น ความเหนื่อยความเมื่อยมันแพ้หัวใจที่พองโตครับ

ยิ่งได้รู้ว่าคนอ่านหนังสือของเรามีหลายรุ่นหลายวัยยิ่งดีใจครับ

สำหรับคุณน้องคุณน้าทั้งหลายที่ฝากความระลึกถึงไปยังแม่เภา ผมจะรีบนำความไปบอกเธอให้ รวมไปถึงที่ฝากตามให้แม่เภามาพบกับท่านผู้อ่านบ่อยๆ ด้วย แม่เภานี่ถูกถามถึงมากที่สุดครับ ไม่รู้ป่านนี้หน้าบานเป็นจานกระด้งแค่ไหนแล้ว

แฟนรุ่นเล็กสุดที่ผมได้พูดคุยวันนั้นน่าจะเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาแนะนำตัวว่าเป็นเด็กมัธยมปีที่ 5 เรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่ผมเคยร่ำเรียน เขากับผมยืนคุยกันอยู่นานจนเขากล้าออกปากเชิญผมไปเยี่ยมเว็บไซต์ส่วนตัวของ เขาบ้าง

นอกจากตั้งคำถามแปลกๆ ถามผมมาสี่ห้าข้อแล้ว เขายังบ่นไปถึงการเรียนการสอบที่ค่อนข้างหนัก รวมไปถึงความกังวลใจในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขา

ระหว่างการสนทนาผมจับได้ถึงความทดท้อและความสับสนเล็กๆ น้อยๆ ในความคิดของคนวัยนี้ เขาพูดถึงภาระหน้าที่จะต้องเรียนให้ได้ดีและความกดดันในเรื่องที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แล้วเขาก็พร่ำถึงงานอีกงานหนึ่งที่เขาให้ความทุ่มเทกับมันเกินกว่าคำว่างานอดิเรก นั่นคืองานแต่งเพลงและงานเล่นดนตรีที่เขารัก

ตอนที่คุยกับเขาอยู่นั้น ผมว่าผมมองเห็นตัวผมเองอยู่ในตัวเขา

วันนั้นผมไม่ได้แนะนำอะไรเขาไปมากนัก นอกจากเย้าเล่นๆ ว่าถ้ามีความฝันเยอะกว่าชาวบ้านเขา ก็ต้องยอมเหนื่อยกว่าชาวบ้านเขาด้วยเป็นธรรมดา ไม่ควรบ่นอันใดให้เสียเชิงนักล่าฝัน

จู่ๆ ผมก็คิดถึงคืนวันอันหอมหวานครั้งนั้นขึ้นเสียเฉยๆ ครับวันนี้

ตอนที่เดินเข้ามาโรงเรียนเตรียมวันแรกเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน ผมจำได้ว่านอกจากความตื่นเต้นที่จะได้เรียนในที่ใหม่ กับครูใหม่และเพื่อนใหม่แล้ว เจ้ารองเท้าใหม่คู่ที่ใส่มาวันแรก มันกัดเท้าผมจนเดินแทบไม่ได้

ไม่รู้วันมอบตัวหรือวันฟังผลสอบนี่ละครับ ที่ผมถูกรุ่นพี่หลอกว่าวันเปิดเทอมวันแรกน้องใหม่จะต้องใส่รองเท้าหนังสีดำเท่านั้น ส่วนรองเท้าผ้าใบสีดำให้เก็บไว้ใส่วันที่มีวิชาพละ

เด็กบ้านนอกอย่างผม เห็นรุ่นพี่เขาว่าอย่างไรผมก็ว่าอย่างนั้น

แล้วตั้งแต่เกิดมาเคยมีรองเท้าหนังกับเขาเสียที่ไหน อยู่โรงเรียนวัดที่บ้านนอกมีรองเท้าอยู่สองคู่ รองเท้าแตะคู่หนึ่งกับรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลอีกคู่หนึ่ง ภาพยังติดตาอยู่เลยครับว่าก่อนวันโรงเรียนเตรียมเปิดเทอมสักสองสามวันนี่ ผมต้องวิ่งวุ่นแถวสะพานควายเพื่อหาซื้อร้องเท้าที่ขนาดพอดีเท้าที่สุด

ถึงขนาดนั้นวันเปิดเทอมก็ยังโดนกัดเสียเดินเป๋ไปเป๋มา ใส่อยู่สามสี่วันให้พอรองเท้าหายกัด ผมก็กลับมาใส่รองเท้าผ้าใบตามถนัดอย่างเดิม

เท้าหายระบมแล้ว แต่ไอ้ความตื่นเต้นนี่ยังไม่หาย

แม้จะเริ่มคุ้นชินกันบ้างกับเพื่อนๆ ในห้อง แต่ใครจะไปคิดละครับว่าจะมีคนขยันเรียนถึงขนาดเวลาพักเที่ยงก็ยังเข้ามานั่ง อ่านหนังสือในห้อง และที่สำคัญมันไม่ได้มีคนขยันอย่างนั้นแค่คนเดียว

ห้องผมนั้นไม่เท่าไรหรอกครับ แค่สี่ห้าคน แต่ห้องอื่นตึกอื่นที่ผมเดินผ่านไปนี่ บางห้องเกือบครึ่งห้อง

ยอมรับเลยครับว่าปรับตัวไม่ทัน

และมีอีกหลายคนที่เป็นอย่างผม บางคนเห็นเพื่อนขยันเรียนมากๆ ก็ประชดด้วยการไม่เรียนเสียเอง บางคนมาจากโรงเรียนชายล้วนหญิงล้วนก็ต้องมาปรับตัวที่นี่ หลายคนวางตัวไม่ถูกกับเพื่อนเพศตรงข้ามจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นอกจากนี้กิจกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เมื่อครั้งอยู่โรงเรียนเก่าไม่เคยเห็น ก็ได้มาเห็นที่นี่ งานรับน้องห้องเอย รุ่นพี่พารุ่นน้องไปเที่ยวต่างจังหวัดเอย หรือแม้แต่ริจะทำนิตยสารประจำห้องก็ทำกัน

งานรับน้องห้องนั้นรุ่นพี่เขาเลี้ยงกันในวันหยุดตอนกลางวันตามบ้านรุ่นพี่ มีการตั้งซุ้มให้น้องๆ มุด แล้วก็เลี้ยงอาหาร ร้องรำทำเพลงกัน และที่พลาดไม่ได้ก็คือกิจกรรมล้อมวงเล่นเกมเหมือนเวลาที่เขาล้อมวงรอบกองไฟ พวกเกมลมเพลมพัด เกมปลาใหญ่ปลาเล็ก อะไรพวกนั้น เด็กบ้านนอกหลายคนไม่เคยเจอกิจกรรมสนุกๆ อย่างนี้ บางคนก็สนุกจนเพลิน เพลินไปว่าเพื่อนๆ อีกหลายคนที่นี่เก่งระดับถ้าเอาคะแนนเราไปตัดเกรดด้วยแล้วละก็ เราไม่มีสิทธิ์ได้เอได้บีกับเขาเลย

ผมผ่านเทอมแรกด้วยคะแนนที่เรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด ประมาณเอาเองว่าถ้ากาข้อสอบพลาดไปอีกสักข้อผมก็อาจจะสอบตกไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็พยายามกลับมาเรียนให้มากขึ้น

และเมื่อช่วงไหนผมรู้สึกตัวว่าชักหลงระเริงมากเกินไป ผมก็จะงัดเอารองเท้าหนังคู่ที่ผมสวมมาเรียนวันแรก ขึ้นมาใส่ให้มันกัดเท้าเตือนใจ เตือนใจว่าเรามาที่นี่ทำไม

กลับไปนึกถึงอดีตวันนั้น ผมเห็นภาพเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งสนุกเพลินจนลืมเรียน แล้วก็เห็นภาพเด็กอีกคนหนึ่งยิ่งเห็นคนอื่นเรียนตัวเองก็ยิ่งมุเรียน จากนั้นก็กลายเป็นภาพเด็กสองคนเล่นเกมในงานรับน้องกัน เกมปลาใหญ่ปลาเล็ก เคยเล่นไหมครับคนสั่งจะพูดว่าปลาใหญ่หรือปลาเล็กพร้อมกับทำมือกว้างทำมือแคบหลอกล่อ คนถูกสั่งต้องทำมือให้ถูกกับคำพูดไม่ไปทำตามมือของคนสั่ง นึกถึงวันคืนเก่าๆ แล้วใจมันกระชุ่มกระชวยบอกไม่ถูก

แล้วก็ได้คิดอะไรต่ออะไรไปข้างหน้าด้วย

พอคิดเรื่องนี้แล้วก็ทำให้นึกไปถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการจับปลาของคนญี่ปุ่น

กว่าสามสิบปีที่ผ่านมานี้ปลาตามชายฝั่งทะเลของญี่ปุ่นเริ่มลดน้อยลง ชาวประมงจึงต้องแล่นเรือไกลชายฝั่งออกไปอีกเพื่อจับปลาให้ได้จำนวนเท่าเดิม ระยะทางที่ไกลออกไปทำให้ปลาที่จับมาได้ตายก่อนถึงฝั่ง ห้องเย็นบนเรือจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเรือประมงเพื่อทำหน้าที่รักษาเนื้อ ปลาให้ยังสดอยู่ แต่ชาวญี่ปุ่นที่นิยมปลาดิบนั้นเขาแยกแยะรสชาติของปลาที่เพิ่งตายใหม่ๆ กับปลาที่ถูกแช่ห้องเย็นมานานๆ ได้ ทำให้ชาวประมงต้องหาวิธีใหม่

แท็งก์น้ำขนาดใหญ่ถูกติดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้

เมื่อชาวประมงจับปลาได้ ปลาจะถูกปล่อยลงในแท็งก์น้ำเพื่อให้พวกมันแหวกว่ายอยู่ในนั้น และเมื่อถึงฝั่งแม้จะผ่านมาหลายอาทิตย์พวกมันก็ยังเป็นปลาเป็นอยู่

ถึงกระนั้นคอปลาดิบชาวญี่ปุ่นก็ยังแยกออกว่าเนื้อปลาเป็นๆ พวกนี้ไม่เหมือนปลาที่เพิ่งจับได้ ปลาพวกนี้กลายเป็นปลาที่ง่อยเปลี้ย นั่นคือแหวกว่ายอยู่ในแท็งก์น้ำอย่างแออัด และแท็งก์ก็โคลงไปโคลงมาตามลักษณะของเรือที่แล่นในทะเล เมื่อมาถึงฝั่งแม้จะมีชีวิตแต่ก็เป็นชีวิตที่ไม่แข็งแรง คงเหมือนเวลาเราไปซื้อปลาตู้จากร้าน แล้วเขาเอาปลาใส่ถุงใหญ่ๆ ให้เรานั่นกระมัง รถที่วิ่งอยู่มันคงทำให้น้ำในถุงแกว่งไปมา ผมว่าปลามันคงเมานะครับ ยิ่งถ้าเดินทางไกลๆ นี่บางตัวจะไม่รอดเอาก็มี

ปัญหาเรื่องปลาเปลี้ยไม่ทำให้ชาวประมงยอมแพ้อยู่แค่นี้ พวกเขาหาหนทางใหม่ๆ อีก

คราวนี้เขาใช้วิธีที่เรานึกไม่ถึง นั่นคือนอกจากจะปล่อยปลาที่จับได้ลงในแท็งก์แล้ว เขายังปล่อยปลาฉลามตัวขนาดย่อมๆ ลงไปตัวหนึ่ง ปล่อยลงไปรวมกับพวกปลาที่จับได้นั่นแหละ

เกิดอะไรขึ้นละครับที่นี้ ปลาในแท็งก์อยู่ไม่สุขแล้ว ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ปลาใหญ่จะมากินปลาเล็กแล้วนี่ครับ จะมามัวเมาเรืออยู่ได้อย่างไร ถ้าจะถามว่าแล้วปลาฉลามไม่กินปลาที่อยู่ในแท็งก์หรือ พวกเขาบอกว่ายอมรับได้ที่จะเสียปลาพวกนั้นไปบ้าง แต่ปลาที่เหลือรอดมาได้ล้วนเป็นปลาแข็งแรงมีชีวิตชีวาตามที่คอปลาดิบต้องการ

ฟังเรื่องนี้จบแล้วคิดถึงอะไรบ้าง

บางคนอาจสนุกกับความเรื่องมากของคอปลาดิบ บางคนอาจชื่นชอบเรื่องราวของการไม่ยอมจำนนต่อปัญหาต่างๆ ของชาวประมงญี่ปุ่นจนหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างคาดไม่ถึง แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับผมก็คือผมชักอยากจะเอาปลาฉลามปล่อยลงในใจตัว เองบ้างเสียแล้ว

ต้นโอ๊คในถิ่นที่มีพายุแรงๆ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่ง นักพฤกษศาสตร์อเมริกันพบว่าต้นโอ๊คแถวเท็กซัสที่ลมพายุค่อนข้างแรงจะหยั่ง รากลึกกว่าต้นโอ๊คทั่วๆ ไป

สำหรับคนหนุ่มสาว ทะเลของเธอยังมีปลาดีๆ ที่จะให้จับมากมายรวมไปถึงปลาฉลามดุๆพวกนั้นด้วย พูดได้ว่าทะเลของคนหนุ่มคนสาวนั้นย่อมมีปลาชุกชุมมาก และฉลามก็ดุมากเช่นกัน

มุ่งมาดปรารถนาจะจับปลาเล็กจำนวนมากแค่ไหนหรือจะปล่อยปลาใหญ่ลงไปแท็งก์เท่าใด ก็คงต้องแล้วแต่ความใฝ่ฝันและศักยภาพของแต่ละคน

มองเรื่องนี้หลายๆ มุมนะครับ พ่อแม่บางคนปล่อยฉลามลงไปในใจลูกมากเกินไป จนมันกินปลาเล็กปลาน้อยหมดแท็งก์ เราก็เคยเห็นกันมาแล้ว

หน้า 17

ไม่มีความคิดเห็น: