วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

ภาพลวงตาในองค์กร

นายเชี่ยวชาญแจ้งเจ้านายว่าจะขอลาออกจากงานที่ทำมาสิบปี บริษัทใหม่ให้ตำแหน่งและเงินเดือนสูงกว่า เจ้านายบอก “อย่าไปเลย ได้โปรด คุณมีค่าต่อบริษัท คุณเป็นทรัพยากรมีค่าของเรา ถ้าคุณไป บริษัทจะล้มแน่ อยู่ต่อก็แล้วกัน เดี๋ยวผมให้เงินเดือนขึ้น พลีส พลีส พลีส!”

นายเชี่ยวชาญอยู่ต่ออีกสองปี เจ้านายก็เรียกนายเชี่ยวชาญไปพบ แจ้งว่าบริษัทจะเลิกจ้างเขา

ทันใดนั้นนายเชี่ยวชาญพบว่าเขาไม่ได้เป็น ‘ทรัพยากรมีค่า’ สำหรับบริษัทนี้อีกต่อไป

เขาถูกแทนที่ได้

ความจริงคือนายเชี่ยวชาญไม่ได้โง่ลง หรือขี้เกียจขึ้น เขายังเก่งเหมือนเดิม แต่เกมเปลี่ยนไปแล้ว มีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง บางทีเงินเดือนของเขาสูงเกินไปแล้ว บางทีโลกทัศน์ของเขาไม่ขยายตามยุค บางทีภาษาอังกฤษที่เขารู้อาจไม่พอแล้ว บางทีประธานบริษัทคนใหม่แค่ไม่ชอบหน้าเขา ฯลฯ

และเมื่อถึงเวลาตัดสินใจขององค์กร บริษัทแทบทั้งหมดจะถือประโยชน์ขององค์กรหรือผู้มีอำนาจตัดสินเป็นที่ตั้ง

หลายคนทำงานอยู่ที่เดิมตลอดชีวิต บริษัทอื่นมาล่าตัวไปทำงานด้วย ก็ไม่ยอมไป เพราะจงรักภักดีต่อองค์กรอย่างมั่นคง

ผมรู้จักคนที่จงรักภักดีต่อองค์กร ไม่ย้ายไปที่อื่นทั้งที่ได้รับข้อเสนอดีกว่า แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เช่น วัยเร่ิมอ่อนล้า ความคิดอ่านเริ่มอ่อนแรง ความจงรักภักดีก็ไม่สามารถทำให้เขารักษาตำแหน่งและงานได้ เพราะแม้ความจงรักภักดีต่อองค์กรเป็นข้อดี แต่เมื่อถึงจุดตัดสินใจ บริษัทไม่ได้ดูที่ความจงรักภักดีเป็นหลัก

ถึงทำงานมานานปี ก็อย่ามีอีโก้ เก่งแค่ไหนก็ถูกไล่ออกได้

อย่าคิดว่าตนเองสุดยอด ไม่มีใครแทนเราได้

มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ‘คนเก่ง’ และ ‘ทรัพยากรมีค่า’ ถูกแทนที่ได้เสมอ

หากคุณเป็นที่ต้องการขององค์กร เวลาไปลาออก เจ้านายจะพูดว่าบริษัทขาดคุณไม่ได้ ล่มแน่ ฯลฯ ทั้งนี้เพราะเขาขี้เกียจหาคนใหม่ แต่หากจำเป็นก็หาได้เสมอ

ไม่เชื่อลองตายดู รับรองว่าเขาหาคนใหม่มาจนได้ เพราะธุรกิจต้องดำเนินต่อไป

แม้ในระดับของผู้บริหารและผู้นำองค์กร ไม่มีใครในโลกที่เป็นทรัพยากรมีค่าจนปลดออกไม่ได้ บริษัทหาคนมาแทนได้เสมอ

ผู้นำคนไหนคิดว่าตัวเองเก่งกาจสุดยอด อาจประเมินตัวเองสูงเกินไป

ในโลกธุรกิจ ไม่มีเทวดา




หลักของพุทธสอนเรื่องใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท แต่หลายคนเมื่ออยู่ที่สูงนานๆ สมองมักขาดออกซิเจน เห็นภาพลวงตาเป็นภาพจริง

มนุษย์เงินเดือนพึงคิดเสมอว่าเราทุกคนเป็น ‘expendible’ แปลอย่างไม่สุภาพว่า ถูกขับออกจากสำนักได้ทุกเมื่อ

ผู้ที่อยากอยู่จนเกษียณควรสร้างอำนาจต่อรอง ถ้าเราเก่ง มีวิสัยทัศน์ และหาเงินเข้าบริษัทได้ ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่ง ‘ทรัพยากรมีค่า’ ขององค์กรต่อไป

พึงวิเคราะห์และประเมินตัวเองเป็นระยะ ควรรู้ว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน คุณภาพและคุณสมบัติของตนเองเป็นอย่างไร ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ ต้องอัพเกรดแล้วยัง อย่ารอจนเบื้องบนเรียกไปบอกว่า “คุณเป็นทรัพยากรมีค่าของเรา แต่...”

การรู้เขารู้เราจะทำให้เราพบจุดแข็งของตนเอง และมันจะเป็นอำนาจต่อรองโดยเราไม่ต้องพูดสักคำ

และที่สำคัญ ในชีวิตการทำงาน ควรรู้ว่าเมื่อไรควรอยู่ต่อ เมื่อไรควรลาออก บางครั้งแม้ในเวลาที่กำลังมั่นคงที่สุด ก็ควรไป

มองที่เป้าหมาย แล้วก้าวเดินไปหาเป้านั้นโดยไม่วอกแวก ปรับแผนและจังหวะช้าเร็วตามความเหมาะสม แต่อย่าให้เป้าหมายหลุดจากสายตา



วินทร์ เลียววาริณ

http://www.winbookclub.com/article.php?articleid=663

10 มิถุนายน 2560

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2562

3 Workplace Insights From Shawn Achor

1. Happiness leads to success, not the other way around. ความสุขนำไปสู่ความสำเร็จไม่ใช่ทางอื่น ๆ

“If you work hard, you will become successful, and once you become successful, then you’ll be happy. This pattern of belief explains what most often motivates us in life. We think: If I just get that raise, or hit that next sales target, I’ll be happy. If I can just get that next good grade, I’ll be happy. If I lose that five pounds, I’ll be happy. And so on. Success first, happiness second.”

ความสุขคือสารตั้งต้นของความสำเร็จไม่ใช่ผลลัพทธ์ สมองของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเราคิดในแง่บวก ในแง่นั้นความสุขทำให้เราได้เปรียบในชีวิตส่วนตัวและอาชีพของเรา


2. Recognition drives us (and others) to be better. 

การยอมรับตัวเองและคนอื่นทำให้เราดีขึ้น ชื่นชมคนอื่น ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น การเปรียบเทียบกับคนอื่่นคือการขโมยความสุขของตัวเอง

3. “Sensory overload” prevents us from reaching our true potential.

การรับรู้มากเกินไปทำให้ไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของเราได้ ดังนั้นจึงควรจัดลำดับความสำคัญในการคิดเรื่องต่างๆ


นี่เป็นเพียงข้อมูลเชิงลึกบางส่วนจาก Achor และผลงานที่กว้างขวางของเขาเกี่ยวกับความสุขและความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือสาขาอื่น ข้อความเชิงบวกของเขาก็นำเสนอบางสิ่งสำหรับทุกคน

เรียบเรียงและแปลจาก : https://blog.namely.com/3-workplace-insights-from-shawn-achor?utm_campaign=hrr-2019&utm_content=87085250&utm_medium=social&utm_source=twitter&hss_channel=tw-455153815

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

จดหมายรัก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

The Standard Debate มิติใหม่ของการดีเบต โดยนายอภิสิทธิ์ได้อ่านจดหมายในช่วงระหว่างการดีเบตว่า
“เราอยู่ด้วยกันมานานจนผมรู้สึกว่า..
ตอนนี้คุณกำลัง_ สิ้นหวัง สับสน กลัว โกรธ
ถามตัวเองวนไปวนมา…
ว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องเล่ือก ‘เราเลือกอะไรได้มั้ย’
คุณเลือกได้เสมอ
อย่างน้อยที่สุด
ก็เลือกที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์แย่ๆ
เห็นจากคนรักคนหนึ่งของคุณ
ทุกคำพูด คำสัญญาของเขานั้น ‘เพื่อคุณ’ เสมอ
ทุกคำเชิงปลุกเร้า เย้ายวน ได้ใจคุณ
เวลาพิสูจน์แล้วว่า เค้าไม่ได้ทำ ‘เพื่อใคร’
นอกจากตัวเอง
เวลาพิสูจน์แล้วว่า เมื่อถูกจับได้ว่าเค้าปอกลอกคุณ
เค้าก็หนีไป
คนรักอีกคนหนึ่ง ก็ใช้เวลานี้เอง
เข้ามา ‘ยึดครอง’ คุณ
เค้าแข็งแกร่ง ปกป้องคุณได้
เค้าขอเวลาไม่นานเพื่อจะทำให้คุณกลับมามีความสุข
แต่ยิ่งอยู่ไป..เค้ากลับก้าวร้าว ครอบงำ และ
เอาแต่ใจตัวเอง
เค้าไม่อนุญาตให้คิดต่าง และเค้าไม่เคยผิด
เพราะเค้า เล่นตามกฎที่เค้าสร้างขึ้น
เมื่อโลกใบเก่าเป็นอย่างนี้ คุณจึงชายตามองคนใหม่
ที่ดูเป็น ‘ขบถ’ ในตัว
แต่คุณจะรักคนคนหนึ่ง ที่บอกให้คุณโกรธ
เกลียด…ทุกคน ทุกระบบ ทุกคุณค่าได้ยังไง
ผมเอง อาจจะไม่รวย ไม่แรง
เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
เคยมีโอกาสได้ดูแลคุณในช่วงสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยปัญหา
รอบตัวมีแต่ความวุ่นวาย
แต่คุณยังจำได้มั้ยว่า เราฝ่าฟันมาด้วยกัน
จนเราเก็บหอมรอมริบ ตั้งตัวได้ ไม่ล้มลง เรายังได้เริ่มต้นหลายอย่าง
ที่ทำให้คุณยิ้มได้ จนถึงทุกวันนี้
แม้ในวันที่คุณจากผมไป ผมก็ไม่เคยไปไหน
ใช้เวลาไปกับการทบทวนข้อผิดพลาด แก้ไขจุดอ่อน
เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ แอบดูแลคุณอยู่ห่างๆ
พยายามเป็นคนที่ดีขึ้น ในทุกๆวัน
27 ปีที่เรารู้จักกันมา
ผมอาจจะดูจืดๆ ไม่แข็งกร้าว ไม่เร้าใจ ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่ผมยังมั่นคงเหมือนเดิม
ผมไม่มีวันทำร้ายคุณ ไม่ควบคุมคุณ ไม่มีวันหนีไปไหน
ผมชอบฟังคุณเถียง ชอบเห็นคุณยิ้ม
และผมชอบอยู่ข้างๆคุณตลอดเวลา
กาลเวลาทำให้ผมแกร่งขึ้น วันนี้ผมพร้อมดูแลคุณ
วางแผนชีวิตให้เรา และลูกๆของเราต่อไป
ให้เป็นครอบครัวที่อบอุ่น มั่นคง ซื่อตรงต่อกัน ตลอดไป…
คุณเลือกได้เสมอ ‘เลือกผมเถอะครับ’ ผมรักคุณ”