มุมมองของชีวิต
ถึงพี่ประภาส พี่ประภาสคงเคยได้ยินเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ร้องว่า “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด” แบบนี้ก็แสดงว่าให้เรายอมแพ้และยอมรับความพ่ายแพ้นั้นซะ อย่าไปต่อสู้เพื่อฝัน ใช่มั้ยครับ ตกลงเราควรจะฝันให้ไกลไปให้ถึง หรือ เรียนรู้และยอมรับมัน กันแน่ ตุลย์
“ปัญหา”เป็นของคู่กับ “ชีวิต”
เหมือนกับว่ามันได้ถูกผูกติดมาด้วยกันตั้งแต่แรกเกิด
เมื่อมองปัญหาชีวิต ผมมองแยกออกเป็นสองประเภท นั่นคือประเภทที่อยู่ในมือเราและประเภทที่อยู่ในมือคนอื่น
ประเภทแรกก่อนนะครับ อะไรก็ตามที่อยู่ในมือเรา ก็ย่อมหมายความว่าเราสามารถควบคุมมันได้ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควบคุมมันไหม หรือควบคุมมันไหวไหม ผมยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ความเกียจคร้านซึ่งผมถือว่าเป็นตัวการใหญที่ทำให้ชีวิตเกิดปัญหาอยู่ตลอด เวลา ถ้าเรามองว่าความเกียจคร้านเป็นปัญหา ทางแก้นั้นก็คงตอบง่ายๆว่าก็แก้ด้วยความเพียร ความเพียรนั้นเป็นของที่อยู่ในมือเรา เป็นอาวุธประจำตัวมนุษย์เลยทีเดียวครับ บทความหลายๆตอนที่ผมเขียนถึงความเพียรของโทมัส เอดิสันหรือบรรณาธิการที่เป็นอัมพาตทั้งตัวเขียนหนังสือจบเล่มด้วยการกระ พริบเปลือกตาข้างเดียว ก็เพื่อจะสื่อให้รู้ว่าความเพียรของมนุษย์นั้นแทบจะไม่มีขีดจำกัดเลยด้วยซ้ำ ส่วนปัญหาอีกประเภทหนึ่งที่ผมบอกว่าอยู่ในมือคนอื่นนั้นผมให้ความหมายกว้างไกลนับตั้งแต่มือของคนอื่นทั่วๆไปจนถึงมือของพระเจ้า นายสมชายอยากได้มอเตอร์ไซด์มาขี่สักคัน ลองมองปัญหานี้กันดูครับ ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่านายสมชายเป็นคนมีเงินมีทองคนหนึ่ง ปัญหานี้แก้ง่ายมาก เมื่ออยากได้ก็ไปซื้อมาขี่แล้ว ถ้าผมเปลี่ยนข้อมูลใหม่เป็นนายสมชายไม่มีสตางค์ละ นายสมชายจะแก้ปัญหานี้ต่อไปอย่างไร เงื่อนไขเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังถือว่าควบคุมได้ โดยการพยายามขยันทำมาหากินให้ได้เงินทองมา หรือแม้แต่การไปหยิบยืมคนอื่นมา แล้วค่อยหาใช้คืน ยังถือว่าเป็นการไขปัญหาที่อยู่ในมือของตัวเองอยู่นะครับ ลองดูตัวอย่างที่สอง พ่อนายสมชายเสียชีวิต นายสมชายจึงขาดความอบอุ่น ขาดที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจ
การ เสียชีวิตของพ่อ เป็นสิ่งที่นายสมชายไม่อาจควบคุมได้ ชีวิตมนุษย์ย่อมต้องตายทุกคน ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้ ถึงจะต่อสู้หรือเพียรพยายามเท่าใด ชีวิตของพ่อก็ไม่มีวันหวนคืนกลับมา ปัญหาแบบนี้ละครับที่มันไม่ได้อยู่ในมือเรา คนบนโน้นจะเมตตาเราหรือส่งบทเรียนมาให้เรา ก็แล้วแต่มือของท่าน ตัวอย่างที่สามครับ
นายสมชายหลงรักนางสาวสมศรี และอยากได้นางสาวสมศรีมาเป็นคู่ครอง
ปัญหา ซับซ้อนแบบนี้แหละที่ผู้คนในสังคมประสบพบเจออยู่ตลอดเวลา มันเป็นปัญหาที่จัดอยู่ในประเภทลูกครึ่ง นั่นคือบางส่วนควบคุมได้และบางส่วนควบคุมไม่ได้ ลองแยกดูสิครับ
นาย สมชายสามารถทำตัวดีๆให้นางสาวสมศรีสนใจรักใคร่ได้ นายสมชายสามารถเอาอกเอาใจนางสาวสมศรีให้เธอรู้สึกพึงใจได้ วิธีการเหล่านี้ล้วนอยู่ในมือของนายสมชาย นายสมชายควบคุมได้ ส่วนจิตใจของนางสาวสมศรีจะรู้สึกปฎิพัทธิ์นายสมชายหรือไม่เป็นเรื่องของนาง สาวสมศรี นายสมชายไม่สามารถควบคุมได้ ผมชอบการแยกประเด็นแบบนี้ แล้วผมก็ใช้มันบ่อยๆเวลามีความวิตก ใครที่กำลังทุกข์ใจกับการเตรียมตัวสอบที่จะเรียนต่อที่โรงเรียนหรือเข้าทำงาน ที่ตัวเองอยากเข้า ลองเอาเรื่องของนายสมชายนี้ไปซ้อนทับเพื่อเทียบดู ความเพียรของตัวเองที่จะเตรียมตัวสอบนั้นเราควบคุมมันได้ แต่ความเพียรของคู่แข่งนี่ ต้องยอมรับว่าเราควบคุมไม่ได้ นึกออกไหมครับ เราไม่มีทางรู้ว่าจะมีใครคนไหนขยันอ่านหนังสือมากกว่าเราหรือไม่ รวมไปถึงการตัดสินว่าจะรับใครเข้าหรือไม่เข้า ผมกำลังจะบอกว่าเราจึงไม่ควรไปทุกข์กับปัญหาที่เราควบคุมอะไรไม่ได้
ทุกข์ของคนจะสอบเข้าถ้าจะมีก็ควรเหลือเพียงว่า “เราจะทำข้อสอบได้ไหม” ไม่ใช่มัวแต่ทุกข์ว่า “จะเข้าได้ไหม” เพลงของคุณบอยเพลงนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณบอยแต่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนเอาไว้ต่างน้ำเย็นประโลมใจยามที่เจอปัญหาประเภทที่ไม่อยู่ในมือเรา แฟนทิ้ง
พ่อแม่เลิกกัน เศรษฐกิจของชาติวิกฤต พลัดพรากจากคนที่รักตลอดกาล เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ฯลฯ
กับสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราต้องยอมรับมัน และก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างที่เพลงบอกไว้
ร้องมันทั้งสองเพลงก็ได้ครับ อะไรในฝันที่เราพอจะสั่งมันด้วยมือของเราได้ เราก็ร้อง “ฝันให้ไกลไปให้ถึง” อย่าได้หยุด ส่วนปัญหาใดที่อยู่ในมือของพระเจ้า เราก็ยืนหยัดเงยหน้ายอมรับและก็ร้อง live and learn อย่างรู้เท่าทัน
พี่ประภาส ได้แนะนำเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นคอหนังฝรั่งให้ดูหนังเรื่องโหมโรง โดยตัดคอลัมน์ที่พี่ประภาสเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในมติชนให้เขาอ่านด้วย เขาจึงซื้อวีซีดีมาดูแล้วก็บอกว่า ไม่สนุก ทั้งเรื่องมีแต่เล่นดนตรีไทย ฟังแล้วใจเสียค่ะ แบบนี้หนังไทยจะไปรอดหรือคะ คนไทยเองยังไม่ดูเลย เด็กพายัพ คนส่วนใหญ่คาดหวังที่จะเห็นอะไรในกล่องของขวัญก่อนที่เขาจะเปิดเห็นมันจริงๆเสมอ
เราอาจจะเห็นบางคนทำหน้าผิดหวัง และอีกหลายคนก็ทำตาโตตื่นใจกับของที่อยู่ในกล่องอย่างที่เขาไม่คาดคิด มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใจของเขาเปิดหรือปิดอยู่ ผมไม่รู้ว่าเพื่อนของคุณเด็กพายัพอยากดูอะไรในหนังเรื่องนี้ เขาคงคาดหวังที่จะได้ดูอะไรที่มันโลดโผนเหมือนที่เขาเห็นในหนังฝรั่ง แล้วในหนังเรื่องโหมโรงมันไม่มี ทั้งๆที่หนังมันก็มีชื่อว่าโหมโรง ซึ่งชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี และก็คงเป็นดนตรีไทยด้วย ฟังแล้วคิดถึงเรื่องนี้ครับ
หกเจ็ดปีก่อนระหว่างที่นั่งเล่นอยู่ชายป่าบนเขาใหญ่ ผมเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งจอดรถจักรยานยนต์แล้วเดินลงมาชาย หนุ่มนั้นขะมักเขม้นปูเสื่อแล้วก็ยกตะกร้าของกินลงมาวาง ผมไม่เห็นหญิงสาวแฟนของเขาช่วยเหลืออะไร ผู้หญิงคนนั้นเดินไปเดินมาอยู่สักพัก ผมก็หูบอนไปได้ยินเธอพูดขึ้นมาว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ต้นไม้” หัวเราะหรือร้องไห้ดีครับเรื่องนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น