วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ของขวัญจากหลวงปู่

ของขวัญจากหลวงปู่ : PRAPAS.COM


คอลัมน์ คุยกับประภาส
ประภาส ชลศรานนท์
มติชนรายวัน 8 ม.ค. 49

เทศกาลปีใหม่ผ่านไปแล้ว นับเป็นปีใหม่ที่ดีปีหนึ่งที่ยังได้ยินเสียงหัวเราะและได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์อยู่บนใบหน้าผู้คนเป็นส่วนใหญ่

ก็ ได้อาศัยเทศกาลนี้ละครับที่ปีๆ หนึ่งได้กลับมาระลึกถึงผู้คนรอบข้างที่เราเคยผูกพันด้วยไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องชีวิต แล้วก็นำของขวัญไปมอบให้กัน ของที่อยู่ในกระเช้าหรือในกล่องนี่

สำหรับ ผมแล้ว ผมว่าสำคัญน้อยกว่าความชุ่มชื่นหัวใจที่ได้เห็นมนุษย์รู้สึกดีต่อกันในบรรดา ของขวัญทั้งหมดที่ผมได้รับในปีนี้ มีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นชิ้นที่เมื่อผมเปิดออกดูแล้ว พบแต่ความร่มรื่นในชีวิตผมจะแกะให้ท่านผู้อ่านดูกันครับ

ขณะ ที่หลวงปู่เดินทางไปพักผ่อนที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ คือ พระธรรมวราลังการ สนใจการฝึกกัมมัฏฐานอยู่แล้ว

ได้เข้ามาถามถึงผลของการปฏิบัติ ทำนองสนทนาธรรมกัน และกล่าวถึงภาระของท่านว่า
มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดวัยชรา
แล้วก็สนทนาข้อกัมมัฏฐานกับหลวงปู่เป็นเวลานาน
ลงท้ายถามหลวงปู่สั้นๆ ว่า
ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม ฯ
หลวงปู่ตอบเร็วว่า
"มี แต่ไม่เอา"

คณะแม่บ้านมหาดไทยโดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ
ได้เคยนำคณะแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญสังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน
ได้ถือโอกาสแวะนมัสการหลวงปู่
หลังจากกราบนมัสการและถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่แล้ว

เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบาย ก็รีบออกมา
แต่ก็ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถือโอกาสพิเศษกราบหลวงปู่ว่า

"ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ"
หลวงปู่จึงเจริญพรว่า
"ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้ เมื่อภาวนาแล้ว ใจก็สงบ กาย วาจา ก็สงบ แล้วกายก็ดี วาจาใจก็ดี เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง"

สุภาพสตรีท่านนั้นจึงว่า
"ดิฉันมีภาระมาก ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนาได้ งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ"

หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า

"การภาวนาต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ
ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"
…………………………………………………………………..

สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เป็นชนชั้นครูบาอาจารย์
เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว
ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม โดยปรารภว่า

" คนสมัยนี้ไว้ทุกข์ไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน ทั้งๆ ที่สมัย ร.6 ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น เมื่อญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมลง ก็ให้ไว้ทุกข์ 7 วันบ้าง 50 วันบ้าง 100 วันบ้าง แต่ปรากฏว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า การไว้ทุกข์ที่ถูกต้องนั้น ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ"
หลวงปู่บอกว่า

"ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม"
…………………………………………………………………………

สำนัก ปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นั่นเอง อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา
คือ ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกจากปากใคร ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร
หรือ สวดปาฏิโมกข์เท่านั้น ครั้นออกพรรษาแล้ว พากันไปกราบหลวงปู่เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่นแล้ว สามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาอีกด้วย

หลวงปู่ฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง พูดว่า

" ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก นอกจากพระอริยบุคคล ผู้เข้านิโรธสมาบัติขั้นละเอียด ดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่าไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้นเอง"
…………………………………………………………….

หลวงปู่ชอบแนะนำส่งเสริมพระเณรให้ใส่ใจเรื่องธุดงคกัมมัฏฐานเป็นพิเศษมีอยู่ครั้งหนึ่ง
พระ สานุศิษย์มาชุมนุมกันจำนวนมาก ทั้งแก่พรรษาและอ่อนพรรษา หลวงปู่ชี้แนวทางว่าให้พากันไปอยู่ป่าหาทางวิเวก หรืออยู่ตามเขาตามถ้ำเพื่อเร่งความเพียร จะได้พ้นจากภาวะตกต่ำทางจิตบ้าง

ก็มีพระรูปหนึ่งพูดออกมาพล่อยๆ ว่า
"ผมไม่กล้าไปครับ เพราะผมกลัวผีหลอก"
หลวงปู่ตอบเร็วว่า

" ผีที่ไหนเคยหลอกพระ มีแต่พระนั่นแหละหลอกผี และตั้งขบวนการหลอกผีเป็นการใหญ่เสียด้วย คิดดูให้ดีนะ วัตถุสิ่งของที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคทำบุญนั้น แทบทั้งหมดล้วนทำเพื่ออุทิศส่งไปให้ผีทั้งนั้น ผีพ่อแม่ปู่ย่าตายายญาติพี่น้องเขา แล้วพระเราเล่าประพฤติตนเหมาะสมแล้วหรือ มีคุณธรรมอะไรบ้าง ที่จะส่งผลให้ถึงผีได้ ระวังอย่ามาเป็นพระหลอกผี"
…………………………………………………………………

ก็ มีพระนักปฏิบัติคณะหนึ่งจากภาคกลาง ไปพักอยู่หลายวันเพื่อฟังธรรมและเรียนถามกัมมัฏฐานกับหลวงปู่ พระรูปหนึ่งพรรณนาความรู้สึกของตนว่า

" กระผมเข้าหาครูบาอาจารย์มาก็หลายองค์แล้ว ท่านก็สอนดีอยู่หรอก แต่ส่วนมากมักสอนแต่เรื่องระเบียบวินัย หรือ วิธีทำกัมมัฏฐาน และความสุขความสงบอันเกิดจากสมาธิเท่านั้น ส่วนหลวงปู่นั้นสอนทางลัด ถึงสิ่งสุดยอด อนัตตา สุญตา ถึงพระนิพพาน กระผมขออภัยที่บังอาจถามหลวงปู่ตรงๆ ว่า การที่หลวงปู่สอนเรื่องนิพพานนั้น เดี๋ยวนี้หลวงปู่ถึงนิพพานแล้วหรือยัง"

หลวงปู่ปรารภว่า
"ไม่มีอะไรจะถึง และไม่มีอะไรจะไม่ถึง"
…………………………………………………

ปัญญา โลกแตก ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนปัญญาดีและคนปัญญาอ่อน นำมาถกเถียงกันอย่างไม่เกิดประโยชน์และตกลงกันไม่ได้สักทีว่าไก่กับไข่อย่าง ไหนเกิดก่อน ซึ่งส่วนมากเป็นการถามตอบเพื่อเถียงกันเล่น แล้วจบลงไม่ได้ ก็ยังมีผู้นำไปถามโดยคิดว่าหลวงปู่คงไม่ตอบปัญหาแบบนี้
ในที่สุดก็ได้ฟังคำตอบของหลวงปู่อย่างไม่เหมือนใครเลย คือ วันหนึ่งพระเบิ้ม เข้าไปปฏิบัตินวดเท้าถวายท่านแล้วถามว่า

"หลวงปู่ ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน"
หลวงปู่บอกว่า "เกิดพร้อมกันนั่นแหละ"
………………………………………………………………………

ครั้ง หนึ่งหลวงปู่เคยบอกว่า การอยากรู้เรื่องนิพพานก็เหมือนปลาถามเต่า มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้ จำเพาะตนโดยแท้ ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเองหมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน แล้วหลวงปู่ก็ว่าที่อุปมาอย่างปลาถามเต่าก็คือ เต่าอยู่ได้สองโลก คือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ ในน้ำ ขืนมาบนบกก็ตายหมด

" วันหนึ่ง เต่าลงไปในน้ำ แล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่าบนบกนั้นลึกมากไหม เต่า ว่ามันจะลึกอะไร ก็มันบกเอ... บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะคลื่นอะไรก็มันบก เอ... บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไรก็มันบก ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ""

จิตปุถุชนที่เดามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา"
………………………………………………………

หลวงปู่ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ ท่านคือหลวงปู่ดุลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่มั่น พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีของสังคมไทย หลวงปู่ดุลย์ท่านละสังขารไปยี่สิบปีกว่าปีแล้ว แต่ถึงทุกวันนี้ก็นับได้ว่าท่านเป็นอริยสงฆ์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาศึกษาธรรมและ เดินตามรอยท่านอยู่เป็นจำนวนมากของขวัญชิ้นพิเศษสุดที่ผมพูดถึงก็คือ หนังสือเล่มเล็กๆ ที่คุณแม่ผมได้มาจากการทำบุญที่สำนักสงฆ์แถวๆ บ้าน ที่ผมยกตัวอย่างมาเล่าย่อๆ ให้ฟังนี้เป็นแค่ส่วนน้อยครับ อยากให้หามาอ่านกันครับ อ่านแล้วเย็นกายเย็นใจดีจริงๆ
(ที่หลังปกหนังสือลงที่อยู่ไว้เพื่อติดต่อดังนี้ คุณสุภาพร 0-2513-3989)

ไม่มีความคิดเห็น: