วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คนแห่งความรัก

หลายครั้งในเส้นทางการดำเนินชีวิตผมพบคนที่ผ่านเข้ามามากมาย แต่ละคนก็มีสิ่งที่แตกต่างกัน อาจเขข้ามาเพียงชั่วครู่ หรืออาจผูกพันได้ยาวนาน ขึ้นกับเหตุและปัจจัย บางครั้งผมกลับชอบคำๆ นึงที่ว่า "ความรักไม่จำเป็นต้องมีเพศ" มีแต่คำว่ารักได้รึเปล่า ผมก็คิดดูอยู่นาน ถ้าแยกความรักออกมา จากสิ่งอื่นๆ จากเรื่องหลายๆ อย่าง ความรักกลับเป็นสิ่งที่สวยงามยากที่จะหาคำใด ความรู้สึกใดมาเทียบ ยกตัวอย่างเช่น คนเรารักกันได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน เพียงแต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ได้มอบความสุขใจให้กัน รวมไปถึงความปราถนาดีให้กัน ก็แลสดชื่นและประทับใจกันไปได้นาน ความรักของพ่อแม่ ความรักของพี่น้อง ความรักของเพื่อน ความรักของคู่สามีภรรยา ความรักก็แล้วแต่ว่าใครจะมองอย่างไร เห็นกันมุมไหน เสน่ห็ของมันอยู่ตรงส่วนไหนนะ ความรักมันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนึง ซึ่งมีเกิดแก่เจ็บตายกันได้ ชราภาพได้ ถึงเวลาก็จากกันไป ที่เคยเห็น คนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกันทุกเรื่อง คนเห็นเหมือนกันทุกเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรักกัน ถ้าอย่างนั้นคงไม่เป็นไร ถ้าคนของความรักของผมจะไม่ได้อยู่กับเราทุกช่วงเวลาของชีวิต คงไม่เป็นไร แต่ ไม่ว่าเค้าจะอยู่ที่ไหน ไม่ต้องกลัว รอรับความรักที่จะส่งไปในความคิด ในห้วงความคำนึง ถึงรึเปล่าไม่ค่อยแน่ใจ แค่ได้คิดถึงคนแห่งความรักของผม ผมก็รู้สึกมีความสุขมากมาย


เขียนที่นี่ครั้งแรก ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่ห้ามมาทวงลิขสิทธิ์จากบทความนี้เด็ดขาด ถ้าความคิดของผมจะไปเหมือนหลายๆ คน ถ้ารู้สึกเหมือนกันโลกนี้คงจะดี สวยงามขึ้นเยอะแยะเลย

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เมื่อไหร่ที่เธอจะมาหมุนรอบฉัน ฉันจะได้หมุนรอบเธอบ้าง

เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ

ดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
จะมีไหมนาที่ลอยอยู่เองเฉยๆ
ไม่ยอมโคจรหมุนไปไหนเลย
ไม่เคย ไม่เห็นเลยสักดวง

ดาวของฉันที่ลอยห่างไกลลิบๆ
แต่ดาวไหนๆมันก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น
ดาวของเธอฉันว่าก็เหมือนกัน
กี่ปีแสงนั้นอย่านับเลย

*เมื่อดาวโคจรมาเจอะกัน
ฤดูก็เปลี่ยนผัน การหมุนก็ผันแปร
เมื่อเธอกับฉันมาเจอะกันชีวิตก็เปลี่ยนผัน
เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนจังหวะหมุนของหัวใจ(ให้ใกล้กัน)

**(เกิดอาการ)เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ
แต่สองดาวก็ยังหมุนรอบตัวเอง
เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ
และสองดาวยังเปล่งแสงอันงดงามให้แก่กัน(ไปทั่วฟ้า)

ดาวนับแสนที่มีวงแหวนนับร้อย
ทั้งดาวเคราะห์น้อย ดาวฤกษ์ลอยคว้างๆ
ดาวทุกดวงนั้นย่อมจะแทรกกลาง
มีเส้นทางหมุนของตัวเอง

................................................
แต่แย่ ไม่ค่อยมีใครโคจรมาเจอกันบ้างเลย ตอนนี้เลยได้แต่ลอยคว้างๆ ไปเรื่อย

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อภินิหารพระดิน

คอลัมน์ คุยกับประภาส : อภินิหารพระดิน : 29 ส.ค. - 3 ต.ค. 2547

คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์


คืนนั้น ฟ้าแรงเสียจนเหมือนกับว่าโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง แต่ถึงฟ้าจะแรงอย่างนั้น ฝนกลับตกเหยาะแหยะ เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดไม่สมกับที่ชาวบ้านเฝ้าคอยฝนแรกของฤดู

ชาวบ้านร้านช่องปิดบ้านกันแต่หัวค่ำ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกสักเท่าไร ค่าที่เสียงฟ้ามันดังจนหูแทบแตก ที่มาพร้อมลำแสงหยักๆ บนท้องฟ้าที่ผ่าไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างน่าเสียวไส้

เห็นก็แต่เจ้าแก้วขี้เมาประจำบางคนเดียว ที่ยังหนีบขวดเหล้าขาวไว้ใต้รักแร้เดินตุปัดตุเป๋มาตามเส้นทางหลักของหมู่บ้านอย่างไม่อินังขังขอบ

ฝนตกลงมาอีกห่าหนึ่ง ขณะที่เจ้าแก้วหยุดยืนอยู่ตรงหัวโค้งดงกระถิน

มันมองเข้าไปที่เพิงพระที่อยู่ตรงหัวโค้ง

ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อดิน ถูกนิมนต์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เจ้าแก้วเองเกิดมาแต่อ้อนแต่ออก มันก็เห็นแล้วว่ามีพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยดินหยาบๆ องค์นี้ตั้งอยู่ตรงหัวโค้ง แล้วมันก็จำได้ว่าพอมันมาเป็นเด็กวัดเดินตามหลวงพ่อได้สักพัก ชาวบ้านก็ช่วยกันเปลี่ยนเพิงหลังคาแฝกให้เป็นเพิงหลังคากระเบื้องอย่างที่เห็นๆ อยู่

กระถางธูปที่อยู่ข้างหน้าหลวงพ่อดิน มีก้านธูปปักอยู่ไม่ถึงสิบก้าน หนำซ้ำยังถูกวางไว้เอียงกระเท่เร่ แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจของผู้คนในหมู่บ้านนี้นัก

"หลวงพ่อทำไมขี้เหร่เหลือเกิน" เจ้าแก้วเดินเข้ามามององค์พระใกล้ๆ " จมูกก็เบี้ยว ตาสองข้างก็ไม่เท่ากัน"

เจ้าแก้ววางขวดเหล้าไว้ข้างๆ แจกันบิ่นๆ ที่มีดอกไม้เหี่ยวๆ ปักอยู่ พอวางเสร็จตัวเจ้าแก้วเองก็เอียงเซไปทางซ้ายทีหนึ่งด้วยความเมา แต่มันก็คว้าเอาขอบโต๊ะเก่าๆ ที่อยู่ข้างหน้าไว้ทัน จากนั้นมันก็ค่อยๆ เกาะขอบโต๊ะเดินเข้าไปหากระถางธูป เพื่อจะจับให้ตั้งตรงตามเดิม

"ขี้เหร่อย่างนี้ใครเขาจะนับถือ" เจ้าแก้วบ่นถึงพระพุทธรูปดินอีกครั้ง

และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะพูดอะไรต่อ แสงแปลบก็สว่างโร่ขึ้นแถวๆ ดงกระถิน ตามด้วยเสียงตูมดังลั่นแทบแก้วหูระเบิด

ฟ้าผ่าลงกลางดงกระถินข้างๆ เพิงพระนี่เอง

เจ้าแก้วค่อยๆ คลายมือที่ปิดหูทั้งสองข้างออก พลางหันไปทางที่มาของแสงจ้าและเสียงลั่น ต้นกระถินต้นใหญ่ที่สุดในดงกำลังติดไฟอยู่

ขี้เมาตัวกลั่นหายเมาเป็นปลิดทิ้ง

ไฟค่อยๆ ลามจากกิ่งเล็กๆ จนลุกโชนไปทั้งต้น และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะคิดอ่านอะไรออก กิ่งใหญ่ที่ติดไฟอยู่ก็หักหล่นใส่หลังคาของเพิงพระ แล้วก็กลิ้งหลุนๆ เหมือนคบไฟหล่นลงมาที่พื้นข้างเสาไม้

ฝนที่เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดก็ดันมาหยุดเอาเสียเฉยๆ เจ้าแก้วยืนตัวแข็งมองดูไฟที่ค่อยๆ ลามลุกขึ้นจากโคนเสาติดไปถึงยอดเสาและก็เริ่มลามติดคานไม้

" ชิบหายแล้วสิ" ขี้เมาประจำหมู่บ้านตาสว่างทันทีทันใด มันมองหากระป๋องหรืออะไรสักอย่างแถวๆ นั้นเพื่อจะได้เอาไปตักน้ำที่บ่อน้ำหลังเพิงพระ

ไม่มีอะไรเลย นอกจากเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่งที่ปูไว้ให้ผู้คนกราบพระ

ไฟลามเร็วจนติดจากคานไปยังขื่อ และก็จันทันโครงหลังคา กระเบื้องสามสี่แผ่นเริ่มร่วงลงมา

"กระป๋องสักใบก็ไม่มี ทำไมมันซวยอย่างนี้" สิ้นคำสบถ ฟ้าก็สว่างจ้าพร้อมกับเสียงลั่นครืนใหญ่อีกครั้ง เจ้าแก้วก้มลงหมอบกับพื้น จะว่ากลัวฟ้าก็กลัว จะว่ากลัวไฟไหม้เพิงพระก็กลัว

"แล้วคนมันไปไหนกันหมดโว้ยนี่" หางเสียงฟ้าร้องยังลั่นครืนตามมาอีกระลอก เสาทั้งสี่ต้นติดไฟหมดแล้ว กระเบื้องหลังคาร่วงลงมาอีกสิบกว่าแผ่น เจ้าแก้วเริ่มมือสั่น เสาต้นแรกที่ไฟติดลั่นเปรี๊ยะเกิดสะเก็ดไฟขึ้นมา กระเด็นไปติดโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าองค์พระ

"กระถางธูป !" ขี้เมาของเราฉลาดไม่ใช่เล่น เจ้าแก้วหันไปเห็นกระถางธูปที่วางเอียงกระเท่เร่อยู่ มันยกกระถางคว่ำปากลงเพื่อให้ดินที่ใช้ปักธูปไหลออกมาจนหมด แล้วเจ้าแก้วก็อุ้มกระถางวิ่งไปที่บ่อน้ำทันที

แม้จะได้น้ำมาไม่มากนัก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักของบ่อน้ำทำให้เจ้าแก้ววิ่งตักน้ำมาสาดโต๊ะไม้ที่กำลังติดไฟอยู่ดับลงไปได้

หลังคาติดไฟหมดแล้ว เจ้าแก้วยังไม่สิ้นหวัง มันยังคงอุ้มกระถางธูปใส่น้ำวิ่งไปมาระหว่างบ่อน้ำกับเพิงพระ

น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หลังคาเพิงพระสว่างโร่ด้วยเปลวเพลิง แปไม้ที่ซ้อนไว้รับกระเบื้องท่อนหนึ่งตกลงที่ข้างๆ องค์พระ ไฟลุกติดที่ฐานพระอย่างรวดเร็วดังกับว่าองค์พระเป็นเชื้อเพลิงเสียอย่างนั้น

"เฮ้ย" เจ้าแก้วร้องลั่น พลันวิ่งไปที่องค์พระเพื่อจะหยิบท่อนไม้นั้นออก

ทันทีที่มือของเจ้าแก้วสัมผัสท่อนไม้ มันต้องชักมือกลับแทบไม่ทัน เพราะท่อนไม้นั้นถูกเผาจนร้อนไม่แพ้ถ่านแดงๆ เลย เจ้าแก้ววิ่งกลับไปที่บ่อน้ำพร้อมด้วยกระถางธูปอีกครั้ง

มันวิ่งไปมาสี่ห้ารอบเพื่อเร่งสาดน้ำเข้าที่องค์พระจนไฟที่องค์พระดับลง

แต่โครงหลังคาที่กำลังลุกโชนนี่สิ กำลังโค่นลงมา

เสาต้นแรกที่ติดไฟหักลงก่อน โครงหลังคาทั้งหมดที่ติดไฟอยู่จึงพังพาบไปด้านเสาต้นที่โค่น เสาอีกสามต้นถูกแรงดึงจึงพังตามลงมาไปยังทิศทางเดียวกับเสาต้นแรก เจ้าแก้วกระโดดหลบไปอีกทางหนึ่ง โชคดีที่หลังคาไม่พังทับองค์พระ

ขึ้เมาคนเก่งของเรานั่งหอบมองดูเพิงพระที่พังพาบติดไฟไหม้จนค่อยๆกลายเป็นขี้เถ้า นี่ถ้าหลวงพ่อดินดันเกิดติดไฟขึ้นมาอีกที มันก็คงไม่มีเรี่ยวมีแรงวิ่งไปตักน้ำดับไฟได้อีก

มันคิดได้แค่นั้น แล้วมันก็วูบหลับไป ไม่รู้จะด้วยความเหนื่อยหรือความเมา

แสงเช้านั้นแยงตาเจ้าแก้วตั้งนานแล้ว แต่เจ้าแก้วมารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้น

มันชันตัวขึ้นนั่ง พอสายตาปรับภาพที่มัวๆ จนชัดได้ มันก็หันไปทางเพิงพระทันที

ชาวบ้านเกือบร้อยคนยืนมุงดูองค์พระอยู่ ผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยอีกสี่ห้าคนกำลังยกโครงหลังคาที่ดำเป็นถ่านเหวี่ยงไปทางดงกระถิน เสียงวิจารณ์ดังอื้ออึงอยู่ไม่ขาดสาย เจ้าแก้วลุกขึ้นเคียนผ้าขาวม้าให้ถนัดแล้วก็เดินเข้าไปสมทบ

" มันเป็นไปได้อย่างไร ไหม้แต่เพิงพระ"

"ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไหม้หมดทั้งเพิง แต่องค์พระไม่สะดุ้งสะเทือนเลย"

"เจ้าประคุ้น หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ต้องคุ้มครองหมู่บ้านเราได้ดีแน่"

" หลวงพ่อคงช่วยเป่าลมให้ไหม้แต่เพิง ไม่ลามไปถึงหมู่บ้านเรา"

" สาธู...เป็นบุญของหมู่บ้านเราเหลือเกิน"

"ดูสิ...องค์หลวงพ่อไม่มีแม้แต่รอยไหม้สักนิด"

เจ้าแก้วเริ่มทำหน้าเหรอหรา มันพยายามแหวกตัวเข้าไปตรงกลางเพื่อจะบอกความจริงแก่คนอื่นๆ

"ฉันเอง... คือเมื่อคืนนี้" วีรบุรุษตัวจริงเอ่ยปากขึ้น

ผู้ใหญ่บ้านหันมาทางเจ้าแก้ว "ไอ้แก้ว กลิ่นเหล้าคลุ้งอย่างนี้ แกออกไปไกลๆ ก่อนได้ไหม คนเขาจะทำความสะอาดกัน"

เจ้าแก้วพูดต่อ "คือเมื่อคืนนี้ ฉันผ่านมาทางนี้พอดี..." ไม่ทันจะพูดจบดี เจ้าไม้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ผลักอกเจ้าแก้วให้ออกจากวงสนทนาไป

" ออกไปก่อนไอ้แก้ว ถ้าอยากจะช่วยงาน ไปล้างหูล้างตาก่อนไป เนื้อตัวมอมแมมดูไม่ได้เลย"

เจ้าแก้วถูกผลักกระเด็นจนล้มลง สภาพของเจ้าแก้วทำให้ชาวบ้านสี่ห้าคนหัวเราะขัน

"เดี๋ยวฉันจะไปนิมนต์ ท่านเจ้าอาวาสมาดู" ผู้ใหญ่บ้านประกาศ "หมู่บ้านเรามีพระศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ เราน่าจะสร้างศาลาใหม่ให้ท่าน หรือถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้จะสร้างโบสถ์ไว้ที่นี่เลย ไม่รู้ท่านเจ้าอาวาสท่านจะว่าอย่างไร"

เจ้าแก้วได้แต่นั่งทำตาปริบๆ


==========================================



ตอนที่ 2



ถ้านับเอาคร่าวๆ ก็เกือบเดือนแล้ว ที่เจ้าแก้วต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ชาวบ้านเห็น ยิ่งมันพูดมากเท่าไรว่าตัวมันเองคือคนที่ดับไฟที่เพิงพระ มันก็ยิ่งถูกเดียดฉันท์จากชาวบ้านมากขึ้น

สี่ห้าวันมานี้ไม่ว่าเจ้าแก้วจะโผล่หน้าไปที่ไหน ก็มักจะมีคำด่าทอจากผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านตะโกนใส่มันอยู่ตลอด บ้างก็ว่ามันเป็นคนถ่วงความเจริญของส่วนรวม ที่เบาๆ หน่อยก็ว่ามันเป็นคนโกหกพกลมอย่าไปฟังอะไรมัน ส่วนที่หนักหน่อยก็เปรียบเปรยมันให้เป็นเดียรถีบ้าง เป็นมารของศาสนาบ้าง และถ้ามีกลุ่มเด็กๆ อยู่แถวนั้นเจ้าแก้วก็จะถูกก้อนหินก้อนดินขว้างใส่ ราวกับว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจตัวหนึ่ง

หนำซ้ำขาซ้ายที่มันถูกเจ้าไม้ลูกน้องผู้ใหญ่เอาสันจอบตีเข้าจนเป็นแผลเหวอะหวะเมื่ออาทิตย์ก่อนตอนที่ผู้ใหญ่เรียกประชุมชาวบ้านที่ลานวัด ทำให้เวลาเดินเจ้าแก้วต้องเดินลากขาข้างหนึ่งด้วยความปวด น้ำเหลืองจากแผลที่ไหลเป็นทางลงมาทำให้เจ้าแก้วยิ่งดูน่าทุเรศทุรังมากขึ้น

ถึงตอนนี้ไม่ว่ามันจะมันโหยเหล้าแค่ไหน มันก็คงขอใครเขากินไม่ได้แล้ว ตาที่ดูขวางๆ ของมันก็จะยิ่งดูน่ากลัว ไอ้ที่เคยไปรับจ้างเขาดายหญ้าหาอัฐเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มีใครเขายอมจ้าง นี่ถ้าไม่ได้ข้าวที่เด็กวัดกินเหลือในแต่ละเพล เจ้าแก้วมันก็คงจะอดตาย

มันเป็นเวลาเกือบเดือนที่ทรมานที่สุดแล้วสำหรับเจ้าแก้ว


แต่สำหรับองค์พระดิน ใครจะเชื่อว่ามันจะเป็นหนึ่งเดือนที่อัศจรรย์ที่สุด

เสียงล่ำลือในอภินิหารของหลวงพ่อดินนอกจากจะรู้กันทั่วทั้งบางแล้ว บางใกล้ๆ ที่อยู่ติดกันอีกสี่ห้าบางก็เริ่มได้ยิน และก็หลั่งไหลกันมาสักการะองค์หลวงพ่อ

เพิงชั่วคราวถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อให้คนที่มาไหว้หลวงพ่อได้มีร่มเงา รอบๆ เพิงนั้นร้านขายของตั้งเรียงรายเต็มไปหมด ทั้งร้านของกิน และร้านขายดอกไม้ธูปเทียนทั้งที่ทางวัดจัดมาขาย และชาวบ้านเอามาขายเอง

รถสองแถวสองสามคันเริ่มจัดคิววิ่งรับส่งผู้คนไปยังปากทางหมู่บ้าน ความเป็นอยู่ของผู้คนในหมู่บ้านดีขึ้นทันตาเห็น ตู้บริจาคที่ทางวัดนำมาตั้งไว้ เต็มเร็วกว่าที่คิด

มีคนได้ยินผู้ใหญ่บ้านคุยกับครูใหญ่ว่า ถ้าคนยังเข้ามาสักการะหลวงพ่อมากมายอย่างนี้ทุกวัน ไม่เพียงแต่เงินสร้างศาลาหรอกที่จะได้ครบ เผลอๆ อาจจะได้อาคารเรียนที่ครูใหญ่อยากได้อีกหลังหนึ่งด้วยซ้ำ

เจ้าไม้กับเจ้าม้วนลูกน้องคนสนิทของผู้ใหญ่ได้รับมอบหมายให้ผลัดเวรกันเฝ้าเพิงพระ คอยกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปปิดทองที่องค์พระ ด้วยเกรงว่าองค์พระที่สร้างมาจากดินจะได้รับความเสียหาย แต่ถึงจะกันขนาดนั้นชาวบ้านที่มาไหว้ก็ยังไม่ละศรัทธา เพราะแม้แต่ฐานพระที่ทำด้วยปูนก็เหลืองอร่ามไปด้วยทองคำเปลวที่ชาวบ้านแหวกเจ้าไม้เจ้าม้วนเข้าไปปิดทอง

และยามใดทีเจ้าไม้หรือเจ้าม้วนเผลอ ก็จะมีแผ่นทองปิดเลยจากฐานขึ้นไปปิดที่พระบาทขององค์พระ

อันที่จริงดูไปแล้วคงจะเป็นงานที่น่าระอาไม่น้อยสำหรับคนที่เคยเป็นนักเลงอย่างเจ้าไม้และเจ้าม้วน เพราะต้องคอยปากเปียกปากแฉะพร่ำบ่นยกมือยกไม้กันไม่ให้ชาวบ้านล้ำเส้นเข้าไปปิดทอง แต่สองสามวันมานี้เจ้าสมุนสองคนของผู้ใหญ่ดูจะแช่มชื่นขึ้นมาหน่อยเพราะมีคนจ้างนางรำมารำแก้บนให้ดูบ้างแล้ว

มันเป็นเดือนที่อัศจรรย์ที่สุดแล้วสำหรับพระดินขี้เหร่ที่ไม่เคยมีใครมอง ถ้าเจ้าแก้วมันผ่านมาเห็นบ้างมันก็คงรู้สึกอย่างนั้น

แต่มันไม่ได้ย่างกรายผ่านไปแถวเพิงพระเป็นอาทิตย์แล้ว

เจ้าแก้ว ใช้ใต้ถุนกุฏิของหลวงตาเพิ่มเป็นที่ซ่อนตัวมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่อง อาศัยว่าหลวงตาเพิ่มเป็นพระแก่ๆ ที่ไม่มีใครมาขึ้นมาหาสักเท่าไร และยิ่งเป็นกุฏิที่อยู่ติดกับป่าช้าอย่างนี้ผู้คนจะไม่ค่อยพลุกพล่านนัก มันนอนแอบอยู่ข้างหีบอ้อยเก่าๆ ที่ชาวบ้านเอามาทิ้งไว้ใต้กุฏิ เอาจีวรเก่าๆ ที่หลวงตาไม่ใช้แล้วมาต่างหมอน

บ่ายนี้มันก็ยังคงนอนอยู่อย่างนั้น หลังจากที่ได้ข้าวก้นบาตรของหลวงตาไปเรียบร้อย

แต่วันนี้ผิดจากทุกวันที่มันไม่ได้หลับ วันนี้มันนอนลืมตาจ้องพื้นกุฏิชั้นบนอยู่

เสียงคุยกันที่ดังลงมาทำให้มันหลับไม่ลง เสียงแรกนั้นมันจำได้แม่นว่าเป็นเสียงของหลวงตา แต่อีกเสียงหนึ่งมันรู้สึกคุ้นเหลือเกิน

อาจเป็นเพราะเหล้าที่ไม่ได้ตกถึงท้องมาเป็นอาทิตย์แล้ว ทำให้เจ้าแก้วเริ่มคิดได้บ้าง หลายคืนที่มันนอนไม่หลับอยู่ตรงนี้ มันหวนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา

เสียงหลวงตาคุยกับใครสักคนบนกุฏิตอนนี้ก็เรื่องเดียวกันนี้นั่นแหละ

"เสียงพ่อนี่หว่า" เจ้าแก้วลุกขึ้นนั่งทันที ขาที่เป็นแผลเผลอไปกระแทกเอากับหีบอ้อยเข้า มันเอามือจับแผลที่เอาใบชะพลูปิดไว้เบาๆ "อูย..."

"พ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไร" เจ้าแก้วยิ้มออก

พ่อของเจ้าแก้วชื่อ ก้าน แต่เดิมพ่อก้านก็อยู่ที่บางนี้ ตั้งแต่แม่เจ้าแก้วตายพ่อก้านของเจ้าแก้วก็ขึ้นๆ ล่องๆ ไปรับจ้างเป็นช่างไม้แถวอยุธยา ตัวเจ้าแก้วเองก็มัวแต่หยิบหย่งทำงานเล็กๆ น้อยหาเงินกินเหล้าหัวราน้ำไปวันๆ มันไม่ได้เจอหน้าพ่อมาสองสามปีแล้ว

"หรือว่าพ่อรู้เรื่อง คงมีใครส่งข่าวให้พ่อ" เจ้าแก้วพูดกับตัวเอง มันกระโจนออกมาจากหลีบที่นอนแล้วก็วิ่งลากขามาที่หน้ากุฏิ น้ำบ่อใหญ่ที่จะชุบชูจิตใจของเจ้าแก้วอยู่ตรงหนัานี้แล้ว มันมีคนที่มันจะเล่าความจริงที่แสนอัดอั้นให้ฟังแล้ว

"พ่อ"แม้จะเสียงแหบพร่า แต่เจ้าแก้วก็ตะโกนลั่นสุดเสียง

เสียงคนบนกุฏิที่คุยกันเงียบไป

"พ่อ ฉันอยู่ข้างล่างนี่" เจ้าแก้วตะโกนไม่หยุด

ประตูกุฏิเปิดออก พ่อก้านโผล่หน้าออกมามอง และทันทีที่เห็นเจ้าแก้ว สีหน้าของพ่อก้านก็เปลี่ยนไป

พ่อก้านผลุนผลันออกมาที่บันได

“ไอ้เดรฉาน"

เจ้าแก้วยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด

“มึงไม่ใช่ลูกกู มึงรู้หรือเปล่ามึงทำอะไรลงไป" พ่อก้านก้าวลงบันได้ลงมา พลางคว้าไม้ไผ่ที่พิงอยู่ข้างๆบันไดติดมือมาด้วย

"พ่อ..ฟังฉันก่อน"

พ่อก้านหวดไม้ไผ่ใส่เจ้าแก้วทันที เจ้าแก้วเอามือป้องไว้

"มึงไม่ต้องพูด กูฟังคนอื่นมาเยอะแล้ว มึงมันลูกไม่รักดี กูบอกให้มึงบวชมึงก็ไม่บวช กูรู้แล้วทำไม มึงมันเป็นผีห่า หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนมึงยังไปลบหลู่” พ่อก้านด่าไปตีไปจนไม้ไผ่เริ่มแตกเป็นเสี้ยนๆ เจ้าแก้วก็ได้แต่เอามือปัดป้อง

"ไอ้มารศาสนา มึงไม่ใช่ลูกกู”

ไม้ไผ่ที่แตกเริ่มบาดมือบาดแขนเจ้าแก้วจนเลือดโชกและก่อนที่เจ้าแก้วจะเจ็บมากไปกว่านี้ หลวงตาที่เพิ่งลงมาถึงก็คว้ามือพ่อก้านไว้ทัน

"พอเถอะโยม” หลวงตาพยายามยื้อมือพ่อก้านไว้ แต่พ่อก้านนั้นผีโทสะเข้าสิงทั้งตัวเสียแล้ว "เอาไว้ได้อย่างไรหลวงตา"

"นึกเสียว่าอาตมาขอบิณฑบาต"

พ่อก้านชะงักมือทันที "มึงเห็นไหมไอ้เดรัจฉาน หลวงตาเขายังเมตตามึง มึงเสียอีกจ้องจะทำลายศาสนา"

น้ำตาเจ้าแก้วนั้นอาบไปทั้งหน้าแล้ว ไอ้เจ็บปวดที่ถูกตีน่ะก็เจ็บอยู่


แต่หัวใจที่ถูกตีนี่สิ


ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมาจากปากเจ้าแก้วสักคำ มันเม้มปากแน่นแล้วก็วิ่งออกไปจากที่นั่นทันที

"ไปเลยไอ้จัญไร แล้วมึงอย่ากลับมาที่หมู่บ้านนี่อีก กูไม่เอามึงไว้มึงแน่" เสียงพ่อก้านยังตะโกนตามมา

เจ้าแก้ววิ่งลากขามาหยุดหอบอยู่ที่ข้างเมรุหลังเก่า แล้วในที่สุดทำนบที่กั้นเขื่อนมาแสนนานก็พังลง เจ้าแก้วเริ่มร้องไห้อย่างกับเด็กๆ

"หนวกหูโว้ย ร้องทำห่าอะไร คนจะนอน" ตาโผงสัปเหร่อที่นอนอยู่แถวนั้นส่งเสียงด่าขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา

เจ้าแก้วจ้องเขม็งที่ขวดเหล้าขาวที่วางอยู่ข้างตัวตาโผง ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร จู่ๆ มันก็ลุกขึ้นไปคว้าขวดเหล้าขึ้นเทใส่ปากอย่างคนตายอดตายอยาก แล้วก็เดินออกมา

"เฮ้ย...ไอ้เด็กเวรมึงจะเอาเหล้ากูไปไหน" ตาโผงโงหัวขึ้นตะโกน

เจ้าแก้วมันกำลังมุ่งตรงไปยังที่เพิงพระดิน ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปทำอะไร น้ำตาของมันยังคงไหลมาผสมกับเลือดที่ไหลซิบๆจากการถูกตี มันผสมกันจนดูไม่ออกว่าเป็นเลือดหรือน้ำตา


มันผสมกันจนดูไม่ออกว่ามันโกรธหรือมันเสียใจ


=========================================


ตอนที่ 3


เกือบค่อนคืนแล้วที่เจ้าแก้วมันมานอนคอยอยู่ที่ดงกระถินข้างเพิงพระ กลิ่นเถ้าถ่านของต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าเมื่อสามสี่อาทิตย์ก่อนยังหลงเหลือเข้าจมูกจางๆ

มันนอนคว่ำหน้าตามองนิ่งเข้าไปยังเพิงพระ ไม่รู้จะด้วยฤทธิ์เหล้าหรือแรงเคียดทำให้ตาของมันมีสีแดงไม่แพ้คราบเลือดที่ติดอยู่ข้างแก้ม ส่วนเจ้าไม้คนเฝ้าเพิงพระนั่งสัปหงกจะหลับมิหลับแหล่อยู่ที่เสาด้านหน้า

ความตั้งใจแต่เมื่อตอนบ่ายที่มันคว้าขวดเหล้าของสัปเหร่อโผง เดินรี่ตรงมายังเพิงพระด้วยความแค้นผสมกับความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นลดความเข้มข้นลงไปบ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นน้ำตาของเจ้าแก้วก็ยังคงคลอๆ อยู่

"หลวงพ่อนะหลวงพ่อ ฉันไปทำอะไรให้หลวงพ่อเดือดร้อน" ถ้าเสียงในใจเจ้าแก้วมันดังออกมาข้างนอกอกได้ คนทั้งบางก็คงได้ยินคำพูดนี้ "ทำไมหลวงพ่อทำกับฉันอย่างนี้ หลวงพ่อทำให้ชาวบ้านชาวช่องเขาเกลียดชังฉันทำไม แม้แต่พ่อของฉันเองยังตีฉันเลย"

เสียงในหัวใจของเจ้าแก้วนั้นแม้จะต่อว่าต่อขาน แต่ก็แฝงความตัดพ่ออยู่ในที

"นี่ถ้าฉันไม่กลัวเจ้าไม้มันต่อยตีเอา เมื่อตอนบ่ายหลวงพ่อก็คงจะถูกฉันเผาวอดไปแล้ว" เจ้าแก้วยกมือปาดน้ำตา แล้วจู่ๆ มันก็ยกมือขึ้นจบหัว เหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดลามปามพระพุทธรูปมากไป

"จริงๆ นะหลวงพ่อ ฉันชักจะอยากรู้เสียแล้วว่าถ้าฉันเผาหลวงพ่อจริงๆ หลวงพ่อจะมีปาฏิหาริย์มาดับไฟอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดกันไหม" เจ้าแก้วยังคงคิดร้ายๆ ตามประสาคนที่เจ็บปวดทั้งตัวทั้งใจ

คิดแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาอีก ความสับสนทำให้หัวของเจ้าแก้วยิ่งปวดหนึบ

เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นที่เพิงพระ

"พี่ไม้ อย่าเพิ่งหลับสิ" เสียงเจ้าม้วนนั่นเอง มันคงนั่งหลบอีกมุมหนึ่งที่เจ้าแก้วมองไม่เห็น "เดี๋ยวฉันจะไปที่ร้านแม่แต้มหน่อย จะไปซื้อโอเลี้ยง พี่ไม้จะเอาอะไรอีกหรือเปล่า"

เจ้าไม้ส่ายหน้าแล้วก็โบกมือไล่เจ้าม้วนด้วยความง่วง

พอเจ้าม้วนเดินออกจากเพิงพระไป เจ้าแก้วก็พลิกตัวนอนหงาย ข้างในหัวของมันตอนนี้เหมือนมีพายุลูกย่อมๆ หมุนควงอยู่ เจ้าแก้วปรือตาที่คลอไปด้วยน้ำตามองขึ้นไปบนฟ้า คืนนี้ฟ้าปิดไม่แพ้คืนเกิดเหตุคืนนั้น แสงแปล๊บๆ จากหลังเขาไกลๆ นู่นทำให้เจ้าแก้วยิ่งนึกถึงคืนนั้น

เจ้าม้วนเดินลับโค้งไปนานแล้ว กว่ามันจะกลับมาอีกก็คงไม่ต่ำกว่าชั่วโมง เจ้าแก้วมันรู้ดี อันที่จริงกะอีแค่เดินไปเดินกลับแล้วก็ซื้อโอเลี้ยงนั้นคงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แต่แม่แต้มแม่ค้าขายโอเลี้ยงคนนี้น่ะสิ หนุ่มในบางคนไหนบ้างเล่าที่ไม่เคยขายขนมจีบให้แม่แต้ม ยิ่งกับเจ้าม้วนจอมชีกอคนนี้ด้วยแล้วต้องเรียกว่าติดแม่แต้มอย่างหนัก

เจ้าไม้เริ่มกรนแล้ว

เจ้าแก้วพลิกตัวมานอนคว่ำท่าเดิม ตาของมันยังหลับอยู่เหมือนจะพยายามจะไล่ความสับสนให้ออกไปจากหัวสมอง มือของมันเริ่มควานหาไม้หน้าสามที่มันเตรียมไว้ตั้งแต่พลบ ฟ้าแล่บขึ้นมาอีกครั้ง

"อยากรู้นัก ว่าหลวงพ่อจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน" เจ้าแก้วกำไม้แน่น "คราวนี้ ฉันจะตีหลวงพ่อให้ขาดสองท่อนเลย" เจ้าแก้วพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งยองๆ

"หลวงพ่อมีอภินิหารอะไรหลวงพ่อก็งัดออกมาให้หมดก็แล้วกัน"

เจ้าแก้วพูดกับตัวเองไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงโครมใหญ่เหมือนของหนักๆตกลงพื้นดังลั่นมาจากเพิงพระ เจ้าแก้วจ้องนิ่งเข้าไปในเพิง แล้วมันก็หยุดยืนตัวแข็งด้วยไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เจ้าไม้ที่นั่งสัปหงกอยู่นั้นตอนนี้ลงไปกองอยู่กับพื้น บนอกของเจ้าไม้มีเท้าของชายฉกรรจ์สองคนกำลังกระทืบอยู่

"เฮ้ย..มึงเป็นใครวะ" เจ้าไม้ร้องออกมาด้วยไม่คุ้นหน้า ชายร่างใหญ่ไม่ปล่อยให้เจ้าไม้ตั้งตัว รีบประเคนหมัดล้วนๆ เข้าหน้าเจ้าไม้อีกนับไม่ถ้วน เลือดสดๆ ไหลออกมาจากทั้งปาก และจมูกเต็มไปหมด

ชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งถอยหลังออกมาสองก้าว แล้วก็เงื้อเท้าขึ้น"หลีกไป" มันบอกพรรคพวกมัน

เจ้าคนที่กำลังชกหน้าเจ้าไม้อยู่ถอยออกบ้าง แล้วเจ้าคนที่เงื้อเท้าก็เตะเข้าที่หัวเจ้าไม้ที่กำลังโงขึ้นมาอย่างเต็มแรง

เจ้าไม้กรอกตาไปมาอยู่สองทีแล้วก็แน่นิ่งไป

ทางเจ้าแก้วนั้นแม้จะไม่ได้ถูกทำร้ายอะไร แต่ตัวมันตอนนี้กลับยืนนิ่งไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกเตะสลบเช่นกัน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าสองคนนั้นมันใครกัน แล้วมันมาทำร้ายเจ้าไม้ทำไม เจ้าแก้วมันถามตัวเอง มันต่างหากที่จะเป็นคนที่เข้าไปทำร้ายเจ้าไม้

เจ้าสองคนนั่นยังมองไม่เห็นเจ้าแก้ว

"เร็วๆ สิโว้ย แกไปเอาถุงมา" เจ้าคนที่เตะเจ้าไม้จนสลบ ออกคำสั่งไปยังอีกคนหนึ่ง แล้วมันก็เดินเข้าไปหาพระดิน

"สวยตรงไหนวะองค์นี้" มันล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงล้วงเอาสิ่วอันเล็กๆ ออกมา "เสี่ยเขาจะอยากได้ไปทำไมวะ"

"ไม่รู้สิพี่ เห็นเสี่ยเขาบอกว่าองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองไม่ให้ไฟไหม้” เจ้าคนที่เป็นลูกน้อง กางถุงผ้าที่มันเตรียมมาออก

"มันจะใส่ได้หรือวะไอ้ควาย ทำไมเอาถุงมาเล็กนัก" เจ้าคนที่เป็นหัวหน้าบ่น พลางเอาสิ่วค่อยๆ เลาะที่ฐานพระ "มันฉาบปูนหุ้มฐานไว้นี่หว่า เฮ้ยแกไปหาไม้มาสักท่อนหนึ่ง เอามาตอกสิ่วแทนค้อนหน่อยท่าทางจะแข็งว่ะ..เร็วๆ ด้วย เดี๋ยวไอ้คนเฝ้าอีกคนกลับมา"

เจ้าคนที่เป็นลูกน้องรีบเดินออกมาจากเพิงพระตามคำสั่งลูกพี่ทันที

"ท่อนนี้น่าจะได้" เจ้าคนที่เป็นลูกน้องค่อยๆ งัดกิ่งไม้กิ่งหนึ่งในกอขึ้นมา "อันนี้ได้ไหมพี่" มันตะโกนเข้าไปในเพิงพระ

ฟ้าลั่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังจนทำให้เพิงพระสะเทือนไหวๆ

"อันไหนก็เอามาเถอะ หัดดูเองเสียบ้างสิไอ้ควาย" ลูกพี่ตะโกนกลับไป มันคงง่วนอยู่กับการแซะที่ฐานพระเสียจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพราะถ้าเจ้าลูกพี่มันหันมามองเสียหน่อย มันก็คงเห็นเจ้าคนลูกน้องมันชอบด่าว่าเป็นควาย นอนกองอยู่กับพื้นโดยมีเจ้าแก้วยืนถือไม้หน้าสามค้ำร่างมันอยู่

เจ้าแก้วก้มลงมองเจ้าคนลูกน้องที่นอนแน่นิ่งอยู่อีกที แผลที่ทัดดอกไม้ที่เจ้าแก้วฟาดเข้าเต็มแรงไม่มีเลือดออกเลย แต่ที่จมูกของมันเลือดไหลออกมาปริ่มๆ รูจมูกแล้ว

ฟ้าแล่บขึ้นมาอีกครั้ง ฝนเม็ดเล็กๆ เริ่มโปรยลงมา เจ้าแก้วถือไม้เดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง

“เฮ้ย.... เฮ้ย" เจ้าคนลูกพี่ชักเอะใจที่ลูกน้องเงียบไป มันลุกขึ้นเดินมามองหาลูกน้อง “ให้ไปหาไม้ แล้วหายไปไหนวะ .."

ฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น

“เร็วๆนะโว้ย เราต้องทำเวลา” ตัวหัวหน้าตะโกนเข้าไปในความมืด

เจ้าแก้วเห็นว่าเจ้าคนหัวหน้ายืนชะเง้ออยู่ จึงค่อยๆ ย่องมาทางข้างหลัง แล้วมันก็เหวี่ยงไม้หน้าสามเข้าที่หัวของเจ้าหัวหน้าขโมยพระทันที

มันล้มกลิ้งลงไปตามแรงตี เจ้าแก้วตามเข้าไปซ้ำอีกสามสีทีจนมันนิ่งไป

"ไอ้เดรัจฉาน มึงจะขโมยหลวงพ่อหรือไง" เจ้าแก้วยืนหอบด้วยความเหนื่อย

ฟ้าลั่นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าแก้วหันกลับไปมองที่พระดิน

"หลวงพ่อ หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์นักไม่ใช่หรือ" ความสับสนวิ่งกลับเข้ามาในหัวของมันอีกครั้ง "หลวงพ่อมีอภินิหารทำไมหลวงพ่อ ไม่จัดการกับไอ้พวกขโมยพระพวกนี้เสียเองเล่า" เสียงของมันแตกพร่าด้วยความอ่อนล้า

เจ้าแก้วค่อยๆ เดินกะเผลกขาเข้าไปหาหลวงพ่อ มือขวาของมันยังคงกำไม้หน้าสามที่เปื้อนเลือดของโจรขโมยพระอยู่

"หลวงพ่อแสดงอภินิหารออกมาเลยสิ" เจ้าแก้วตะโกนขึ้นพลางเงื้อไม้ขึ้นกวัดแกว่ง "ฉันจะฟาดหลวงพ่อให้ขาดสองท่อนเลย หลวงพ่อแสดงถทธิ์ออกมาเลย" น้ำตาของมันไหลออกมาอีกจนท่วมหน้า "ไม่หลวงพ่อก็เสกให้ฟ้าผ่าฉันให้ตายลงตรงนี้ไปเลย"

แสงจากฟ้าแลบสะท้อนมายังองค์พระจนดูเหมือนกับว่าหลวงพ่อดินจะยิ้มน้อยๆ

เจ้าแก้วเหวี่ยงไม้ไปมาสักพักแล้วก็ต้องหยุดยืนหอบด้วยความเหนื่อย ดวงตาของมันแม้จะมีน้ำตาขวางอยู่เต็มไปหมด แต่มันก็ยังคงมององค์พระอย่างไม่ละ

ฝนลงหนักเม็ดแล้ว

เจ้าแก้วค่อยๆ วางไม้หน้าสามลงที่ฐานพระ ไม่มีใครรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ มันค่อยๆเดินลากขาตากฝนออกไปจากเพิงพระอย่างไร้จุดหมาย

พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านจะลืออะไรกันอีก

ร่างไร้สติของเจ้าไม้คนเฝ้าเพิงพระและเจ้าโจรขโมยพระทั้งสองคนยังนอนนิ่งอยู่ที่พื้น ไม้หน้าสามเปื้อนเลือดก็ยังพิงอยู่ที่ฐานพระ


==========================================


บทส่งท้าย


หลวงพี่แก้วกำลังนั่งขัดสมาธิราบอยู่กลางโบสถ์แต่เพียงลำพัง

ยามนี้แม้แต่ลม ก็ไม่ได้พัดเข้ามากวนใจหลวงพี่ของเรา ควันจากธูปที่ลุงไม้มาจุดบูชาพระไว้แต่เช้าจึงลอยอ้อยอิ่งเป็นสายเล็กๆ ขึ้นสู่เพดานโบสถ์ นกกระจอกฝูงใหญ่ที่เข้ามาทำรังอยู่บนคานหลังคาก็ออกหากินตั้งแต่เช้ายังไม่กลับรัง

เหมือนจะปล่อยให้หลวงพี่แก้วได้เข้าพบองค์พระดินเป็นการส่วนตัว หลังจากที่หลวงพี่วิ่งหนีหลวงพ่อดินมาตลอดสามสิบปี

ถึงตอนนี้แล้วหลวงพี่แก้วจึงนั่งนิ่งจ้องมองพระดินอย่างไม่วางตา

หลวงพ่อดินที่อยู่เบื้องหน้าวันนี้แทบจะไม่เหลือเค้าของพระดินองค์เก่าที่หลวงพี่เคยเห็นเมื่อครั้งกระโน้น ทองคำเปลวที่ชาวบ้านนำมาปิดไว้ตั้งแต่บาทจนถึงเศียรของหลวงพ่อพอกหนาจนแทบจะมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาเดิมๆ ขององค์พระ

แต่ถึงอย่างนั้นหลวงพี่แก้วของเราก็ยังใจสั่น

และต่อให้หลวงพี่อ้างว่าตัวเองมักคุ้นกับภาพของพระดินที่ลอยอยู่ในมโนจิตแค่ไหนก็ตาม ความตื่นใจของหลวงพี่ก็ไม่อาจเพลาลงได้ ด้วยความรู้สึกที่ว่ามีผู้กำชะตาชีวิตของตัวเองประทับอยู่ด้านหน้า

"หลวงพ่อครับ ผมมีคำถามอยากจะถามหลวงพ่อเยอะแยะเลยครับ" หลวงพี่แก้วยังคงจ้องมองนิ่ง

ไม่รู้ว่าจะเป็นอุปาทานของหลวงพี่แก้วหรือเปล่า ที่จู่ๆ หลวงพี่ก็รู้สึกว่ามีลมพัดเข้ามาในโบสถ์วูบใหญ่ ควันธูปที่ลอยเป็นสายแต่แรกจึงกระจายแตกฟุ้งไป

"หลวงพ่อ..." พระแก้วหลับตาลง

"หลวงพ่อกำลังจะแสดงปาฏิหาริย์อะไรอีกหรือเปล่า"

ลมยังคงพัดต่อเนื่องเข้ามากระทบตัวหลวงพี่แก้วจนจีวรสะบัดไหวๆ กระดิ่งใบเล็กๆ ที่แขวนไว้ที่ชายคาโบสถ์สั่นตามแรงลมส่งเสียงเข้ามาทำลายความเงียบ

"อะไรคือปาฏิหาริย์ครับหลวงพ่อ" เสียงในอกของหลวงพี่ดังแข่งกับเสียงกระดิ่งที่ดังรัวตามแรงของลม

"ผมถามตัวเองมาตลอดว่าผมบวชเรียนเพื่ออะไร แล้วผมก็ตอบตัวเองมาตลอดว่าผมบวชเพื่ออยากพบความสงบ" ลมสงบลง เสียงกระดิ่งนอกวัดเงียบไป "แต่ถึงจะตอบตัวเองอย่างนั้น ใจผมก็ยังขุ่นทุกครั้งที่ภาพของหลวงพ่อลอยขึ้นมา"

"แม้ว่าวันที่โยมพ่อของผมสิ้น และถึงผมจะมาทันก่อนท่านหมดลมก็ตาม แต่จิตผมก็รู้สึกขุ่นอยู่ตลอดเวลาที่ผมนึกถึงปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อ"

หลวงพี่แก้วกำลังหวนนึกไปถึงตอนที่เพิ่งบวชเป็นพระใหม่ๆ แล้วได้รับข่าวโยมพ่อล้มป่วย หลวงพี่ยังจำโทสะของตัวเองครั้งนั้นที่มีต่อพระพุทธรูปดินองค์นี้ได้ ภาพของพระใหม่รูปหนึ่งออกมาเหวี่ยงไม้ด้วยความโกรธไปรอบๆ วัดตอนกลางดึกลอยขึ้นมาชัดเจนมากในคลองจิต

จนถึงตอนนี้แม้ว่าหลวงพี่แก้วของเราจะเป็นพระสงฆ์ที่จัดได้ว่าเป็นพระดีรูปหนึ่งที่สามารถกำหนดความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในสัมปชัญญะได้ตลอดก็จริง แต่เจ้าตัวมิจฉาสังกัปปะที่ออกมาอาละวาดครั้งนั้นน่ะสิ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะแข็งแรงอะไรขนาดนั้น หลวงพี่แก้วบำเพ็ญภาวนาข่มมันอยู่แทบทุกวัน มันก็ยังคงฝังตัวแอบอยู่ในนาจิตนาใจมาตลอด และคราวใดที่ฌานอ่อน เจ้าตัวร้ายตัวนี้ก็จะออกมาป่วนวิปัสสนาให้กระเจิงไปแทบทุกที

ลมข้างนอกพัดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เริ่มเป็นลมที่แรงกว่าเก่า เสียงลุงไม้ตะโกนบอกให้เด็กวัดเตรียมผ้าใบไว้ ฟ้าทางฝั่งดอนเริ่มมืดด้วยเมฆฝน

"หลวงพ่อครับ คนเราจะบวชจะเรียนเพื่ออะไร นอกจากความเลื่อมใสแล้วก็เห็นจะมีอีกสิ่งเดียวนั่นก็คือต้องการมุ่งความบริสุทธิ์แห่งตน ผมรู้ตัวเองมาตลอดว่าใจของผมนั้นยังไม่บริสุทธิ์กับหลวงพ่อ จริงอยู่ละครับว่าผมสงบใจได้มากขึ้นกว่าตอนก่อนบวช แต่ผมก็ยังรู้สึกร้อนใจทุกครั้งที่พยายามหาคำตอบเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อ"

เสียงกระดิ่งสั่นรัวตามแรงลม

"หลวงพ่อว่าอภินิหารไม่มีจริงหรือครับ"

แสงสว่างบนฟ้าทางฝั่งดอนสว่างขึ้นแว่บหนึ่ง

"หลวงพ่อจำวันที่เจ้าพวกขโมยหลวงพ่ออย่างที่ผู้คนเขาโจษกันเลย หลวงพ่อก็รู้ว่าผมต่างหากที่เป็นคนทำ"

เสียงฟ้าลั่นครืนมาแต่ไกลๆ

"หลวงพ่อกำลังจะถามผมใช่ไหมว่าผมกลับมาที่เพิงพระในตอนนั้นทำไม ผมโกรธหลวงพ่อครับผมยอมรับ ผมจะมาเผาหลวงพ่อ... ผมยอมรับ"

ข้างนอกวัด ลุงไม้กำลังสาละวนกับเด็กวัดเอาผ้าใบเตรียมคลุมแผงขายดอกไม้ธูปเทียนของวัด เมฆก้อนใหญ่ๆ ลอยมาคลุมท้องฟ้าตรงบริเวณวัดจนทั้งวัดเริ่มมืดราวกับถึงเวลาพลบ เสียงฟ้าร้องยังคงดังเป็นช่วงๆ ห่างๆ กัน แต่ในใจของหลวงพี่แก้วนั้นฟ้าร้องฟ้าลั่นอึงคะนึงไปหมดแล้ว

"หรือว่านั่นแหละคืออภินิหารที่หลวงพ่อทำ"

ฝนเริ่มลงเม็ด

"หลวงพ่อดลใจให้ผมมาหรือ หลวงพ่อดลใจให้ผมเดินผ่านมามองเห็นเพิงพระไฟไหม้แล้วดลใจให้ผมดับไฟหรือ หลวงพ่อมาตู่เอาง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้นะครับ"

ฟ้าผ่าลงมาอีกครั้ง เสียงของมันดังสนั่นราวกับว่ามันผ่าอยู่ข้างๆ วัดนี้เอง เถ้าธูปที่ค้างอยู่บนก้านหล่นลงมาที่กระถางด้วยแรงสะเทือนของฟ้าร้อง

ฝนลงเม็ดหนักขึ้น

"หรือหลวงพ่อจะบอกว่าหลวงพ่อนั่นแหละเป็นคนทำให้ฟ้าผ่าลงมาด้วย"

"แล้วก็ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ทำให้ผมโกรธหลวงพ่อถึงขนาดจะย้อนมาเผาหลวงพ่อเพื่อจะได้เจอเจ้าพวกขโมยพวกนั้น รวมไปถึงทำให้ผมกลับมาถามหลวงพ่อวันนี้ด้วย"

ลมฝนกระโชกแรงเข้ามาในโบสถ์ แรงลมนั้นแรงจนดอกไม้เงินดอกไม้ทองที่ปักไว้ในแจกันแกว่งกระทบกันไปมา เสียงกระดิ่งนอกวัดก็รัวลั่นจนฟังไม่เป็นเสียงกระดิ่งเสียแล้ว

"พูดเป็นเล่นไป ทุกอย่างคืออภินิหารของหลวงพ่ออย่างนั้นหรือ"

"ตั้งแต่ผมเกิดแล้ว?"

"การเกิดของผมก็เป็นปาฏิหาริย์"

ฝนที่ตกอย่างหนักผสมเข้ากับลมที่พัดราวกับพายุเริ่มพาเอาละอองฝนสาดเข้ามาทางหน้าต่างโบสถ์ เสียงลุงไม้กับเด็กวัดตะโกนโหวกเหวกช่วยกันเก็บข้าวเก็บของที่ตั้งไว้ตามระเบียงคต

"แล้วตอนที่ผมเจ็บจากการถูกพ่อตีเล่า ขาข้างที่เจ็บของผมที่เวลาเดินแล้ว มันเจ็บแปลบเข้าไปถึงกระดูกนั่นด้วยหรือ หลวงพ่อกำลังจะเหมาเอาความชราที่เข้ามาเยือนสังขารผมอยู่ทุกวันนี้ด้วยใช่ไหมว่ามันก็ล้วนคือปาฏิหาริย์"

ฟ้าร้องขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แรงสะเทือนทำเอาโต๊ะหมู่บูชาด้านหน้าหลวงพ่อดินสั่นจนกระทบกันดังกึกๆ แล้วฝนก็ซาเม็ดลง

"ทำไมปาฏิหาริย์มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นเล่า"

"ความตายของโยมพ่อก็คงเป็นปาฏิหาริย์เหมือนกัน"

เสียงฟ้าเงียบลงแล้ว เถ้าของธูปแท่งสุดท้ายที่คาอยู่ที่ก้านหล่นลงบนโต๊ะ

"ถ้าวันนั้นผมไม่เข้าไปดับไฟหลวงพ่อ หลวงพ่อก็คงมอดไฟไปหมด โบสถ์ใหญ่ๆ หลังนี้ก็คงไม่มี หลวงพ่อที่ปิดทองเหลืองอร่ามอย่างตอนนี้ก็คงไม่มี"

"เพราะมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้วหรือ"

"ปาฏิหาริย์มันมีจริงและก็ไม่มีจริงไปพร้อมๆ กันอย่างนั้นหรือ"


......................

หลวงพี่แก้วลืมตาขึ้น เสียงลุงไม้วิ่งขึ้นมาบนโบสถ์เพื่อจะมาปิดหน้าต่างพลันที่ลุงไม้มองเห็นหลวงพี่แก้ว ลุงไม้ก็รีบลงนั่งยองๆ โดยไม่กล้าส่งเสียงรบกวนสมาธิใดๆ

จู่ๆ ลมก็สงบนิ่งเหมือนกับว่านอกวัดมีพัดลมตั้งอยู่และถูกปิดไปในทันที

หลวงพี่แก้วค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพข้างหน้าของหลวงพี่ก็ยังคงเป็นองค์พระดินที่ปิดทองเต็มไปทั้งองค์อย่างเดิม แต่หลวงพี่แก้วกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ความฉ่ำเย็นปกคลุมไปทั่วทั้งโบสถ์

หลวงพี่ไม่เคยรู้สึกอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย

ความรู้สึกที่ว่าไม่รู้สึกอันใด ไม่โกรธแค้น ไม่ถวิลหา และไม่สงสัย

หลวงพี่แก้วก้มลงกราบหลวงพ่อพระดินสามครั้งแล้วก็ลุกขึ้นเดินผ่านหน้าลุงไม้ไป

ฝนเริ่มลงเม็ดมาอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงฟ้าผ่าที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ แถวนี้ หลวงพี่แก้วยังคงเดินมุ่งไปยังที่ปักกลดของตน

หลวงพี่ของเราไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ทุกอย่างที่จะเกิดต่อไปนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งธรรมดาและปาฏิหาริย์ในคราวเดียวกัน



ประภาส ชลศรานนท์

ทำงานเพื่ออะไร - 6 มี.ค. 2548

ทำงานเพื่ออะไร - 6 มี.ค. 2548


คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์


ถึงพี่ประภาส


เคยถูกถามนะ ว่าทำงานกันไปเพื่ออะไร อาจจะเป็นคำถามง่ายๆไร้สาระนะ แต่หนูก็คิดเหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร เพื่อเงินหรือเปล่า เพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น เพราะแต่ละวันเราก็ต้องทำอะไรที่เหมือนๆเดิมทุกวัน แต่งตัวตอนเช้า รถติด ตอกบัตร อยู่ที่ทำงานบางทีก็เบื่อ บางทีก็ขยัน เป็นหยั่งงี้ทุกวัน ... อยากได้ความคิดเห็น หรือคำตอบดีๆจากคำถามที่ว่า..ทำงานไปเพื่ออะไร?


สลิด


==========================================


พี่ประภาส


เวลามีใครถามผมว่า ทำงานไปเพื่ออะไร ผมก็ตอบทุกครั้งว่า ทำงานเพื่อเงิน พี่ว่าผิดไหม


มนุษย์งานมนุษย์เงิน


=========================================


วันนี้ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังสองเรื่อง เรื่องแรกคือทฤษฎีของมาสโลว์ เรื่องที่สองคือเรื่องเล่าจากหอไอเฟล

เรื่องแรกนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวความคิดทางจิตวิทยาของชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ที่อาจจะมีภาษาที่ฟังดูยากๆไปสักหน่อย แต่ผมขอรับปากว่าจะพยายามช่วยอธิบายในภาษาของผมให้ดีที่สุด อ่านถึงตรงนี้ถ้าใครอยากข้ามไปอ่านเรื่องเล่าจากหอไอเฟลเลย ผมก็คงจะไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมอยากอ่านอะไรที่สนุกและเข้าใจง่ายๆ

ถามว่ามันเกี่ยวอะไรกันไหมสองเรื่องนี้ มันไม่เนื่องกันโดยตรงหรอกครับ แค่คล้ายๆข้าวเหนียวกับทุเรียนแค่นั้น

เรื่องแรกครับ

อับราฮัม เอช. มาสโลว์(พ.ศ.2451-2513) เจ้าของทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพและทฤษฎีจิตวิทยามนุษยนิยม ได้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์เป็นผู้ไม่หยุดนิ่ง"

ประโยคนี้แปลว่าอะไร มันแปลว่า “มนุษย์นั้นมีความต้องการไม่สิ้นสุดใช่ไหม”

ประโยคที่สองที่ผมแปลนี่ มาสโลว์ก็พูดไว้ก่อนแล้ว ฟังดูก็ไม่น่าเร้าใจอะไรเท่าไรนะครับ เราๆท่านๆก็ฟังคำสอนทางพุทธที่มีความหมายประมาณนี้มาเยอะแยะแล้ว

ต่อไปก็เป็นประโยคที่สามครับ มาสโลว์บอกว่า “ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรม”

ฝรั่งนั้นชอบอธิบายอะไรทำนองนี้เสมอ ฟังอย่างไรก็รู้ว่าเป็นภาษาฝรั่ง แต่ยอมรับนะครับว่าฟังแล้วเข้าใจได้ดี ผมชอบเรียกการอธิบายแบบนี้ว่าการอธิบายแบบคณิตศาสตร์ คือมันฟังแล้วเห็นภาพเหมือนสมการสองข้าง เหมือนอนุกรมของตัวเลข

ต่อไปก็เป็นประโยคที่สี่ของมาสโลว์
ประโยคนี้สำคัญที่สุดเพราะมาสโลว์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าแห่งทฤษฎีทางจิตวิทยาสายมนุษยนิยมก็ด้วยประโยคนี้แหละครับ

“ความต้องการของมนุษย์เป็นไปตามลำดับขั้น”

มาสโลว์แบ่งลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้นคือ
ขั้นที่1.ความต้องการทางกาย ความต้องการขั้นพื้นฐานนี้ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่มี สัตว์โลกอื่นๆก็มีครับ เมื่อหิว เมื่อกระหาย ก็ต้องการอาหารและน้ำ เมื่อหายใจไม่ออกก็ต้องการอากาศ หนาวขึ้นมาก็ต้องการเสื้อผ้า หรือถ้าฮอร์โมนมันพุ่งพล่านขึ้นมาก็ต้องการเพศตรงข้าม รวมไปถึงเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องการยารักษา

ขั้นที่2.ความต้องการความปลอดภัย หลังจากตอบสนองขั้นแรกได้แล้วมนุษย์ก็จะเริ่มคิดเผื่อไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือเริ่มกลัวถูกทำร้าย กลัวอาหารไม่พอ กลัวหนาวเกินไปกลัวร้อนเกินไป ดังนั้นการตอบสนองด้วยการสร้างที่พักอาศัยและการกักตุนอาหารไว้จึงเกิดขึ้น การมีไร่นาปลูกผักเผื่อเหลือเอาไว้ หรือการเลี้ยงสัตว์ไว้มากมาย การมีอาวุธไว้ป้องกันตนเองก็เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นนี้ทั้งนั้น

ถึงตรงนี้ขออนุญาตหมายเหตุไว้สักหน่อย น่าทึ่งนะครับที่อยู่ๆมนุษย์ก็คิดค้น “เงิน” ขึ้นมา มันเป็นสิ่งสมมุติที่สามารถเอามาแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งสองขั้นข้างบนได้อย่างดี

ขั้นที่3.ความต้องการทางสัมพันธภาพ ความต้องการขั้นนี้เริ่มไม่ค่อยเกี่ยวโดยตรงกับร่างกายแล้ว แต่เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมนั้นไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตามย่อมต้องกลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวการอยู่เพียงลำพัง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องการความรักและมิตรภาพเพื่อผูกสัมพันธภาพไว้

เพื่อน คู่รัก ครอบครัว ชุมชน จึงเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ในอีกขั้นหนึ่ง

มีข้อคิดบางประการเกี่ยวกับ “เงิน” ที่ผมพูดไว้ในข้อที่แล้ว พอมาถึงขั้นนี้เราอาจเห็นได้ว่าเงินชักจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นนี้ได้ครบถ้วนแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าเขาเคยใช้เงินซื้อเพื่อนหรือคนรักได้ แต่เชื่อผมเถิด ถ้ามันจะซื้อได้จริงๆมันก็คงได้แค่เพียงผิวเผินชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ลองดูขั้นต่อไปเรื่อยๆสิครับว่า เงินซื้อได้หมดไหม

ขั้นที่4.ความต้องการยอมรับนับถือ ในขั้นนี้ มาสโลว์ยังแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือปรารถนาการนับถือตนเอง ต้องการมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความความสำเร็จโดนไม่ต้องพี่งพาอาศัยผู้อื่น ฟังๆดูแล้วมนุษย์นี่ช่างเรื่องมากดีแท้ๆพวกหมูหมากาไก่คงไม่มีหรอกครับความปรารถนาที่จะนับถือตนเอง

ส่วนแบบที่สองคือ ปรารถนาได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น แปลง่ายๆก็คือพวกเกียรติยศชื่อเสียงนั่นแหละครับ

มาถึงขั้นนี้แล้วมองดูผ่านๆ บางคนอาจจะบอกว่าเงินก็ยังน่าจะมีอำนาจที่จะซื้อได้อยู่นะไอ้เกียรติ ยศ และสรรเสริญนี่ ไม่รู้สิครับผมว่าสังคมเขารู้นะครับว่าอันไหนซื้ออันไหนไม่ซื้อ ที่สำคัญหากซื้อมาได้จริงมันก็แค่หลอกคนอื่นได้ คนเรามันหลอกตัวเองได้ที่ไหนกัน สุดท้ายแล้วในใจลึกๆก็ยังคงขาดการยอมรับนับถือตัวเอง และเมื่อขาดการยอมรับนับถือตนเองมนุษย์ก็เริ่มไม่มีความสุขแล้ว

หมายเหตุมาถึงเรื่องเงินอีกครั้ง สังเกตุเห็นไหมครับว่าขั้นความต้องการยิ่งสูงขึ้น เงินก็ยิ่งหมดความหมายไปเรื่อยๆ ลองอ่านขั้นสุดท้ายของความต้องการของมนุษย์ดูสิครับ

5.ความต้องการในอุดมคติแห่งตน ภาษาฝรั่งที่มาสโลว์ว่าไว้คือ SELF ACTUALIZATION NEED แปลกันไว้หลายสำนักเสียด้วย สำนักหนึ่งแปลว่า คือความต้องการความสำเร็จตามความนึกคิดของตนเอง อีกสำนักหนึ่งแปลว่า ความต้องการความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์

ขออนุญาตอธิบายดังนี้ดีกว่า

สิ่งที่คานธีทำในประเทศอินเดียจนคนทั้งโลกต้องหันมามอง สิ่งที่แม่ชีเทเรซ่าทำจนโลกต้องค้อมหัว ความรู้ที่เปรียบดั่งกุญแจไขจักรวาลที่ไอน์สไตน์ค้นพบ การช่วยชีวิตสัตว์ป่าให้ได้อยู่ในธรรมชาติอย่างอิสระของคุณสืบ นาคะเสถียร หรือแม้แต่การทำงานโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยของอาสาสมัครในวิกฤติการณ์สึนามิ ฯลฯ มนุษย์เหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อสนองความต้องการทั้งสี่ขั้นต้นนั่นเลยเลย

อุดมคติเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึง

เงินไม่มีค่าอันใดเลยสำหรับความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์ตามทฤษฎีของมาสโลว์

………….

เรื่องที่สอง เรื่องเล่าจากหอไอเฟล เรื่องนี้สั้นๆและเบาๆครับ
ระหว่างที่กำลังสร้างหอไอเฟลที่กรุงปารีสอยู่นั้น มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกทำสกู๊ปสัมภาษณ์คนงานที่กำลังก่อสร้างหอฯ เพื่อนำมาลงหนังสือพิมพ์ให้เห็นถึงบรรยากาศการก่อสร้าง แต่ละคนก็ให้ความเห็นและบอกเล่าความรู้สึกแตกต่างกันออกไป

มีอยู่สามคนที่มีการนำมาอ้างถึงในปัจจุบัน เมื่อมีการพูดคุยกันว่าคนเรานั้นทำงานเพื่ออะไร

คนแรกให้สัมภาษณ์ว่า “ก็ทำงานไปวันๆ พอยาไส้ ถึงเวลาเลิกงาน ถ้าได้เหล้าสักเป๊กสองเป๊กแก้ปวดเนื้อปวดตัวก็พอใจแล้ว”

คนที่สองให้สัมภาษณ์ว่า “ครอบครัวของผมห้าปากห้าท้องต้องอาศัยรายได้จากงานนี้ ผมทำงานด้วยความตั้งใจอย่างสูง หัวหน้าคงมองเห็นความขยันของผมแล้ว ผมคิดอย่างนั้น และอีกไม่นานบริษัทก็คงขยับหน้าที่การงานผมให้สูงขึ้น”

คนที่สามให้สัมภาษณ์ว่า “ผมกำลังสร้างหอเหล็กที่สูงที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา เมื่องานนี้สำเร็จคนทั้งโลกจะต้องได้ยินชื่อและเดินทางมาดูมัน ผมภาคภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในวิศวกรรมอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผมและวงศ์ตระกูล”

คนหนึ่งทำเพื่อทน
คนหนึ่งทำเพื่อทำ
คนหนึ่งทำเพื่อธรรม



ประภาส ชลศรานนท์

ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา

ศรัทธา วงหินเหล็กไฟ ถ้าใครได้ฟังแล้วก็ขอให้ทุกคน ( รวมทั้งผม ) มีแรงสู้กันต่อไปนะครับ

ไม่มี ก็คงต้องมีสักวัน
ความฝันเป็นจริงต้องทนสู้ไป
ไม่นาน เราคงจะได้สมใจ
มุ่งมั่น ทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มา

เส้นชัย ไม่มาต้องไปหามัน
รางวัล มีไว้ให้คนตั้งใจ
ขวากหนาม ทิ่มแทงก็ผ่านพ้นไป
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย

ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา
โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

ที่มา รู้ดีไม่รู้ที่ไป คนเรามันเลือกเกิดเองไม่ได้
แต่เราเลือกได้จะเป็นเช่นไร
เลือกได้จะทำตามใจด้วยตัวของเรา
หลายคน เชื่อในเรื่องโชคชะตา
บางคนเชื่อมั่นในตัวเอง
ชีวิต เรากำหนดของเราเอง
จะแพ้ชนะไม่เกรงจะสักเท่าไร

ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา
โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

..............................................
หลายครั้งที่รู้สึกท้อ แต่ยังไม่ตายก็สู้มันต่อไป
ศรัทธาเข้าไว้ ใจสู้ โอกาสไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว
จงทำ จงทำ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ทำแล้วนี่
จะเป็นไรไป อย่างมากก็แพ้แค่วันนี้
ความสำเร็จ มันคงมาสักวันแหละน่า
ขอบคุณหลายคนที่ทำให้เจ็บ
เผื่อมันจะจำเก็บไว้เป็นองค์ความรู้
แต่ไม่ต้องกลัว.......ไม่ท้อครับผม........จะยืนหยัดไป

มวลวิกฤต

มวลวิกฤต
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ทำให้ผมนึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมา ผมเคยเขียนถึงไว้ครั้ง
หนึ่งเมื่อต้นปีที่แล้ว มวลวิกฤตนะครับ ไม่ใช่ มวลชนวิกฤต

เรื่องที่เขียนไว้เมื่อปีที่แล้วชื่อตอน ลิงกับข้าวโพดหวาน เป็นเรื่องเกี่ยว
กับการทดลองทางพฤติกรรมมวลชนของสัตว์สังคมว่า อะไรทำให้เกิด หรือเมื่อไรจะเกิด
กระแสการตัดสินใจไปในทางเดียวกันทั้งสังคม ผมตั้งชื่อเป็นไทยๆ คราวนั้นว่าทฤษฎี
ไม้กระดก เพราะนึกตามแล้วเห็นภาพเป็นไม้กระดกตามสนามเด็กเล่นทุกที
ศัพท์แสงทางวิชาการเรียกว่า มวลวิกฤต โดยแปลมาจากคำว่า Critical Mass คำคำนี้พบ
ได้ทั้งวิชาเศรษฐศาสตร์และฟิสิกส์ ขออนุญาตเล่าย่อๆ อีกครั้งสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน

สี่สิบปีก่อน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ไปที่เกาะโคชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเกาะที่มีลิงอาศัยอยู่จำนวนมาก
เพื่อหาข้อสนับสนุนทฤษฎีไม้กระดกที่ว่าการทดลองเริ่มขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์นำเม็ดข้าวโพดหวานไปหว่านไว้บนพื้นทราย เจอ
ของโปรดอย่างนี้ ฝูงลิงก็พากันมาเก็บเม็ดข้าวโพดกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจุดน่าสนใจอยู่ตรงที่นักวิทยาศาสตร์ จะหว่านเม็ดข้าวโพดไว้บริเวณที่มีทรายเท่านั้น เพื่อให้เม็ดข้าวโพดเปรอะเปื้อนทราย เวลาจะกินแต่ละที ลิงก็ต้องคอยเอามือ
ปัดออก หรือไม่ก็ต้องคอยบ้วนทรายออก แล้วก็มีลิงอยู่ตัวหนึ่งอายุประมาณหนึ่งขวบที่ไม่ทำอย่างตัวอื่นเขา
ทุกครั้งที่เจ้าลิงน้อยเก็บเม็ดข้าวโพดที่เปื้อนทรายได้ มันจะนำไปล้างน้ำที่ลำธารใกล้ๆ ก่อนแล้วจึงนำมากิน
ไม่ต้องบ้วนไม่ต้องปัด

นักวิทยาศาสตร์ยังคงจับตาดูพฤติกรรมของลิงทั้งฝูงต่อไปว่าจะมีลิงตัวไหนเอาอย่างบ้าง แล้วพวกเขาก็เริ่มเห็นพี่น้องและเพื่อนลิงตัวน้อยๆ บางตัวเริ่มทำตาม ที่ลิงทั้งฝูงไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำอย่างเจ้าลิงน้อยนั้นนักวิทยาศาสตร์
วิเคราะห์กันว่า อาจเป็นเพราะวิธีนี้มันก็ไม่ถึงกับเห็นได้ชัดว่าดีกว่าวิธีเก่า นั่นคือถึงแม้จะไม่ต้องบ้วนไม่ต้องปัดทรายออกจากข้าวโพด แต่ก็ต้องเสียเวลาเดินไปยังลำธารอยู่ดี

เวลาผ่านไปหลายเดือน
มีลิงเพิ่มเพียงวันละตัวสองตัวเท่านั้นที่เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างข้าวโพด แล้วก็ไม่ใช่ว่าลิงทั้งฝูงจะไม่เห็นวิธีที่เจ้าลิงน้อยกับเพื่อนๆ ทำนะครับ เห็นครับแต่ไม่ทำตาม

การทดลองดำเนินไปอย่างนี้อยู่เป็นปี นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเอาเม็ดข้าวโพดไปหว่านไว้บริเวณที่มีทรายทุกวันไม่มีขาด ฝูงลิงก็ยังคงมาเก็บข้าวโพดกินอย่างสม่ำเสมอ และถ้ามองด้วยสายตาก็สามารถแบ่งลิงออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ล้างเม็ด
ข้าวโพด กับกลุ่มที่ไม่ล้าง แม้ปริมาณลิงที่ล้างข้าวโพดจะเพิ่มจำนวนขึ้นจนเริ่มใกล้เคียงกับพวกที่ไม่ล้าง แต่ลิงที่เหลือก็ยังสมัครใจที่จะกินข้าวโพดด้วยวิธีเดิมๆ

แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจก็เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นภายในวันเดียว โดยไม่รู้จะอธิบายด้วยตรรกะง่ายๆ อย่างไรดี เช้าวันนั้นมีลิงวัยรุ่นตัวหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมไปล้างเม็ดข้าวโพดอย่างเจ้าลิงน้อยเข้า แล้วบ่ายวันนั้นลิงทั้งฝูงก็เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างเม็ดข้าวโพดกันหมด

นักวิทยาศาสตร์สงสัยทันทีว่าเจ้าลิงตัวที่เปลี่ยนพฤติกรรมในเช้านั้น มันมีความสำคัญขนาดไหนกัน หลังจากที่ดูจากบันทึกและตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่ามันก็เป็นแค่ลิงธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่ได้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นลิงที่แข็งแรงดุร้ายกว่าตัวอื่นอย่างใด แล้วทำไมฝูงลิงจึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมด
เจ้าของทฤษฎีนี้มีคำอธิบายครับ ลองฟังเขาดู เมื่อในสังคมเกิดภาวะมวลวิกฤต (Critical Mass) และเกิดจำนวนวิกฤต (Critical Number) ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าเป็นจำนวนเท่าไรของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสังคม สังคมก็จะเริ่มยอมรับในพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็จะเกิดการตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในกลุ่มที่เหลือทั้งหมด
อย่างที่บอก ถ้าให้ผมนึกตามง่ายๆ ผมก็คงนึกถึงไม้กระดกที่เด็กๆ เขาเล่นกัน เวลาที่ฝั่งหนึ่งมีจำนวนเด็กมากกว่าจนมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝั่ง ฝั่งที่น้อยกว่านอกจากจะกระดกลอยสูงแล้ว บางครั้งเราก็อาจจะเห็นเด็กฝั่งที่น้อยไหลมาสู่ฝั่งที่มาก จนกลายเป็นมาอยู่ฝั่งเดียวกันได้ ผมว่าพวกเราก็คงจะเคยเจอสภาพเช่นนี้ เพื่อนฝูงหกเจ็ดคนหาร้านอาหารจะไปกินกันแรกๆ ก็ถกเถียงว่าร้านเจ๊อ้อยบ้าง ร้านอาโกบ้าง เถียงกันอยู่สักพักแล้วก็มีคน
หนึ่งที่ไม่ได้คิดว่าจะไปกินร้านไหนเลยพูดขึ้นว่าไปกินเจ๊อ้อยดีกว่า จู่ๆ ทุกคนก็กลายเป็นเปลี่ยนมาเทใจให้กับร้านเจ๊อ้อยกันหมด
แล้วผมก็ตั้งคำถามครับ น้ำหนักสุดท้ายที่ย้ายข้างนี่ ผมชักอยากรู้ว่ามันจำเป็นต้องหนักกว่าอีกข้างหนึ่งไหม

ทฤษฎีนี้ตอบว่า ไม่เกี่ยวกับการเอียงข้าง น่าสนใจนะครับประโยคนี้ เขาเน้นไปที่จำนวนหนึ่งที่วิกฤต และไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นสัดส่วนเท่าไรของสมาชิกทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมากกว่าครึ่งด้วย จำนวนนี้นั่นแหละที่เขาเรียกกันว่า มวลวิกฤตมีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Critical Mass : how one thing leads another ที่เขียนโดย ฟิลิป บอล (ขออนุญาตแปลว่า มวลวิกฤต วิถีที่แห่งการกระดก) ในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้พี่ฟิลิปแกสามารถอธิบายพฤติกรรมของการเลือกตั้งที่ชนะถล่มทลายได้ว่ามาจากอะไร พี่แกให้ความเห็นว่าลักษณะของการเลือกและการตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้พรรคใดและใครนั้นไม่ได้มาจากเหตุผลอย่างเดียว เพราะถึงจุดหนึ่งเวลาที่ใกล้วันเลือกตั้ง คนจะหยุดคิด หยุดวิเคราะห์ แต่จะดูกระแสคนหมู่มากว่าจะไปทางไหน
แล้วก็กระโจนตามกันไป ซึ่งเขาจะเรียกว่า มวลวิกฤต หรือ Critical Mass ที่น่าสนุกก็คือคุณพี่ฟิลิป แกใช้ทฤษฎีควอนตัมอธิบายได้อย่างชัดเจนและเป็นวิทยาศาสตร์นักเรียนที่เรียนเรื่องปฏิกิริยานิวเคลียร์ก็คงเห็นคำว่า มวลวิกฤต อยู่บ่อยๆ อธิบายด้วยภาษาที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็คือ เชื้อเพลิงพวกยูเรเนียมจะถูกผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นอย่างมาก และจะถูกเก็บไว้ภายใต้สภาวะมวลใต้วิกฤต นั่นคือยังไม่วิกฤต แต่ใกล้มากและตรงตำแหน่งที่มันพร้อมจะแตกตัวแล้วส่งผ่านพลังงานอันมหาศาลออกมาเป็นระเบิดเป็นไฟฟ้า เป็นความร้อน ตำแหน่งนั้นแหละครับคือตำแหน่งเดียวกับที่ลิงทั้งฝูงเปลี่ยนวิธีกินข้าวโพดตรงนั้นแหละครับ ตำแหน่งของมวลวิกฤต

สมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็มีการใช้คำพูดกันว่า ได้เกิดมวลวิกฤตของการย้ายถิ่นของนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือนักวิจัยอัจฉริยะจำนวนมากมายนับพันคนพร้อมใจกันอพยพจากเยอรมนีและยุโรปไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ประเทศอินเดียก็เคยใช้กระบวนยุทธ์มวลวิกฤตเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้านไอทีในประเทศของตน ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาทำได้ผล เห็นผู้คนยากจนขนาดนั้น บางเมืองอย่างบังกาลอร์นี่ถือเป็นมหานครแห่งไอทีเลยนะครับ
รัฐบาลเขาเน้น การเชื่อมต่อ ระหว่างประชาชนกับอินเตอร์เน็ต โดยตั้งเป้าไว้ที่การเชื่อมต่อ 100 ล้านจุดภายในห้าปี และสำหรับคนที่ไม่มีปัญญาจะให้รัฐมาเชื่อมต่อที่บ้าน ก็สามารถที่จะเข้ามาเชื่อมต่ออย่างเป็นครั้งเป็นคราวได้ ตาม ไอทีจี
ฉ่อย หรือ IT Kiosks อินเดียเขาฝันจะพัฒนาประเทศให้เป็นมหาอำนาจทางไอทีของโลก (Global IT
Superpower) ภายในห้าปีข้างหน้าให้ได้ เงี่ยหูฟังเขาบ้างก็ดีนะครับ ผมมองว่าทั้งเรื่องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าบ้านและองค์กรให้มากที่สุด หรือการสร้าง IT Kiosks ก็ดี ล้วนเป็นยุทธศาสตร์ที่จะเข้าถึงผู้คนตามทฤษฎี มวลวิกฤต นั่นคือเมื่อคนชั้นกลางของประเทศบริโภคไอทีเป็นอาหารหลักจนเป็นกระแสแล้ว ผู้คนทั้งประเทศก็จะเทใจเทชีวิตมาทางเดียวกันเอง

อย่างที่บอกไว้ในบรรทัดแรก สถานการณ์บ้านเมืองเราเป็นjavascript:void(0)
เผยแพร่บทความอย่างทุกวันนี้ คำว่ามวลวิกฤตก็ลอยขึ้นมาในหัวผมไม่หยุดหย่อนเลย ไหนจะเป็นห่วงเป็นใยว่าจะทำอย่างไรให้วัยรุ่นในบ้านเราเกิด มวลวิกฤตหันมามีค่านิยมดีๆ กี่ยวกับเรื่องความรักความใคร่ให้ดีงามกว่านี้ ไหน จะวิเคราะห์วิจารณ์เอาเองไปเรื่อยว่าตอนนี้ในสนามของการเมืองบ้านเรา ไม้กระดก กำลังทำงานอยู่หรือเปล่า แล้วมันกระดกไปทางไหนแล้วหรือยัง ไหนจะเป็นห่วงว่าบ้านเมืองเราอยู่ในสภาพสุญญากาศอย่างนี้ เราจะไปสู้กับเกาหลี สู้กับอินเดียหรือสู้กับเพื่อนๆ เราแถวนี้ไหวหรือที่เป็นห่วงที่สุดก็คือ ยูเรเนียม มันกำลังเข้มข้น และอยู่ใต้สภาวะมวลใต้วิกฤต
อยู่หรือเปล่า แล้วมันจะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นหรือเปล่า ขอพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทย

อยู่ตรงนี้ Nursery Sound

ฉันผ่านชีวิตมาไกลแล้วหนา
ฉันเฝ้าตามหารักแท้จนเหนื่อยแล้วเอย
คิดว่าชาตินี้ฉันคงไม่เจอ....
จนได้พบเธอชีวิตก็มีความหมาย

* จากที่ชีวิตไม่เคยมีใคร แล้ววันนี้มีเธอห่วงใย
ไม่ขอจากไปไหน อยากให้เธอจงมั่นใจ
ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนตาย อยู่ตรงนี้เป็นที่สุดท้าย......

** มีคนให้เรารักก็เป็นสุขแล้ว
ยิ่งคนที่เรารักเขารักเรานั้นสุขยิ่งกว่า
จะรักเธอเรี่อยไป
วันหน้าเป็นเช่นไรจะไม่เสียดายไม่เสียใจ
(ที่รักเธอ)

ต่างบ้านต่างเดินมาคนละทิศ
ไม่คาดไม่คิดจะพบคนดีเหลือเกิน
ได้ร่วมชีวิตได้ร่วมทางเดิน
เป็นความบังเอิญหรือว่าฟ้ากำหนดเอาไว้

(*,**,**)

จะรักเธอเรื่อยไป
จะรักเธอจนตายไม่ว่าชาตินี้หรือชาติใด
จะรักเธอ....

...............................

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

แก่ลงอยู่ทุกวัน

แก่ลงอยู่ทุกวัน ชีวิตมีแค่นี้...
ต่างคนทุกข์ทน เพราะความต้องการ
อยู่ไปอยู่ทุกวัน ชีวิตตอนนี้...

ห่างบนเส้นทางที่วาดอดีต
ฉันอยากบอกรัก ถึงครอบครัวที่มี
แม้บางทีเรานั้นจะแสนห่าง
ถึงเพื่อนๆและคนรอบข้าง
ที่อยู่กันมาจนทุกวันนี้

หากมีสิ่งเดียว ที่ทำให้โลกหมุนต่อไป
ระวังเพราะมันอาจทำร้ายเราตอนสุดท้าย
แต่พอผ่านไป ไม่เคยมีใครที่จะรู้
ทำไมเวลา ไม่เคยรู้ทางจะกลับมา
มันมีบางสิ่งที่ดูหายไปในวันนี้
โลกที่เราอยู่ มันดูแคบลง ในวันนี้...
ยังมีบางสิ่ง ที่อาจน้อยไปในวันนี้...

ขาดคนที่รักจริง...
ขาดคนที่ใช้หัวใจ...
ขาดคนที่มีน้ำใจ...
ขาดคนที่พูดจริง...
ขาดคนที่เข้าใจ...
ขาดเธอเหมือนทุกสิ่ง...
ไม่มีความหมายใดๆ...
ไม่มีความหมายต่อไป...

Get this widget | Track details | eSnips Social DNA

ค น ใ จ ร้ อ น

ค น ใ จ ร้ อ น
คุ ย กั บ ป ร ะ ภ า ส . . .หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๕


สวัสดีค่ะคุณประภาส

แฟนดิฉันเป็นคนใจร้อนมาก เราสองคนมีปากเสียงกัน จากความใจร้อนของเขาเป็นประจำ ก่อนแต่งงานก็คิดว่าแต่งไปแล้ว น่าจะปรับเข้าหากันได้ แต่กลับเป็นว่าพอทำอะไรไม่ทันใจเขาทีไร
เขาก็พูดประชดให้เสียใจอยู่เรื่อยว่า เขาน่าจะแต่งกับผู้หญิงที่ใจร้อนเหมือนเขา เคยมานั่งคิดดูเหมือนกันว่าคำพูดของเขาถูกมั้ย คนใจร้อนต้องคู่คนใจร้อน คนใจเย็นต้องคู่กับคนใจเย็น จะได้ไม่ทะเลาะกัน คุณประภาสคิดว่าไงคะ

แม่บ้านชาดำเย็น

ไม่ว่าจะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน ผมก็นิยมคนใจเย็น มากกว่าคนใจร้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องในบ้าน
ชีวิตผู้คนในเมืองทุกวันนี้ ต้องเรียกได้ว่าแทบจะติดจรวดติดอยู่กับก้นแทบทุกคน ธุรกิจที่ต้องแข่งขันกันเป็นวินาทีทำให้มนุษย์เมืองหลวงไขลานชีวิตจนตึง และเมื่อกลับบ้าน หลายคนก็ยังไม่ยอมปล่อยปล่อยให้ลานมันหมุนช้า ๆ บ้างเลย
อ่านจากจดหมายแล้วผมคงแนะวิธีแก้ปัญหาตรง ๆ กับคุณแม่บ้านชาดำเย็นไม่ได้ คนใจร้อนนี่เราไปว่ากล่าวตักเตือนตรง ๆ ผมว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เอานะครับ คุณแม่บ้านชาดำเย็นก็คงนึกออก ความใจร้อนของเขาจะทำให้เขาปะทะคารม กลับมาทันที
อันที่จริงตัวผมเองนั้นก็เคยถูกจับเข้าข่ายคนใจร้อนอยู่เหมือนกัน ยิ่งตอนหนุ่ม ๆ นี่วิวาทกับคนเพราะเรื่องงานมาก็เยอะ ยาขนานเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้หัวจิตหัวใจผมควันฉุยน้อยลงก็คือ ธรรมชาติ
อยู่ใกล้ ๆ ธรรมชาติมาก ๆ นี่ใจร้อนไม่ออกหรอกครับ ปัญญามันอยู่ในนั้นเต็มไปหมด เมล็ดถั่วนี่ใครไปเร่งให้มันงอกรากได้หรือ ถุงเท้าที่ตากแดดไว้มันก็ต้องใช้เวลาให้น้ำในผ้ามันระเหยจนแห้ง
ดอกบัวมันก็ต้องค่อย ๆ ชูดอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ ก่อน แล้วถึงค่อยบานในวันหลัง

แก่นแท้ของคนใจร้อนคืออะไร
ความไม่ปล่อยวางนั่นแหละครับ คือมูลก้อนใหญ่ที่แมลงชื่อใจร้อนชอบมาตอม
คนที่ใจร้อนเขาแสดงอาการใจร้อนจากเรื่องใดบ้าง คุณแม่บ้านชาดำเย็นก็คงคุ้นเคย กลัวไม่ทันเวลา กลัวเสียโอกาส กลัวคนอื่นเขาว่า กลัวเสียเงินเยอะ กลัวอดดู กลัวอดกิน กลัวเสียหน้า คนใจร้อนนี่ขี้กลัวชะมัด
ยึดติดยิ่งกว่าตังเมติดเหงือกอีก
ในที่ทำงาน การวิ่งแข่งธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น หนึ่งวินาทีที่ช้าไป อาจทำให้สูญเงินหลายล้านบาท ทำธุรกิจแล้วไม่ยึดติดเรื่องกำไรก็คงเป็นเรื่องประหลาดไปหน่อย ความรวดเร็วทันใจในการทำงาน
จึงยังคงเป็นเรื่องสำคัญของการค้าสมัยใหม่
แต่เมื่อเอนลงที่เก้าอี้ที่บ้าน เราจะไปเร่งหัวใจให้มันเต้นเร็วทำไม
แต่เชื่อผมอย่างหนึ่งเถิด นักธุรกิจที่หมุนเงินหลายร้อยล้านบาท
ภายในสองสามนาทีนี่ไม่ใช่คนใจร้อนเลยครับ บางคนใจเย็นมากจนไม่น่าเชื่อ
ดูจากบุคลิกแล้วหลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นคนเฉื่อยชาด้วยซ้ำ
ผมว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดมากกว่าใจเร็ว
ก็เหมือนคนขับรถเร็วนั่นแหละครับ เวลาเราเรียกขานว่าคนไหนขับรถเร็ว
เราหมายถึงเขาขับรถแบบไหน
แบบแรก พวกนี้ขับเร็วในทุกที่แม้แต่ในซอยเล็ก ๆ เห็นแล้วน่ารำคาญ
แบบที่สอง พวกนี้เวลาอยู่ตามถนนเล็ก ๆ สายสั้น ๆ ก็ใช้ความเร็วปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างออกไปทางช้าเสียด้วย แต่เมื่ออยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ พวกนี้จะค่อย ๆ เร่งจนเร็วมาก และเร็วจนพวกแบบแรกเหยียบตามไม่ทัน ผมไม่เรียกพวกแบบแรกว่าเป็นพวก ขับรถเร็ว ผมว่า เขาขับรถเร่ง มากกว่า พวกนี้แหละครับพวกเดียวกับ "คนใจร้อน"
อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย ฟังผมเล่านิทานเกี่ยวกับคนใจร้อนสักสองแบบดีกว่า ไหน ๆ ก็แก้ปัญหาให้คุณแม่บ้านชาดำเย็นตรง ๆ ไม่ได้แล้ว
เรื่องแรกชื่อเรื่องเหยียบน้ำลาย
สมัยที่กรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่าพระนคร คนที่เป็นนักเลงโตจะมีลูกสมุน เดินตามเป็นทิวแถวนักเลงสมัยนั้นมักคาบบุหรี่ไว้ในปากตลอดเวลา บุหรี่โบราณนี่ไม่มีก้นกรองเหมือนทุกวันนี้นครับ คนสูบนี่ต้องคอยถุยยาเส้นที่หลุดเข้าไปในปากออกมาบ่อย ๆ บางขั้นถึงขั้นต้องถุยน้ำลาย
และทุกครั้งที่ถุยน้ำลาย นักเลงทั้งหลายก็จะเอาเท้าเหยียบขยี้น้ำลายให้ไม่เห็นรอย
ท่าทางการเหยียบน้ำลายนั้นก็ล้วนเป็นท่าที่ถูกออกแบบมาแล้วว่ากวนประสาทที่สุด และยิ่งนักเลงคนไหนมีลูกน้องเยอะ เหล่าบรรดาลูกน้องที่เห็นลูกพี่ถุยน้ำลายเมื่อไร
ก็จะเข้าไปเหยียบน้ำลายให้ทันที นับเป็นการประจบสอพลอที่ประหลาดเอาการอยู่
พูดง่าย ๆ ว่าใครได้เหยียบน้ำลายลูกพี่บ่อยกว่าคนอื่น ก็ถือว่าเป็นลูกน้องคนสนิท
นายตุ๋ย เป็นนักเลงใหม่ เพิ่งเข้ามาเป็นสมุนของพี่โตได้ไม่ถึงเดือน เดินตามพี่โตมาก็หลายวันแล้วยังไม่มีโอกาสได้เหยียบน้ำลายพี่โตสักที อาจเป็นเพราะต้องเดินรั้งท้ายแทบทุกครั้ง
ยิ่งได้เห็นลูกน้องคนอื่น ๆ เขาเหยียบน้ำลายพี่โตแล้วเอามาคุยทับกันว่าวันนี้ใครได้เหยียบมากกว่า นายตุ๋ยก็ยิ่งคับแค้นใจว่าตัวเองอุตส่าห์มาพินอบพิเทาสมัครเป็นลูกสมุนพี่โตก็ร่วมเดือนแล้ว อย่าว่าแต่ได้เหยียบน้ำลายพี่โตเลย แม้แต่ชื่อนายตุ๋ย พี่โตก็คงไม่รู้จัก
ถึงลูกสมุนรุ่นพี่จะเคยเล่าว่าต้องมาอยู่เป็นปี ๆ ถึงจะได้เหยียบน้ำลาย นายตุ๋ยก็รู้สึกว่ามันช้าไป
มาวันหนึ่งบ้านพี่โตมีงานเลี้ยง นักเลงตามซุ้มต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนพี่โตก็มานั่งกินเลี้ยงกัน ลูกน้องส่วนใหญ่ถูกกะเกณฑ์ให้ไปช่วยกันยกเก้าอี้ยกอาหาร นายตุ๋ยเองก็ถูกมอบหมายให้คอยยกจานอาหารที่หมดแล้วออกจากโต๊ะทุกโต๊ะ หรือไม่ก็คอยเติมน้ำแข็งในกระติกที่ใกล้หมด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกกับงานเลี้ยง เสียงโครมครามก็ดังขึ้นที่โต๊ะของพี่โต
ลูกสมุนของพี่โตกรูกันไปที่โต๊ะทันที ใครที่คว้ามีดคว้าไม้ได้ก็คว้าติดไปด้วย
ที่โต๊ะของพี่โตที่เอียงกะเท่เร่อยู่นั้น พี่โตนักเลงใหญ่กำลังยืนเหยียบอกชายคนหนึ่งอยู่ ลูกน้องที่วิ่งเข้าไปถึงก่อนต่างก็เข้าตะลุมบอนชายคนนั้นจนเลือดกลบปาก
"ไอ้ตุ๋ยนี่หว่า" ลูกสมุนคนหนึ่งจำได้ แม้หน้านายตุ๋ยจะบวมปูด
"มึงเป็นใครวะ" พี่โตดึงคอเสื้อนายตุ่ยขึ้นมา
"ลูกน้องใหม่เรา...พี่โต" สมุนคนเดิมบอก
"แล้วมึงกล้าดีอย่างไรเอาตีนมาถีบปากกู" พี่โตเอามือลูบปาก
"ผมเปล่าถีบ"
"มึงถีบกูแล้วมึงยังมีหน้ามาเถียง" พี่โตเงื้อกำปั้น
นายตุ๋ยยกมือขึ้นป้อง "ก็...ผมเห็นพี่โตสูบบุหรี่แล้วทำปากเหมือนจะถุยน้ำลาย
ผมกลัวว่าถ้าพี่โตถุยออกมาแล้วคนอื่นจะมาเหยียบก่อนแล้วผมก็อดเหยียบอีก
ผมเลยรีบเหยียบเสียที่ปากพี่ แหม..ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้เหยียบน้ำลายพี่แล้ว"
หลังจากนั้นนายตุ๋ยก็คงน่วมไปอีกระลอกใหญ่จากความใจร้อนที่ค่อนข้างซื่อไปสักหน่อย

เรื่องที่สองนี้ถึงแม้จะมีตัวละครหลายตัวแต่ก็เป็นเรื่องไม่ยาวนัก เพราะตัวละครแต่ละตัวไม่มีใครใจเย็นเลย คุณแม่บ้านชาดำเย็น จะถือเอานิทานเรื่องนี้เป็นความเห็นของผมที่ถามมาว่าผมคิดอย่างไร กับแนวความคิดที่ว่าคนใจร้อนน่าจะคู่กับคนใจร้อนไหม? ผมก็ไม่ขัดข้องครับ
เรื่องที่สองชื่อเรื่องหมู่บ้านคนใจร้อน
ชายใจร้อนคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวกลางตลาด ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะและยังไม่ได้สั่งอะไรเลย เขาก็พูดขึ้นว่า "บะหมี่น้ำทำไมยังไม่ได้" พูดจบก็ตบโต๊ะดังปัง แสดงอาการไม่พอใจ
เจ้าของร้านได้ยินดังนั้นก็ยกบะหมี่น้ำร้อนจนควันฉุยมาชามหนึ่งวางบนโต๊ะ เขาวางชามแรงจนน้ำร้อนกระเซ็นมาโดนชายใจร้อนคนนั้น วางเสร็จก็พูดขึ้นทันทีว่า "กินตั้งนานแล้วยังไม่เสร็จอีก เร็ว ๆ หน่อยจะปิดร้านแล้ว" ว่าแล้วเจ้าของร้านก็เดินมาปิดประตูร้านทันที
ชายใจร้อนหยิบเงินขึ้นมาจ่ายแล้วก็รีบกลับบ้าน ทันทีที่ถึงบ้าน ชายใจร้อนบ่นด้วยความโมโหตลอดเวลาถึงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว ระหว่างที่บ่นอยู่ก็ตะโกนเรียกภรรยาตัวเองให้ตักข้าวมาให้กิน
ภรรยาเดินออกมาจากในครัว "ยังไม่ได้หุงเลย"
"ทำไมไม่หุงเตรียมไว้" ชายใจร้อนตะคอกใส่ภรรยา
"นี่เพิ่งจะบ่าย ใครเขาหุงข้าวกันตอนนี้" ภรรยาตอบ
"น่าจะหุงไว้ตั้งแต่เมื่อวาน โอย..หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ถ้าฉันไม่ได้กินข้าวเดี๋ยวนี้ฉันต้องตายแน่ ๆ " ชายใจร้อนโวยวาย
"ฉันจะแต่งงานใหม่" ภรรยาตอกกลับ
"ทำไมเล่า" ชายใจร้อนตกใจ
"แกบอกว่าแกจะตายแล้วนี่ เรื่องอะไรฉันจะอยู่เป็นม่ายตัวคนเดียว" พูดจบหล่อนก็เก็บข้าวของออกจากบ้านทันที
แล้วในเย็นวันนั้นเองภรรยาของชายใจร้อนก็แต่งงานใหม่ กับคนที่เดินสวนกันที่ตลาด
รุ่งเช้าสามีใหม่เดินเข้ามาพูดกับหล่อนเพื่อขอหย่า หล่อนแปลกใจมาก
จึงถามเขาว่าหล่อนทำผิดอะไรหรือ สามีใหม่ตอบด้วยความโมโหว่า
"ก็เธอเป็นหมันไง ป่านนี้เรายังไม่มีลูกกันเลย"