โดย ประภาส ชลศรานนท์
เรียน คุณประภาส
ดิฉัน มีอาชีพครู สอนหนังสือผู้ใหญ่อยู่ย่านบางกะปิ ชอบอ่านความคิดของคุณประภาสมานาน ตั้งแต่คุณประภาสเคยอยากจะขอชื่อสุธีสามสี่ชาติ อ่านแล้วคิดในใจว่านักเขียนคนนี้ใช้ความ "ธรรมดา" มาสร้างความชื่นชมนิยมในหมู่ผู้อ่านได้อย่าง "ไม่ธรรมดา"
หลังจาก นั้นก็ไม่ได้ติดตามผลงานคุณประภาสอีก ได้ข่าวแต่เพียงว่าคุณประภาสไปทำงานด้านอื่นนอกจากงานเขียน เพิ่งมาระยะหลังได้อ่านความคิดของคุณประภาสผ่านคอลัมน์ในมติชน สนุกดีและได้ความรู้สึกสมัย "สาวๆ" กลับมาอีกครั้ง สังเกตได้จากเวลาที่อ่านบทความนี้จะมีการอมยิ้มติดปากออกมานิดๆ พอให้รู้ว่ากำลังสนุก
เพราะในชีวิตการทำงานแม้ว่าจะรักทุกอย่างที่ทำ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสยิ้มในขณะที่ต้องอ่านตำราหรือติดตามข่าวคราวเพื่อไม่ให้ต กสมัย และเพื่อจะได้มีวัตดุดิบมาปรุงอาหารจาน "คิดด่วน" ให้กับนักศึกษาเวลาสอนหนังสือและต้องการให้เขาจบออกมาทำประโยชน์ให้กับครอบค รัวและประเทศชาติ
ดิฉันขอแลกเปลี่ยนความคิด 2 เรื่อง จากบทความที่คุณประภาสเขียนเรื่อง "หมาหมอบ" ทำให้ดิฉันต้องกลับไปเพิ่ม slide ที่สอนเรื่องนี้มานาน คราวนี้มีบทความของคุณประภาสแนะนำให้นักศึกษาไปอ่านเสริมด้วย รวมถึงทำให้ดิฉันต้องกลับไปดูวิดีโอที่มีคนเล่าถึงชีวิตของ Victor Frankl อีกด้วย อีกเรื่องที่อ่านแล้วทำให้ต้องดีดข้อความนี้มาหา ก็เป็นเรื่อง "น้ำท่วมกับกระสอบทราย" ที่มีความหมายดีมากๆ
สำหรับเรื่องแรกดิฉันขอ ส่งบทความเสริมเพิ่มให้คุณประภาสได้อ่านด้วย นัยว่าเป็นการขอบคุณที่คุณได้อุตส่าห์หาเรื่องดีๆ มาให้เราอ่านกันทุกวันอาทิตย์ เรื่องนี้เป็นบทความที่เขาเขียนต่อเนื่องมาจากแนวคิดของ Martin Seligman ที่บัดนี้ไม่ขายความทุกข์แล้ว แต่หันมาศึกษาศาสตร์เพิ่มสุขให้กับมนุษย์ ลองดูในเอกสารที่แนบนะคะ
สำหรับเรื่องที่สองทำให้เกิดความรู้สึกสนุก ที่จะไปหาเทปของคุณนรีกระจ่า งมาฟัง พอฟังแล้วก็เลยได้ความรู้สึกว่า เพลง "หุ่นไล่กา" มีความหมายดีมากๆ ถ้าคุณประภาสจะกรุณาใช้ "โอกาส" ที่คุณประภาสมีมากกว่าใครอีกหลายคน มาทำรายการทีวีแนวตกสวรรค์ เวอร์ชั่นหุ่นไล่กา จะสะท้อนภาพที่เรามองเห็นยากในสังคมไทย ที่นับวันจะ "ไม่เอาไหน" มากขึ้น จนกระทั่งต้องมีใครอยาก "ขอกลับไปเป็นหุ่นไล่กา" ที่น่าจะสะท้อนความพอเพียงและเรียบง่ายในชีวิตได้อีกด้วย ถ้าได้มีโอกาสเห็นรายการทีวีดีๆ แบบนี้ เห็นทีจะต้องอุทานสำเนียงเหมือนรายการ "คุณพระช่วย โอมายก็อด" ได้อย่างสนิทใจ รวมทั้ง "ไอเลิฟยู"
ดิฉันคิดว่าลูกตุ้มแห่งกาลสมัย กำลังผันตัวกลับมาทำให้เพลง "หุ่นไล่กา" ที่ดิฉันเองก็ลืมไปนานแล้ว แม้จะเคยดูหนังช่อง 5 ตอนเด็กๆ แต่ตอนอายุเท่านี้มาฟังเพลงนี้อีกที พบว่ามีอะไรที่สะท้อนสังคมที่ "มองดูโลกนี้เจริญไกล" ตอนขึ้นต้นเพลงแต่เหตุไฉนจึงมาจบเอาที่ "ฉันทนไม่ไหว" แต่งานนี้คงทำให้คนไทย "ต้องทนให้ไหว" ด้วยกำลังใจของคุณงามความดี ที่กาลสมัยและใครๆ ก็ยังไม่อาจเอาชนะ อย่างเรื่องเล่าที่ดิฉันชอบมากๆ จาก 7th habits ที่อยากเล่าให้ฟัง ประมาณว่า
ในกลางดึกของคืนที่มีหมอกจัด
เรือ รบลำหนึ่งออกลาดตระเวนตามปกติ ทันใดก็มีเสียงทหารรายงานว่า มีแสงไฟส่องมาประชิดเรือรบในรัศมีที่อาจชนกันได้ นายพลผู้บัญชาการเรือจึงออกคำสั่งให้ทหารรีบส่งสัญญาณแสงไฟแจ้งให้ฝ่ายตรงข้ ามรีบเบนหลบไปโดยเร็ว
หลังจากที่ส่งสัญญาณไฟออกไป ที่มาของแสงไฟนั้นกลับส่งสัญญาณมาบอกให้เรือรบนั่นแหละต้องเป็นฝ่ายหลบ ทำให้นายพลต้องออกคำสั่งด่วนให้แจ้งไปอีกคำรบว่า "นี่เป็นคำสั่งจากนายพล"
และก็ได้รับคำตอบกลับมาอย่างทันใจว่า "นี่เป็นคำสั่งจากชาวบ้าน"
ตอน นั้นแสงไฟเริ่มจ้าส่องเข้าไปในระยะที่ใกล้จะชนเต็มที ในที่สุดนายพลจึงต้องตัดสินใจใช้คำสั่งสุดท้ายว่า "นี่เป็นสัญญาณจากเรือรบ ขอให้เจ้าของแสงๆ ไฟนี้จงหลบไปเดี๋ยวนี้"
ได้ผล คราวนี้แสงไฟฝ่ายจากฝั่งตรงข้ามกะพริบถี่ในทำนองหวาดกลัวการตัดสินใจของเรือรบอย่างเต็มที่
และข้อความที่ส่งกลับมานั้นตอบสั้นๆ ทันควันว่า "นี่เป็นสัญญาณจากประภาคาร"
ถึงตรงนี้เราก็มีคำตอบอยู่ในใจว่าเหตุการณ์จะจบอย่างไรในค่ำคืนนั้น
ประภาคาร แห่งความดีไม่เคยหลบใครแม้แต่เรือรบและผู้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับคุณงามความดีที่ไม่อาจแปรผันตามสถานการณ์หรือความต้องการของใคร มนุษย์สามารถแก้กฎหมาย เปลี่ยนรัฐธรรมนูญ แต่สาระหลักของความซื่อสัตย์ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การคำนึงถึงคุณภาพและความปรารถนาความเป็นเลิศ (Integrity, Human rights, Quality, Excellence) เป็นประภาคารที่เราทั้งหลายต้องช่วยกัน เพราะสักวันอาจมีเรือใหญ่เข้าทำลายได้
สำหรับเรื่องน้ำท่วมกับกระสอบ ทรายน่าสนใจที่เราสามารถใช้สิ่งที่ดูเป็นอ ุปสรรคมาเป็นประโยชน์ อย่างเช่นเสียงทุ้มต่ำของคุณนรีกระจ่าง หรือความซุ่มซ่ามของคุณพงษ์พัฒน์ อ่านแล้วอยากให้เด็กไทยบางคนที่ผิดหวังจากเอ็นทรานซ์ได้อ่านซ้ำอีกครั้งจะได ้รู้ว่าเราสามารถทำอะไรได้อีกมาก ลองค้นหาตัวเองให้เจอ และจะดีมากๆ หากสังคมไทยมีผู้ใหญ่อย่างคุณประภาสอีกมากๆ เพราะจะได้เป็นตาที่สามหรือกระจกใจดีที่ส่องให้เห็นความสำเร็จ ชนิดเจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้
เขียนยาวเท่าความคิดที่อยากเล่าให้คุณประภาสฟัง ด้วยความชื่นชมและขอคารวะในความปรารถนาดีที่คุณมีต่อสังคมไทยค่ะ
ครูไทย
ต้องขอขอบคุณคุณ "ครูไทย" ที่ส่งเรื่องดีๆ มาให้อ่านกัน
แนว คิดของ Martin Seligman ที่คุณครูไทยแนบมาให้นั้น คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าที่ผมอ่านจบ จำนวนหน้าถึงจะไม่เยอะมาก แต่ยอมแพ้ตรงที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนั่นแหละ น่าสมน้ำหน้าคนไม่ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเมื่อตอนเด็กๆ อย่างผมนะครับ
เอาเป็นว่าถ้ามีความคิดอะไรดีๆ น่าสนใจ ก็จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อครับ
ส่วนเรื่อง "นี่คือสัญญาณจากเรือรบ" เป็นเรื่องเล่าสนุกๆ ที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่งคำสั่งโดยไม่ดูสภาพความเป็นจริงลักษณะนี้ผมว่าท่านผู ้อ่านก็คงได้ยินบ่อยๆ ในชีวิตประจำวันของเรา
สามสี่วันก่อนในโถงใหญ่ ที่มีการประชุมกันของคนราวห้าหกร้อยคนเพื่อลงคะแนนอะไรสักอย่างในประเทศนี้ก็เพิ่งเกิดขึ้นไป
นึกออกไหมครับว่าที่ไหน
หน้า 17
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น