วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

จดหมายจากคนล่าฝัน

จดหมายจากคนล่าฝัน

อาทิตย์ก่อนเขียนเรื่อง อย่าละเลยในความฝันไป มีเสียงสะท้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับมามากมายจนน่าแปลกใจ เหมือนกับว่าโลกยุคข่าวสารฉับไวนี้มีคนหนุ่มสาวอีกมากที่ยังวิ่งไล่ความฝัน กันอย่างขมักเขม้น
หลายคนอาจจะเหนื่อย ความท้อแท้อาจแวะเวียนเข้ามานั่งในเรือนใจจนอยากยอมแพ้ และอีกหลายคนยังสองจิตสองใจที่จะตัดสินเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างรุนแรงก็อย่าง ที่บอกนั่นแหละครับ เงื่อนไขแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเรื่องค่าครองชีพ สังคมรอบตัว ความอดทนหรือแม้แต่พรสวรรค์ ไม่มีใครตอบปัญหานี้ได้เด็ดขาดว่าอย่างไหนดีกว่าอย่างไหน
อยากให้ลองอ่านกันดูครับ บางทีจดหมายบางฉบับของเพื่อนๆเหล่านี้อาจให้แง่คิดให้เราตัดสินใจว่าจะรุก ต่อหรือว่าตั้งรับกับสงครามตามล่าฝันครั้งนี้ดี

สวัสดีค่ะพี่ประภาส
เพิ่งอ่านคอลัมน์คุยกับประภาสจบน่ะค่ะ เลยคันไม้คันมืออยากเขียนมาคุยบ้าง เห็นด้วยจังเลยค่ะที่ว่าเราควรรักในงานที่เราทำ เคยอ่านจากที่ไหนก็ไม่รู้ค่ะว่าเคล็ดลับในการที่จะมีความสุขในชีวิตไม่ได้ อยู่ที่การทำในสิ่งที่รัก แต่อยู่ที่การรักในสิ่งที่ได้ทำ ตอนแรกคิดว่าฟังดูไม่ค่อยเข้าท่านะคะที่จะบอกให้คนปลงตก ฟังดูห่อเหี่ยวชะมัด แต่ลองคิดดูสิคะมันเป็นความจริงที่สุดเลย จะมีใครบ้างคะที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักตลอด มีแต่คงน้อยมาก พวกเค้าโชคดีจริงๆค่ะ แต่คนส่วนใหญ่อย่างพวกเราจะไปนั่งจ๋อยทำไมล่ะคะ เราก็รักในสิ่งที่เรา(จำเป็น)ต้องทำไปก่อน แล้วก็ทำมันให้ดีที่สุด งานจะได้ออกมาดี อีกอย่างก็จะได้หาเลี้ยงตัวเองให้รอดได้ด้วย ส่วนเรื่องที่เรารักอยากจะทำจริงๆเราก็ค่อยๆมองหาลู่ทางกันต่อไปไม่ได้ทิ้ง ซักกะหน่อย ถ้าเป็นเรื่องที่เราอยากทำจริงๆมันต้องไม่หายไปจากความตั้งใจเราหรอกค่ะ คิดง่ายๆสิคะว่าคนไม่มีตังค์อยากไปทัวร์ยุโรปก็อาจจะได้ไปก็ได้สักครั้งใน ชีวิต ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าไม่ใช่จะได้ไปวันนี้พรุ่งนี้หรือแม้แต่ปีนี้ก็เท่านั้นเอง
คือว่าตอนนี้บังเอิญได้ทำงานที่ไม่ค่อยจะได้ตั้งใจไว้เท่าไหร่น่ะค่ะ งานอะไรก็ไม่รู้หนักสุดๆ วันๆมีเวลาเป็นของตัวเองแค่ ๗-๘ ชั่วโมงเท่านั้น ยิ่งช่วงนี้ทำอาทิตย์ละ ๖ วันเป็นอย่างต่ำด้วยแน่ะ แต่ไม่มีทางเลือกเลยก้มหน้าก้มตาทำไปให้เต็มที่
ปรากฎว่าได้เรื่องค่ะ ผลงานน่าภูมิใจดีเหมือนกัน เลยรู้สึกชอบขึ้นมาเล็กๆแล้วค่ะ
ปั๊น
พี่ประภาสครับ
ขอบคุณมากสำหรับคอลัมน์คุยกับประภาส อาทิตย์นี้ สิ่งที่พี่เขียน เป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่และทำอยู่เสมอ ผมบอกกับตังเองว่า ...เราอาจทำเพื่อความฝันของคนอื่น ...แต่เราจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความฝันของเราเอง ผม รักงานที่ผมทำอยู่ตอนนี้ ดีใจที่เวลาคุยกับคนไข้แล้วเขาบอกว่าน้ำตาลเขาลดลง หลังสี่โมง ผมจะนั่งตัดกระดาษ ทำหนังสือทำมือ เอมใจกับความรู้สึกแบบนั้น เจ้าชายน้อย

ถึงคุณประภาส
ฉันเคยเป็นครูมาก่อน แต่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน เลยลาออกมา ทั้งที่ใคร ๆ หลายคนบอกฉันว่า ให้อยู่เพื่อเด็ก ๆ เพราะฉันเป็นครูที่ดี มาวันนี้ ความฝันฉันก็ยังไปไม่ถึงไหน รวมระยะเวลาที่เรียนจบและตกงานอีก ๓ ปี ฉันยังคงลังเลอยู่ไม่เคยเปลี่ยน อาจเพราะไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง มาถึงตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะ
พับดาว

สวัสดีครับพี่ประภาส
ผมเป็นแฟนหนังสือและเพลงของพี่มานานแล้ว อ่านเรื่อง “อย่าละเลยในความฝัน” ในมติชนแล้วอยากเขียนมาเล่าเรื่องตัวเองให้พี่ฟัง ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ลาออกจากงานมาทำอย่างที่ตัวเองฝัน สามปีก่อนผมทำงานเป็นฝ่ายศิลป์อยู่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง จะว่าไปผมก็ได้ทำงานอย่างที่ตัวเองฝันเหมือนกัน (ตอนเด็กๆผมตั้งใจไว้ว่าจะทำงานด้านศิลปะเลี้ยงชีพเท่านั้น ผมชอบเล่นดนตรีกับวาดรูป) ผมทำงานที่บริษัทนั้นยังไม่ถึงปีเลยก็รู้สึกอึดอัด คือถึงแม้จะได้ทำงานศิลปะก็จริงแต่งานมันต้องหนักมาก ทำแล้วแก้ แก้แล้วทำ เหมือนทำงานที่ไม่รู้จุดจบ แก้ไขตามอารมณ์ของลูกค้าบ้าง หัวหน้าเราบ้าง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไอ้เหนื่อยน่ะไม่เท่ากับเขาไม่เห็นคุณค่าเรา พองานสำเร็จดีเขาก็ไปเลี้ยงฉลองกัน ไม่เห็นบอกว่าเรามีส่วนร่วมอยู่ด้วยเลย ผมก็เลยเริ่มฝันที่จะทำงานศิลปะที่ผมเป็นเจ้าของกิจการเอง(ตอนนั้นรู้สึกคิด การณ์ใหญ่น่าดู) แล้วผมก็ลาออกเลย คิดว่าถ้าไม่ออกก็คงไม่ได้เริ่ม ผมมาเปิดร้านทำกรอบรูปหุ้นกับเพื่อนเก่า ทำกรอบรูปแบบมีดีไซน์ ทำอยู่ ๗ เดือนเจ๊งไม่เป็นท่า แถมยังมองหน้ากับเพื่อนแทบไม่ได้อีก ตอนนั้นสมน้ำหน้าตัวเองมาก แล้วก็เลยกลับมาทำงานที่บริษัทเก่า(แต่คราวนี้เขาไม่ให้ทำประจำแล้ว ให้ทำเป็นฟรีแล้นท์)
เมื่อเดือนธันวาปีที่แล้วแฟนผมชวนไปดูคอนเสริต์เฉลียง ทีแรกก็เฉยๆถึงจะชอบเฉลียงมากก่อนก็ตาม รู้สึกมันเลยวัยที่จะไปดูคอนเสิร์ตแล้ว แต่ก็อยากตามใจแฟนเลยได้เข้าไปดู แฟนผมเขาร้องไห้ตอนจบของคอนเสิร์ต แต่เขาไม่รู้ว่าผมน่ะแอบน้ำตาไหลตอนกลางๆ
เพราะเพลงย้ำคิดย้ำฝันของพี่นั่นแหละ ผมว่าพี่แต่งเพลงนี้ให้ผมแน่ๆ ผม กลับไปยืมเงินแม่มาเปิดร้านกรอบรูปของตัวเองใหม่ ทีนี้ผมเริ่มอย่างคนตัวเล็กๆแล้ว ไม่ทำหน้าใหญ่เอาทำเลที่ดีจนสู้ไม่ไหวอีก ๒-๓ เดือนที่ผ่านมาผมเริ่มอยู่ได้ มีกำไรบ้าง ใครว่าร้านผมอยู่ในซอยลึกผมก็จะไปรับงานถึงที่ ผมว่าฝันของผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
อยากขอบคุณพี่และเพลงของเฉลียง และฝากบอกไปถึงคุณเคนด้วยว่า ไหนๆก็หิ้วกระเป๋าออกมาแล้วอย่าไปยอมแพ้มัน
พรเทพ

พี่ประภาสครับ
มีบางสิ่งที่คนเราต้องทำเพื่อการดำรงชีวิต และบางสิ่งทำเพื่อความสุขในชีวิต ผมก็พอแต่งเพลงได้นิดหน่อย เพราะหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่ามีความสุขที่ได้ทำ ไม่ต้องให้คนทั้งประเทศมาฟังก็ได้ แค่มีคนกลุ่มเล็กๆที่คุ้นเคยได้ฟังก็พอ ผมเขียนหนังสือได้ แต่ก็คงไม่ดีขนาดจะรวมเล่มตีพิมพ์ขาย แต่ผมก็ยังคงเขียน ถ้าอยากเขียน ก็ผมมีความสุขนี่ครับ และให้เพื่อนๆได้อ่านก็พอแล้ว เพราะบังเอิญผมไม่ได้ฝันที่จะเป็น นักเขียนหรือนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ผมแค่ฝันว่าจะมีเพลงที่แต่งเองร้องเอง ฝันว่าจะมีหนังสือที่ตัวเองเขียน ไว้ให้ตัวเองภูมิใจ
ผมคิดว่าบางทีคนเราก็ไม่มีความชัดเจนในเรื่องที่ใฝ่ฝัน บางคนคิดว่าตัวเองฝันอยากเป็นนักแต่งเพลง โดยที่ความจริงแล้วเขาฝันอยากมีชื่อเสียงจากการเป็นนักแต่งเพลงต่างหาก บางคนคิดว่าตัวเองฝันอยากเป็นนักเขียน โดยที่ความจริงแล้วเขาฝันอยากเป็นคนที่ได้รับการยอมรับ จากการเป็นนักเขียนต่างหาก
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะยังไม่มีทางมีความสุขกับ การแต่งเพลงหรือการเขียนหนังสือที่สามารถทำได้ทุกครั้งที่มีโอกาส จนกว่าเขาจะมีชื่อเสียงจากการเผยแพร่บทเพลงให้เป็นที่รู้จัก หรือเผยแพร่งานเขียนให้เป็นที่ยอมรับ
กระแสลม

ถึงคุณประภาส
เคยแอบฝันแบบนี้เหมือนกัน แต่หลังจากวันนั้นที่ผ่านอนุสาวรีย์ชัยฯ รู้สึกอายขอทาน ที่เขาทำความฝันแบบเดียวกันนี้ได้ดีกว่าเรา(ไม่ได้ฝันว่างเปล่า)เขายังเอาดี จนมีรายได้กลายเป็นอาชีพได้ แต่ก็ยังรักที่จะฝัน เหมือนเรารักพระจันทร์คืนวันเพ็ญที่เพียงแค่ได้เห็นและแค่ได้รัก

อะตอม


มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ผมฟังมาตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว

ชายคนหนึ่งประกาศจะว่ายฟรีสไตล์ข้ามช่องแคบโฟร์ตี้ฮันเดรดซึ่งมีความกว้าง สี่พันหลาดังชื่อ มีผู้คนมาเฝ้าดูเขามากมายรวมทั้งสื่อมวลชนที่มาทำข่าว เขาเริ่มออกว่ายท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนดูทั้งสองฝั่ง เหลืออีกเพียงร้อยกว่าหลาก็จะถึงอีกฝั่งหนึ่ง จู่ๆเขาก็เอี้ยวตัวว่ายกลับมาที่ฝั่งเดิม ทันทีที่ถึงฝั่งนักข่าวรีบเข้าไปสัมภาษณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกหลังจากหายเหนื่อยหอบว่าความจริงตลอดเดือนมานี้เขาซ้อมมาอย่างดีแล้ว แต่วันนี้คนดูเยอะไปหน่อยทำให้เขาตื่นเต้นมากไป ว่ายไปจนเหลืออีกร้อยกว่าหลาก็จะถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว เกิดเหนื่อยขึ้นมากระทันหันเลยตัดสินใจว่ายกลับ เดือนหน้าเขาจะลองใหม่
ฟังแล้วจะหัวเราะขันหรือจะฉุกคิดก็ตามสะดวกครับ

ใครที่ว่ายจนเหลือร้อยกว่าหลา ว่ายต่อไปเถิดครับผมจะช่วยร้องเชียร์ แต่ใครที่ยังไม่กระโดดลงมา เอามือป้องหน้าผากแล้วมองฝั่งโน้นให้ดีๆ และก็อย่าลืมถามใจกับถามมือตัวเองดู ว่าใจเราเติบไปไหม มือเรานิ่มไปหรือเปล่า

ไม่มีความคิดเห็น: