วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

มหา"ลัยเหมืองแร่กับสตาร์วอร์ส

มหา"ลัยเหมืองแร่กับสตาร์วอร์ส
คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

พี่ประภาส

ไม่เห็นพี่พูดถึงหนังเรื่องเหมืองแร่บ้างเลย หนูไปดูมาสองรอบแล้ว ชอบมากๆ ชอบหลายๆ อย่างในหนัง ทั้งเพลงทั้งภาพสวย เห็นความตั้งใจของพี่เก้งเลยค่ะ พยายามชวนเพื่อนๆ ไปดูเขาก็บ่ายเบี่ยง แถมยังบอกตังค์มีน้อยเอาไว้ดูสตาร์วอร์สดีกว่า คนไทยไม่ช่วยหนังไทยแล้วใครจะช่วยคะ

โกแต๋ม

คุณประภาส

รุ่นพี่ชวนไปดูสตาร์วอร์สมาแถมคุยว่าหนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก แต่ดิฉันดูก็เห็นเป็นแค่หนังเอฟเฟ็กต์ฟันกันไปยิงกันมา หรือว่าเป็นเพราะดิฉันไม่ได้ดูภาคแรกๆ เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร หนังจบออกมาคุยกับรุ่นพี่แทบจะทะเลาะกันตาย เพราะคิดไม่เหมือนกัน คุณประภาสน่าจะเคยดูมาแล้วทุกภาค วิจารณ์ภาคนี้หน่อยสิคะ

ทวินโบว์

สวัสดีจ้า...พี่ประภาส

ไปดูหนังเรื่องมหา"ลัยเหมืองแร่มา...โดยส่วนตัวชอบ ตั้งใจไปดูตั้งแต่เรารู้ว่าสร้างแล้ว ไปคนเดียวเพราะเกริ่นกับเพื่อนๆ แล้วเขาบอกจะดูเรื่องอื่น เราไม่ว่า เราชอบดูหนังตามใจฉัน บางเรื่องต่อให้ได้ร้อยล้านแต่เราไม่อยากดูก็ไม่ไป

เห็นความขัดแย้งทางรสนิยมจากหนังเรื่องเหมืองแร่แล้ว มีหลายคนชักชวนคนอื่นให้ไปดูแต่ยังไม่วายไปเหยียบดูถูกหนังแนวอื่นๆ มันทำให้เราเซ็งที่คนมาทะเลาะกันว่าหนังดีหรือหนังไม่ดี...พี่จะไม่เขียนถึง หนังเรื่องนี้หรือคะ

เหมือนหมา

ผมไปดูมาแล้วทั้งสองเรื่อง

ไม่ดูได้อย่างไรล่ะครับ เพราะทั้งคุณพี่ลูคัสและคุณพี่จิระนี่ ถ้าเปิดแฟนคลับผมก็คงสมัครเป็นชื่อต้นๆ

ด้วยเป็นคนที่ติดตามเรื่องสตาร์วอร์สมาตลอด รวมทั้งเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้พลาดหนังสือเล่มสำคัญของเมืองไทยอย่างเหมืองแร่ ไป ทำให้ผมคิดว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้ผู้กำกับฯมีโจทย์ที่ต้องแก้คล้ายๆ กัน

นั่นคือหนังสองเรื่องนี้ คนที่รู้เนื้อเรื่องดีก็จะรู้ลึกซึ้ง ส่วนคนที่ไม่รู้เนื้อเรื่องเลยก็ไม่มีอะไรเป็นฐานในการดู

ที่หนักที่สุดก็คือ เนื้อเรื่องมันเยอะเสียด้วย

เหมืองแร่นั้นสร้างจากเรื่องสั้น 142 ตอนของครูอาจินต์ ปัญจพรรค์ ตัวละครและรายละเอียดยุบยับจนน่าเป็นห่วงว่าจะเก็บได้หมดดังใจคนอ่านไหม ส่วนสตาร์วอร์ส คุณลูคัสมีเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้นที่จะต้องทำให้สงครามอวกาศคราวนี้ เปลี่ยนร่างกายและจิตใจของชายหนุ่มผู้อยู่ด้านสว่างไปสู่ด้านมืด

ข้อวิตกที่คุณทวินโบว์รู้สึกว่าดูสตาร์วอร์สแล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไรนี่ ไม่ผิดปกติหรอกครับ เพราะแม้แต่คุณนิติพงษ์กับคุณวัชระเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เคยดูสตาร์วอร์ส เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยังบ่นกับผมเลยว่าใครเป็นใครวะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง

ซึ่งอันนี้คงเอามาเทียบกับแฟนสตาร์วอร์สอย่างผมไม่ได้ ชั้นวางของที่บ้านผมยังมีแต่หุ่นที่เป็นตัวละครจากเรื่องสตาร์วอร์สทั้งนั้น

ถามว่าผมเป็นแฟนสตาร์วอร์สขนาดนี้แล้ว รู้สึกอย่างไรกับภาคที่สามแห่งสงครามดวงดาวเรื่องนี้ จำได้ว่าก่อนไปดูหนังน้องคนหนึ่งถามผมว่าจะไปดูสตาร์วอร์สไหม มีคนเตือนว่าดูแล้วงงนะ ไม่ค่อยสนุกนะ

ผมก็บอกไปว่า สตาร์วอร์สกับผมนั้นมันเหมือนลิเกจันทโครพกับยายแก่คนหนึ่ง

จำได้ใช่ไหมครับว่าเนื้อเรื่องของจันทโครพเป็นอย่างไร จันทโครพพอเดินทางถึงกลางป่าก็ต้องเปิดผอบ แล้วก็มีนางโมราออกมา แล้วก็มีโจรป่า แล้วก็มีการลังเลใจของนางโมราที่จะยื่นพระขรรค์ให้ใครดี ถึงคุณยายจะรู้เนื้อเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่แกก็ยังอยากดูลีลาของลิเกว่าจะเล่นออกมาได้โศกได้สนุกเพียงไร

คุณยายอย่างผมที่เข้าไปดูสตาร์วอร์สก็รู้ครับว่าสุดท้ายชายหนุ่มอนาคิน ก็จะต้องกลายเป็นดาร์ธเวเดอร์ สุดยอดตัวร้ายของสตาร์วอร์สสามภาคครั้งกระโน้น

ผมอยากดูก็ตรงนี้แหละครับ อยากรู้ว่าคุณลูคัสจะทำให้ผมเชื่อได้อย่างไรว่าชายหนุ่มคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปได้มากมายขนาดนั้น

โจทย์ข้อสำคัญของคุณลูคัสอยู่ตรงนี้

ดูหนังสตาร์วอร์สภาคนี้จบก็ได้เห็นความพยายามครับ คุณลูคัสทุ่มเทเนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดให้กับเหตุผลที่จะทำให้ชายหนุ่มเกิด การเปลี่ยนแปลง เขายัดฉากหลายฉากเกี่ยวกับความกลัวในการพลัดพรากจากคนรักเข้าไป เพื่อยืนยันเหตุผลแห่งการเปลี่ยนแปลง ได้ผลทีเดียว แม้ว่าคุณลูคัสจะทำเอาราชินีอะมิดาลาของผมโง่ไปเยอะเลยในภาคนี้

สตาร์วอร์สภาคสุดท้ายนี้เดินเรื่องเร็วผิดกับสตาร์วอร์สภาคเก่าๆ จนจับได้เลยครับว่าคุณลูคัสต้องรีบทำเวลา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหนังจบเรื่องอนาคินก็ไม่เป็นดาร์ธเวเดอร์เสียที มันเร็วจนผมรู้สึกเลยว่าหนังขาดลูกเล่นลูกฮาอย่างที่เขาเคยทำ

ไม่รู้ว่าคุณลูคัสแกอายุมากขึ้นหรือว่าหนังจำเป็นต้องเน้นความรู้สึกขอ งอนาคิน หนังภาคนี้จึงไม่มีตัวละครสนุกๆ อย่าง ฮันโซโล จ๊าบบ้า หรือจาจาบิ๊งค์ เพิ่มเข้ามาเลย แม้แต่ซีทีพีโอ ตัวทำมุขในภาคก่อนๆ ก็ปล่อยออกมาแค่มุขเดียวในภาคนี้ และอาจจะเป็นมุขตลกมุขเดียวในหนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ผมจึงว่าหนังเรื่องสตาร์วอร์สนี้เป็นหนังที่ซีเรียสอย่างมาก ทั้งๆ ที่มีฉากฟันกันจนแทบจะเบื่อไปกันข้างหนึ่ง แต่ตลอดการดูผมกลับแอบรู้สึกสงสารชายหนุ่มอนาคิน หรือว่าคุณพี่ลูคัสแกทำให้ผมรู้สึกได้ บทตรงนี้ผมว่าพี่แกทำสำเร็จ

กลับมาที่มหา"ลัยเหมืองแร่บ้าง

จีทีเอชขึ้นตัวหนังสือบนใบปิดว่า "มหา"ลัยสอนให้รักชาติ เหมืองแร่สอนให้รักชีวิต" ขึ้นมาก็ขู่อย่างนี้เสียแล้ว หลายคนไม่ยอมไปดูเพราะคิดว่าเป็นหนังเครียด

ผมดูภาพนิ่งที่เผยแพร่ออกมาตอนก่อนหนังฉาย ผมก็รู้สึกอย่างนั้น

ภาพสวยมาก แสงสีออกทึมๆ ในยามโพล้เพล้ ผู้คนในภาพแสดงออกถึงความยโสในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด เห็นแค่ภาพผมยังนึกชมเชยคุณจิระอยู่ในใจเลยว่า แม้แต่ภาพนิ่งคุณจิระก็สามารถกำกับอารมณ์ของนักแสดงออกมาได้

ใครไม่รู้บอกผมว่าคุณจิระใช้วิธีจับนักแสดงไปใช้ชีวิตอยู่ในกองถ่ายนานๆ และค่อยๆ ถ่ายเรียงบทตามลำดับ ไม่ถ่ายข้ามฉากเพื่อให้ทุกคนรู้สึกเป็นตัวละครตัวนั้น ใครที่เคยอ่านเหมืองแร่ก็คงนึกออกว่าตัวละครหลายตัวในหนังสือเรื่องนี้มี ความยโสในความเป็นมนุษย์ของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม

แต่ไม่ว่าใบปิดหนังจะชวนให้รู้สึกอย่างไร ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะดูหนังเรื่องนี้

ดูจบก็ต้องออกปากชมเรื่องความสมบูรณ์ในการสร้างภาพยนตร์

เรื่องภาพสวยนั้นหายห่วง เพราะนอกจากความเป็นตากล้องของคุณจิระแล้ว คุณจิระยังได้คุณแดงตากล้องมือดีของวงการอีกคนมาถ่ายให้ การคัดเลือกนักแสดงก็ดูใกล้เคียงกับบทประพันธ์ จนแทบจะไม่มีตัวละครตัวไหนขัดใจแฟนๆ หนังสือเลย ฉากและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็สมจริงเสียจนเหมือนกับว่าสถานที่มันคงสภาพอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

ที่ต้องชมมากๆ ก็คือเพลงประกอบ ออกจากโรงหนังวันนั้นผมแทบจะเดินหาซื้อซาวนด์แทร็กเดี๋ยวนั้นเลย ผมชอบที่มันมีทั้งความขลังและความโรแมนติคผสมๆ กันอยู่

ทีนี้ก็มาถึงโจทย์ๆ หนึ่งที่ผมคิดว่าคุณจิระมองข้าม หรือไม่ก็อาจจะมองว่ามันไม่เห็นจะเป็นโจทย์ตรงไหน

ในความเห็นผม ถ้าโจทย์ข้อใหญ่ของคุณลูคัสคือการเขียนบทให้อนาคินกลายเป็นดาร์ธเวเดอร์ โจทย์ข้อใหญ่ของคุณจิระก็น่าจะเป็นการเขียนบทให้คนดูเชื่อว่าสี่ปีในเหมือง หรือสองชั่วโมงในหนังได้เปลี่ยนแปลงชายหนุ่มคนหนึ่งให้แกร่งชีวิตขึ้น

ไม่รู้ว่าจีทีเอชกลัวหนังไม่สนุกหรืออย่างไร หนังจึงทุ่มเทบทไปในส่วนที่เป็นเรื่องตลกเต็มไปหมด ใครถามผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังอะไร ก็ต้องบอกได้เลยว่าเป็นหนังสนุก เป็นหนังตลก ไม่ใช่หนังเครียดอย่างที่ใบปิดพยายามจะบอก

เพราะบทในส่วนของการเปลี่ยนแปลงในตัวครูอาจินต์ กับบทในส่วนวิกฤตแห่งเหมืองมีน้อยเกินไปจนไม่ทำให้ผมรู้สึกคล้อยตาม ผมจึงไม่รู้สึกอะไรเมื่อหนังเดินไปถึงตอนเรือขุดไปติดอยู่บนเขา และไม่รู้สึกหวนหาหรืออาลัยอาวรณ์เมื่อเหมืองล่ม

ยอมรับว่าผมหัวเราะท้องแข็งไปไม่รู้ตั้งกี่ฉาก แต่ไม่รู้สิครับ อย่างไรเสียผมก็ยังอยากเห็นฉากหนุ่มน้อยอาจินต์ที่ทำงานหนักขนาดไหนเวลาอยู่ ในเหมือง อยากเห็นฉากเรือขุดแล่นไปตามลำน้ำบนเขาเพื่อผจญภัยในวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญ อยากเห็นภาพมากกว่าฟังบทพากย์ที่เล่าอยู่ตลอดเวลา หรือจะเป็นเพราะตำแหน่งเก้าอี้ที่ผมนั่งดูมันไม่เหมาะหรือเปล่า ผมว่าผมไม่เห็นเรือมันแล่นไปไหนเลย

พอบทให้ความสำคัญกับตรงนี้น้อย ความเชื่อมันก็เลยค่อยๆ เลือนไป

คนดูหนังก็อย่างนี้ทุกคนแหละครับ อยากเห็นสิ่งที่ตัวเองต้องการเห็นมากกว่าอยากเห็นสิ่งที่ผู้กำกับฯต้องการ ให้เห็น โดยเฉพาะหนังที่สร้างมาจากหนังสือ

คงต้องหาโอกาสไปนั่งฟังคุณจิระพูดดูสักทีครับ กับประเด็นที่ผมติด บางทีคุณจิระอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ผมตาสว่างได้ และถึงจะไม่เป็นหนังในดวงใจเท่า 15 ค่ำ เดือน 11 แต่ถ้าใครถามผมว่าหนังเรื่องนี้ดีไหม ผมก็ขอตอบว่ามันไม่เกี่ยวกับดีหรือไม่ดี แต่มันสมควรได้รับเกียรติให้เป็นหนังไทยที่คนไทยไม่ควรพลาดเรื่องหนึ่ง

ลิเกงานวัดคืนนี้เล่นเรื่องจันทโครพ คุณยายอย่างผมอย่างไรเสียก็ต้องไปดูอยู่แล้ว แต่สำหรับคนหนุ่มคนสาวสิครับ ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตกดินที่คันนา เป็นท้องฟ้าที่งดงามและชวนให้ครุ่นคิดออกอย่างนั้น

จะไม่ไปดูกันเชียวหรือ

ไม่มีความคิดเห็น: