ตัวต้านทาน : PRAPAS.COM
ภาพจาก http://www.freewebs.com/www.Prapas.com
สวัสดีค่ะคุณประภาส
ดิฉัน เพิ่งได้งานที่เป็นชิ้นเป็นอันหลังจากเรียนจบ ในตำแหน่งเลขานุการที่บริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่ง เจ้านายก็ดูเป็นคนใจดี ที่ตั้งบริษัทก็อยู่ไม่ไกลบ้าน เงินเดือนได้ตามสมควร และดิฉันสนใจที่จะได้ทำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ เมื่อรู้ว่าได้งานดิฉันก็มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำงานเต็มที่แต่แล้ว ดิฉันก็ได้ทราบจากคนรู้จักเค้าเคยเป็นสถาปนิกที่บริษัทแห่งนี้
เค้าว่าเจ้านายขี้เหนียวและเอาเปรียบ
เค้าไม่ได้เงินค่าออกแบบตั้งหลายหมื่น ทำได้ 6 เดือนก็ลาออกแล้ว
ยอมรับค่ะว่าหลังจากได้ฟังก็บั่นทอนจิตใจพอสมควร รู้สึกกังวล
กลัวว่าจะไม่เต็มที่และอคติไปก่อนที่จะได้ทำงานจริงคุณประภาสว่าดิฉันควรมีวิธีคิดอย่างไรดี งานจะเริ่มเดือนหน้าแล้วค่ะ
ดิฉันยังอยากมีความรู้สึกเต็มร้อยก่อนไปทำงานเหมือนเดิมเหมือนก่อนที่จะได้ยินได้ฟังมา
ขอบคุณค่ะ
พัดชา
สมมุตินะครับสมมุติ
เจ้าของบริษัทที่กำลังจะเป็นเจ้านายของคุณบอกคุณว่า
เขารู้จักนายสถาปนิกคนที่คุณรู้จักดีแน่นอนคุณก็คงคิดในใจว่า
ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วนี่ ก็เคยทำงานด้วยกันแล้วเขาบอกคุณต่อว่า
"ผมรู้จักมันดีกว่าใครทั้งหมด เพราะมันโกงผม"
หูชักผึ่งแล้วใช่ไหมครับ ใครโกงใครกันแน่ คุณคงคิดในใจ
ก็คุณฟังมาจากสถาปนิกคนนั้นแล้วนี่
เจ้านายอย่ามาเฉไฉเรื่องหน่อยเลยฟังผมสมมุติต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน
แล้ว เจ้านายที่คุณจะทำงานด้วยก็ระบายความในใจต่อ "มาทำงานแค่ 6 เดือน มันไปโฆษณากับคนข้างนอกเสียใหญ่โตเลยว่าเป็นคนออกแบบงานทุกชิ้นเองทั้งหมด"
ตัวเลข 6 เดือนเหมือนกับที่สถาปนิกคนนั้นพูดกับคุณไม่ผิด เอ...หรือเจ้าของบริษัทคนนี้ก็คงไม่โกหก สถาปนิกคนนั้นก็ทำไม่ถูกนะ
ผลงานของบริษัทจะไปเหมาไปอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองคนเดียวได้อย่างไร
แต่เรื่องค่าออกแบบที่เจ้านายยังไม่จ่ายเขาละ เจ้านายไม่เห็นพูดถึงเลย
"มีอย่างที่ไหน" เจ้านายเหมือนรู้ใจคุณ
"ทำงานกินเงินเดือนตั้งเท่าไร ยังจะขอค่าออกแบบเพิ่มอีก มีสำนักงานไหนเขาทำกัน คุณไปถามดูเลย"
เออ..จริงสิ คุณคงเริ่มเห็นด้วยแล้ว ยิ่งประโยคสุดท้ายท้าให้ไปถามเขาดูเลย
"คุณรู้ไหมว่า เขาได้เงินเดือนเท่าไร เข้ามาครั้งแรกขอเงินเดือนมากกว่าผมอีก"
อย่างนี้ก็เกินไปแล้ว คุณคงคิดในใจ
"หนำซ้ำ มันยังจะไปฟ้องสภาสถาปนิกอีก มันกะจะดิสเครดิตผมนะนี่ ผมลดเงินเดือนเลย
แล้วเป็นไงล่ะ ก็ต้องลาออกไปเอง"
ขี้ เหนียวและเอาเปรียบ เออ..ก็พูดตรงกับที่สถาปนิกคนนั้นเล่านี่ แต่คุณเริ่มคิดแล้วใช่ไหมครับว่า เจ้านายคุณเขาก็มีความชอบธรรมพอที่จะทำอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายหนึ่งเล่นแรงก่อน
สมมุติต่ออีกดีกว่าสมมุติว่าสถาปนิกคนที่คุณรู้จักคนนี้ เข้าไปบอกเจ้าของบริษัทว่า
เขารู้จักเลขานุการสาวที่กำลังจะมาทำงานบริษัทนี้เป็นอย่างดีหูผึ่งอีกแล้วใช่ไหมครับคุณพัดชา
อยากรู้ใช่ไหมครับว่า เขาพูดว่าถึงคุณว่าอย่างไร
บังเอิญผมนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย สมมุตินะครับสมมุติ
"น่ากลัวนะครับผู้หญิงคนนี้" เขาขึ้นประโยคแรกอย่างนี้เลย
"เห็นพูดจาไพเราะ เงียบๆ ขรึมๆ อย่างนี้ก็เถอะ ลับหลังชอบนินทาคน"
เจ้านายคุณก็เริ่มคิดตามแล้ว มันเป็นไปได้นะ เพราะคุณเองก็ชอบปรึกษาหารือกับคนอื่น
"เป็นคนไม่ค่อยไว้ใจใคร"
เจ้านายคุณเริ่มคล้อยตามแล้ว
อย่าว่าแต่เจ้านายคุณเลย ผมเองฟังอยู่ยังคล้อยตามเลย
เพราะถ้านำมาเทียบกับจดหมายที่คุณเขียนมาแล้วก็ดูจะมีมูลความจริงอยู่
ทั้งๆ ที่การไม่ไว้ใจใครง่ายๆ นี่ มันก็มองได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่น้ำเสียงของคนเล่าอาจมีอิทธิพลทำให้คนฟังมองเป็นแง่ลบได้
"เป็นคนไม่ค่อยมีไฟหรอกครับ ทำงานไปวันๆ ผู้หญิงคนนี้" ใส่ร้ายกันชัดๆ
" และเห็นเรียบร้อยๆ อย่างนี่ เสือผู้ชายนะนี่ คบผู้ชายหลายคนเลยพร้อมๆ กัน" ประโยคสุดท้ายนี่ สถาปนิกคนนั้นเล่นแรงเลยครับ คุณคงอยากเถียง ก็อีแค่มีผู้ชายมาจีบหลายคน และเราก็ยังไม่ปลงใจกับใครนี่ กลายเป็นเสือผู้ชายไปแล้วหรือนี่
ใคร ฟังก็ต้องให้คะแนนลบหมดละครับประโยคแบบนี้ แล้วจะเอาหลักฐานที่ไหนมาพิสูจน์ เรื่องไม่ดีที่เขาโยนมาให้คุณมันก็ล้วนเป็นนามธรรมทั้งนั้น หาหลักฐานจับต้องยาก
แต่ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องสมมุตินะครับสมมุติ
แต่ คุณพัดชารู้อะไรไหมครับ เรื่องอย่างที่ผมสมมุติขึ้นมาให้ฟังนี้มันมีอยู่จริงในสังคมเรา ผมได้รับคำปรึกษาเรื่องทำนองนี้บ่อยๆ รวมไปถึงเจอด้วยตัวเองบ่อยๆ แล้วผมก็ใช้วิธีนี้แหละครับมาตอบโจทย์ นั่นคือผมจะสมมุติต่อในมุมของคนอื่นบ้าง และสมมุติให้แรงกว่าเดิมอีกหลายๆ เท่า
จากนั้นก็จะถามกลับว่ารู้สึกอย่างไรที่ตัวเองโดนบ้าง
และก็จะขออนุญาตถามคุณพัดชากลับเลยครับว่ารู้สึกอย่างไร
คน ส่วนใหญ่ที่ใจยังไม่กว้างพอ มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล คอยสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยยึดเอาตัวเองเป็นพระเอกเป็นนางเอก แล้วก็ให้คนอื่นสวมบทเป็นตัวอิจฉาหมด
ใคร ที่เคยมีประสบการณ์ฟังความจากคนที่ทะเลาะกันก็คงจะนึกออก ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครพูดโกหกเลย แต่ฟังแล้วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ร้ายอย่างไรไม่รู้
คนโบราณจึงสอนว่าอย่าหูเบา เพราะเดี๋ยวหูมันจะบินลอยตามเรื่องที่เขาเล่าจนกลายเป็นคนไม่มีหูไปเสีย ยิ่งพวกที่ยกเมฆเก่งๆ นี่ หูคนฟังจะลอยถึงเมฆเอาง่ายๆ
แต่ ทั้งหมดทั้งปวงนี่ไม่ใช่หมายความว่าผมจะมาชวนให้คุณพัดชาไม่ฟังคำเตือนของ ใครนะครับ อย่างไรก็ต้องฟังครับไม่ว่าจิ้งจกทักหรือตุ๊กแกเตือน
เพียงแต่อย่าเพิ่งกังวลไปล่วงหน้าจนขาดแรงใจที่จะทำงาน
ถ้าใจคุณพัดชาอยากทำงานที่นั่นแล้วก็ไปทำเถิดครับ
อย่าให้แค่เรื่องเล่ามาหยุดคุณ คุณพัดชาก็บอกเองอยู่แล้วว่าเจ้านายดูเป็นคนใจดี ลองเชื่อสามัญสติตัวเองดูบ้างก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน
ทำ ไปแล้ว เจ้านายขี้เหนียวหรือเอาเปรียบจนทนไม่ได้ก็ลาออก แล้วก็ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ อันหนึ่ง เพิ่งเรียนจบมาได้เจอคนหลากหลายประเภทก็ไม่เลวนะครับ ฝึกจัดการกับมันให้ได้ไอ้ความกังวลนี่
นักจิตวิทยาเขาว่ามีนิดๆหน่อยๆจะช่วยให้เราไม่ประมาท
เหมือน ตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้าเลยครับ นั่นคือมันเป็นสิ่งจำเป็นอันหนึ่งในวงจรเลยทีเดียว หน้าที่ของมันก็คือไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าหลอดไฟมากเกินไป เพราะจะทำให้หลอดขาดได้
กังวล ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนี่ ถ้าเป็นมากๆ ก็เหมือนมีความต้านทานที่มีค่าสูงๆ นั่นแหละ ใส่เข้าไปในวงจรมากๆ หลอดไฟมันจะไม่สว่างเอาเดี๋ยวกลายเป็นคนไม่มีไฟจริงๆ อย่างที่เขานินทาในเรื่องที่ผมสมมุติไว้ไม่รู้ด้วย
หน้า 17 คอลัมน์ คุยกับประภาส
มติชนวันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10221
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น