วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ผู้หญิงกับผู้ชาย

อ่านมาแล้วติดใจ จากหนังสือ คุยกับประภาส

มติชน หน้า 14 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542

พี่ประภาส
อย่าว่ากันนะคะที่เขียนมาถามปัญหาหัวใจ อยากคุย
แต่ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร
กับเพื่อนชายคนนี้ยอมรับว่าดีกว่าทุกคนที่ผ่านมา
น้อยใจอยู่ว่า คบกันมา 4 ปีกว่าแล้ว ความสัมพันธ์ดูเหมือน
จะอยู่ที่เก่า ครั้งสุดท้ายชวนเขามากินข้าวที่บ้านเพื่อจะได้
เจอคุณพ่อที่มาจากต่างจัวหวัด เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน ใน
ความเห็นของพี่ คนเราคบกัน 4-5 ปี แล้วไม่ไปถึงไหน เรา
ควรจะหยุดไหม
Burani
เป็นเรื่องจริงนะครับที่ผมไม่ชอบคุยเรื่องปัญหา
หัวใจ จะเรียกว่าไม่สันทัดกรณีเลยก็่น่าจะได้
อ่านจดหมายของคุณจบก็ไม่รู้จะตอบอะไรไอ้ตรง
ที่เป็นคำถามยิ่งไม่น่าตอบ คนเราจะคบกันห้าปีสิบปี เวลา
ไม่น่าจะใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด ความเข้าใจในกันความยอม
รับในจุดดีจุดด้อยของแต่ละฝ่ายต่างหากที่สำคัญกว่า ส่วน
ไอ้เรื่องความสัมพันธ์ของคุณที่ไม่พัฒนาไปถึงไหนก็พูดยาก
ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าความสัมพันธ์ของคุณขณะนี้เป็น
ขนาดไหน แตกต่างจากเมื่อก่อนขนาดไหน จะได้เปรียบ
เทียบกันได้ถูก
แต่ขออณุญาตแนะนำอย่างหนึ่งนะครับ ว่าถ้ารำคาญ
มากๆ ก็ถามเอากับเขาตรงๆ เถิด
ผมสนใจความน้อยใจของคุณมากกว่า

มีเรื่องสั้นสนุกๆ มาให้อ่านกันเล่นๆ เรื่องหนึ่ง ลอง
อ่านดูสิครับ

สุธีกับอำภาเจอกันที่ลานโบว์ลิ่ง อำภาเพิ่งเข้ามา
โยนโบว์ลิ่งเป็นครั้งแรก เธอโยนลูกโบว์ลิ่งข้ามเลนไป 7 เลน
มาตกแทบเท้าของสุธี
สุธีหันกลับไปมองที่มาของลูกโบว์ลิ่ง "รักแรกพบ" เขา
นึกในใจ แล้วก็ขว้างลูกโบว์ลิ่งลูกนั้นข้ามกลับไปอีก 7 เลน
มาตกทับตีนอำภา เธอฝืนยิ้ม
แล้วทั้งสองก็คบหากัน
เย็นวันหนึ่งบนเก้าอี้บริเวณหน้าช่องโยนโบว์ลิ่ง สุธีกับ
อำภานั่งมองโคมไฟบนเพดานกันเงียบๆ หลังจากที่โยนลูก
โบว์ลิ่งทับขาเด็กเสิร์ฟแถวนั้นหักไป 2-3 คน
"สุธี คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะคบกันมาจะครบปี
หนึ่งแล้ว" อำภาถามขึ้นเบาๆ
สุธีเงียบไป เขาเอามือลูบไล้ลูกโบว์ลิ่งสีดำเล่นพลาง
คิดว่า ถ้าเขาจะเปลี่ยนลูกโบว์ลิ่งเป็นสีช็อกกิ้งพิ้งก็คงไม่เลว
สีสเปรย์ที่ใช้พ่นในสมัยนี้ติดทนทานดีเสียด้วย สุธีเอามือลูบ
ไปลูกมา นิ้วชี้ก็ดันไปติดอยู่ในรูแหย่นิ้ว
อำภารู้สึกอึดอัดในความเงียบ เริ่มคิดไปอีกทางว่า
เธอไปกวนใจเขามากเกินไปหรือเปล่าที่พูดแบบนี้ เดี๋ยวเขา
จะว่าเธอพูดเพื่อผูกมัดเขา
"อะไรนะ นี่จะหนึ่งปีแล้วหรือ" สุธีพูดขึ้นมา ตอนนี้
นิ้วกลางติดเข้าไปอีกนิ้วหนึ่ง
อำภาคิดต่อ "หรือเราคิดไกลไปถึงขั้นแต่งการแต่ง
งานเลย เราไม่ควรที่จะไปหวังอะไรลมๆ แล้งๆ กับผู้ชายที่
คบกันมาแค่หนึ่งปี"
"หนึ่งปี" สุธีคิด "นั่นหมายความว่า เราเล่นโบว์ลิ่ง
มาสองปีแล้วสิ เพราะตอนที่เจออำภาเราเล่นมาหนึ่งปีแล้ว
ลูกโบว์ลิ่งลูกนี้ก็ซื้อมาตั้ง 2 ปีแล้วด้วย แต่แปลกใจอยู่อย่าง
ทำไมรูนิ้วยังไม่หลวมพอดีนิ้วเสียที"
อำภาเองก็ยังคงจมอยู่ในความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
"เขาทำหน้าครุ่นคิดอย่างนี้ เขาคงจะไม่สนใจในความ
สัมพันธ์จริงๆ ด้วย"
สุธีพยายามดึงนิ้วออก เขาคิด "วันนี้ถ้าเราเอาลูก
โบว์ลิ่งกลับบ้าน น่าจะแวะปากซอยซื้อตะไบมาขัดรูนิ้วสัก
หน่อยคงดี แต่ร้านปากซอยขายของแพงชะมัด"

ความคิดคำนึงแต่เพียงฝ่ายเดียวยังคงทำงานต่อไป
อำภาเริ่มรู้สึกโหวงๆ อยู่ข้างใน เธอเริ่มโทษตังเองว่าไม่ควร
ชวนเค้าคุยเรื่องนี้ ภาพฝันที่เธอวาดถึงผู้ชายของเธอมัน
อาจจะมากเกินไป เธอฝันอยากได้ยินคำว่าไม้เท้ายอดทอง
กระบองยอดเพชรในงานแต่งงาน บางทีมันอาจจะมากเกิน
ไปจริงๆ
"ฉันเข้าใจแล้วละ" เธอแอบปาดน้ำตา "ทั้งไม้เท้า
ทั้งกระบอง มันไม่มีหรอกทั้งสองอย่าง"
"อะไรนะ" สุธีดึงนิ้วออกมาจนได้ "กระบองอะไร
หรืออำภา" เขานึกวิธีที่จะไม่ต้องใช้ตะไบมาถูรูนิ้วบนลูก
โบว์ลิ่งได้แล้ว กระดาษทรายเบอร์ละเอียดหน่อยน่าจะดี
กว่า แล้วถ้าร้านปากซอยขายแพงนัก เดี๋ยวแวะซื้อที่ห้าง
ก็ได้
"เปล่าหรอก ไม่มีอะไร" อำภาฝืนยิ้ม
คืนนั้นอำภากลับบ้านไปร้องไห้น้ำตาเปียกหมอน ตา
บวมฉึ่งเป็นซาลาเปาไส้หมู แล้วก็ยกหูโทรศัพท์คุยกับสมศรี
เพื่อนสนิท สี่ชั่วโมงเต็มในการโทรศัพท์หมดไปกับการ
วิเคราะห์ทุกคำพูดของการพูดคุยของเธอกับสุธีวันนี้ แล้ว
อำภากับสมศรีก็คุยเรื่องนี้กันไปอีกเป็นสัปดาห์ เรื่องอย่างนี้
คุยกันเท่าไหร่ก็ไม่รู้เบื่อ

สุธีเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งของอำภาตอนเดิน
เข้าโรงโบว์ลิ่ง เขาถามสั้นๆ ตอนที่คุยเรื่องทั่วๆ ไป
"อำภามีกระบองอะไรหรือ"

อ่านกันสนุกๆ อย่าคิดมากนะครับ ผู้ชายน่ะมักจะ
เฮงซวยกับเรื่องละเอียดอ่อนของความรักอย่างนี้เสมอ ใคร
เป็นสุธี ใครเป็นอำภา ใครเป็นสมศรีในชีวิตจริงไปหาเอา
เองแล้วกัน
ว่าแต่ผมเถิด ไม่ได้เขียนเรื่องสุธีมาหลายปีดีดัก
ชักคิดถึงเขาเสียเล้ว

มติชน หน้า 14 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2542

พี่ประภาส
แฟนผมเอาเรื่องที่พี่เขียนถึงผู้ชายมักเฮงซวยในเรื่อง
ความรักมาให้อ่าน ผมเข้าใจว่าเธอจะบอกอะไรผม ความ
จริงผมอ่านก่อนที่เธอจะนำมาให้อ่านอีก พี่คิดว่าพวกเรา
เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ จะว่าไปแล้วผมยังเห็นภาพไม่
ขัดเจน
ธีรชัย


ไม่รู้ว่าเป็นคุณธีรชัยเจ้าเก่าของเราหรือเปล่า
คุณธีรชัยถามผมว่า พวกเราเป็นอย่างนั้นกันจริงหรือ
จู่ๆ คุณก็มาตู่เอากับผมว่าพวกเราเป็นพวกเดียวกัน คุณจะ
บอกว่าผู้ชายน่ะเหมือนกันหมด ว่าอย่างนั้นเถอะ
เอาจริงๆ ไหมล่ะ ผมจะบอกอะไรให้ เท่าที่ผมรู้จัก
สนิทชิดเชื้อกับคู่รักมาหลายคู่แล้ว ต่อให้หวานแหววกัน
ขนาดไหน ส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นฝ่ายเฮงซวยจริงๆ ครับ เฮง
ซวยที่ผมว่านี่ไม่ใช่เขาไม่รักแฟนเขานะครับ คนละเรื่อง
กัน

ที่ผมว่าเฮงซวยก็คือ อาการที่ไม่ค่อยจะละเอียดอ่อน
กับความรู้สึกของผู้หญิง
ต้องทำความเข้าใจกันให้ดีๆ ก่อนว่า ผมกำลังพูดถึง
ความรู้สึกส่วนเล็กๆ ที่ผู้ชายมักทำให้ยาหยีของเขาเสียน้ำตา
กันบ่อยๆ จริงอยู่ เราอาจจะบอกว่า ผมรักคุณ ผมเป็นห่วง
คุณ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว และเราก็พูดจากใจจริงที่สุด
ผมไม่เถียงเลย เพราะผมก็โดนอยู่ข้างเดียวกับคุณตั้งแต่
แรกแล้ว
ต้นรักก็เหมือนกับต้นไม้ น้ำนั้นสำคัญที่สุด ขาดน้ำ
ต้นไม้ตาย แต่ใครจะเถียงว่า แล้วปุ๋ยเล่าไม่สำคัญหรือ
แน่นอน พวกเราอาจจะบอกว่า เราใส่ปุ๋ยทุกอาทิตย์ ทุก
เดือน หรือทุกวันเกิดอยู่แล้วนี่
พรวนดินล่ะ...หรือเมื่อเราพบว่าใบไม้เริ่มจะเหลือง
แล้ว หรือเราคิดว่ามันคงไม่สำคัญมากนักหรอก ยังรดน้ำ
อยู่นี่ เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง
คอยดูแลต้นไม้ของเราให้ดีไม่ดีกว่าหรือ เรารู้จักมัน
แล้วนี่ เรารู้จักมันทุกกิ่งทุกก้านอย่างดีอยู่แล้ว เราจะไป
เปลี่ยนความรักบ่อยๆ กันทำไม ตัดแล้วปลูก ปลูกแล้ว
ตัด เดี๋ยวดินก็จืดหมด

ผมมีตอนต่อของสุธีคราวที่แล้วเขาเฮงซวยในเรื่อง
ความรักมาฝากกันอีก ถ้าภาพของคุณยังไม่ชัด
หลังจากกลับมาจากโยนโบว์ลิ่งกันใหม่ สุธีกับอำภา
ก็ยังคงมองหน้ากันไม่สนิทนัก แม้ว่าลูกโบว์ลิ่งจะไม่
ทับตีนของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรู้ดี
ว่าเขาและเธอต้องปรับความเข้าใจกันให้กระจ่างกว่านี้
"สุธีค่ะ" อำภาพูดขึ้นตอนหนึ่งหลังจากที่ยกแก้วชา
มะนาวที่เด็กเสิร์ฟมาส่งให้วางบนโต๊ะ
"ขอมะนาวฝานเพิ่มอีกชิ้นหนึ่งได้ไหมน้อง" สุธีพูดกับ
เด็กเสิร์ฟ
"ไม่ได้ครับ" เด็กเสิร์ฟพูดยิ้มๆ "เดี๋ยวพ่อครัวจะว่า
เอาครับ"
"ทำไมล่ะน้อง ก็แค่ชิ้นเดียวเอง"
"สุธีคะ...เอาของภาไปก็ได้ค่ะ" อำภาบอกเขา
"ไม่เป็นไหรหรอกภา...เดี๋ยวก่อนน้อง ทำไมขอเพิ่มอีก
ชิ้นไม่ได้เหรอ...แค่มะนาวฝานชิ้นเดียว" สุธีไม่ยอม
"พ่อครัวเขาบอกว่าให้ไม่ได้อีกแล้วครับ" เด็กเสิร์ฟ
หน้าเสีย
"อ้าว ทำไมเล่า" สุธีลุกขึ้น
"พ่อครัวบอกว่า อาทิตย์ไหนที่พี่มาโยนโบว์ล มะนาว
หมดครัวทุกทีเลย ก็พี่ขอแต่มะนาวฝานๆ เมื่อวานพี่ก็ขอ
เพิ่มอย่างนี้เกือบ 40 ลูก ผมไปก่อนนะครับ โต๊ะนั้นเรียก
แล้ว" เด็กเสิร์ฟรีบเดินออกไป

"อะไรวะ" สุธีหัวเสีย
"สุธีคะ..." น้ำเสียงปนสะอื้นของอำภาดังขึ้น สุธีหัน
มามอง
"อำภา เกิดอะไรขึ้น"
"ธี...ไม่เคยสนใจความรู้สึกของภาเลย"
"เอาอีกแล้ว คุณพูดอย่างนี้อีกแล้ว" สุธีนั่งลง
"หรือไม่จริงล่ะ ภากำลังคุยกับคุณ คุณก็ไปเถึยงอะไร
กับเด็กเสิร์ฟไม่รู้"
"ภา" น้ำเสียงเขาอ่อนลง
"ภาเอาที่ไหนมาพูดว่าผมไม่สนใจคุณ ถ้าอย่างนั้น
เดี๋ยวผมสั่งมะนาวฝานเผื่อให้คุณก็ได้"
"สุธีคะ...สุธีจำวันวาเลนไทน์ที่ผานมาได้หรือเปล่า
คุณไม่ได้สนใจภาเลย"
"ทำไมเหรอ...วันวาเลนไทน์ปีนี้มีอะไร ผมไม่
สนใจคุณตรงไหน ผมมีหลักฐานนะ บันทึกในเครื่อง
แฟ็กซ์ของผมก็บอกไว้ชัดๆ ว่าผมแฟ็กซ์การ์ดวาเลน-
ไทน์ไปให้คุณที่บ้านแล้ว ภา...ภาจะไปไหน รอผมก่อน"

เขียนถึงบรรทัดนี้แล้วผมเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันครับ
ว่าผมเคยทำตัวอย่างนายสุธีหรือเปล่า แต่ถ้าพวกเราเหล่า
ผู้ชายเฮงซวยทั้งหลายอ่านแล้วสำเหนียกว่า ใครส่อแววว่าจะ
มีอาการอย่างนี้ ผมว่าเราปรับปรุงตัวกันเสียหน่อย ก็ไม่น่า
เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ผู้หญิงของเราจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตา
ส่งท้ายเรื่องของคนคู่นี้หน่อยดีไหมครับ
ผ่านไปเกือบครึ่งปี สุธีกับอำภายังคบกันอยู่ สอง
คนเลิกโยนโบว์ลิ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่านิ้วเท้าของทั้งคู่เต็ม
ไปด้วยแผลเป็น

ตอนนี้สุธีกำลังบ้าบอล บ้าเหมือนชายหนุ่มทุกคนใน
ประเทศ เขารู้จักนักบอลทุกคน รู้วันแข่งของทุกการแข่งขัน
เขาจดจำท่ายิงประตูได้ทุกลูก นักบอลคนไหนชอบสีอะไร
รู้หมด ถึงอำภาจะฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง แต่เธอก็ไม่รำคาญ
อะไร
"สุธีคะ เสาร์นี้ว่างไหมคะ" อำภาเอ่ยขึ้นตอนเดินออก
จากโรงหนัง
"วันเสาร์หรือ ผมก็ต้องไปบ้านภาอยู่แล้วนี่" สุธีล้วง
ข้าวโพดคั่วที่เหลืออยู่ในถุงใส่ปาก
"เสาร์นี้ธีจำได้หรือเปล่าว่าวันอะไร"
"วันอะไร" สุธียังงง
"ครบรอบ 3 ปีที่เราเจอกัน" ผู้หญิงนั้นละเอียดอ่อน
เหลือเกิน
"เหรอ..." สุธีไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านี้
"เย็นวันเสาร์เราไปกินข้าวที่ร้านริมน้ำที่ไหนซักแห่ง
ดีไหม หาที่ที่โรแมนติกหน่อย" อำภาชวน
"เสาร์นี้แมนฯยูแข่งกับลิเวอร์พูลเสียด้วย" สุธีเขย่าถุง
ข้าวโพด
"ไปไหม...ร้านทอร์นาโดเพิ่งเปิด" อำภาทำเป็นไม่
ได้ยินบ้าง "เห็นสมศรีบอกว่าเขาแต่งร้านได้น่ารักจุ๋มจิ๋ม
มาก"
"แมตช์ที่แล้วที่แมนฯยูแตะผมก็ไม่ได้ดู" สุธีเสียงอ่อย
"ไปนะคะธี...ภาจะได้จองโต๊ะ" อำภาดึงถุงข้าวโพด
จากมือสุธีทิ้งถังขยะไป
"เอาอย่างนี้ดีกว่า เสาร์นี้วันครบรอบ 3 ปีที่
เราเจอกัน ผมไปที่บ้านคุณ แล้วผมก็กุมมือคุณตอนดู
ฟุตบอล... ดีไหม"
มติชน หน้า 14 ฉบับวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2543

สวัสดีครับคุณประภาส
ผมนั่งรถข้ามจังหวัดภาคอีสานท่ามกลาวความรุ่มร้อน
ให้บังเอิญ D.J. ท้องถิ่นเปิดเพลงไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน
เราทั้ง 3 ในรถเลยหาเรื่องถกกัน ผมยืนยันว่า วินาทีที่
"จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา" นั้น น่าจะเป็น
ความโมโห คับแค้น เป็นแรงกดดัน (Drive) แต่เพื่อนสาว
ทั้ง 2 ไม่เห็นด้วย เธอทั้งคู่มองว่านั่นเป็นวีรกรรมพลีชีพเพื่อ
เชิดชูรัก แม้รักนั้นจะว่างเปล่า ไม่สมหวัง และไกลสุดเอื้อม
เลยตัดสินใจว่า กลับมากรุงเทพฯ แล้วให้ผมเขียนมาถามคุณ
คุณเป็นค้นเหตุเขียนเพลงนี้ไง
สุธี พี่สุชาติ ญาติสุธรรม


ระหว่างคนแต่งเพลงกับคนฟังเพลงเมื่อเพลงนั้น
เสร็จแล้ว คนแต่งไม่ได้มีสิทธิใดๆ มากกว่าที่จะตีความ
หรืออธิบายความหมายเลย ไม่ว่าใครก็อาจจินตนาการ
ไปตามความคิดตัวได้ และแม้ความคิดจะไม่ตรงกัน
คนฟังก็ไม่ผิดที่จะตีความ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ
ตอนที่ทำเพลงนี้ ผมเคยถามคุณวิยะดา โกมารกุล ณ
นคร ว่าตอนที่แกร้องเพลงนี้แกรู้สึกว่าแกเป็นใคร เป็นไม้ขีด
ไฟ เป็นดอกทานตะวัน หรือเป็นดวงอาทิตย์ แล้วผมก็เอา
คำถามนี้มาถามคนทำงานด้วยกัน ตั้งแต่คุณภิทรู คนเรียบ
เรียงเสียงประสาน ไปถึงนักดนตรีแทบทุกคน
แต่ละคนตอบแตกต่างกันออกไปไม่เหมือนกันเลย
เพลงของผมเมื่อเขียนไปแล้ว คนฟังจะตีความแตก
ต่างกันไปมากเท่าไหร่ ผมยิ่งยินดี มันเป็นศิลปะนี่ครับ ไม่ใช่
บัญชีรายรับรายจ่าย จะได้มีถูกมีผิด
เท่าที่ฟังคุณสุธี พี่สุชาติ ญาติสุธรรมกับเพื่อนสาว
ของคุณถกกันแล้ว ผมเอนไปทางเพื่อนสาวของคุณมากกว่า
นะครับ
อย่าเอ็ดไปสุธีฯ ออกความเห็นไปอย่างนั้น
เดี๋ยวเขาก็จับได้หรอกว่าผู้ชายน่ะ เฮงซวยกับเรื่องความรัก
จริงๆ



ไม่มีความคิดเห็น: