พี่ประภาสครับ
ความจริงคืออะไรครับ
ลิ้มสมองเล็ก
ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้เวลาแทบทุกวันนั่งถกเถียงกับเพื่อนๆว่า “ความจริงคือสิ่งใด”
เมื่อ เถียงกันจนหาข้อยุติในความหมายของความจริงไม่ได้ ชายหนุ่มผู้นั้นก็ตัดสินใจบอกกับเพื่อนๆว่า เขาจะออกเดินทางเพื่อตามหาความจริงให้พบ
“แล้วฉันจะกลับมาพร้อมกับคำตอบว่าที่แท้แล้วความจริงคืออะไร” ชายหนุ่มตะโกนบอกเพื่อนๆตอนที่เขากำลังจะเดินทางออกจากหมู่บ้าน
ชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงตลาดของเมืองอีกเมืองหนึ่ง
ผู้คนส่วนใหญ่เดินผ่านไปมาด้วยความเร่งรีบและมีสีหน้าวิตกกังวล มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงความแปลกแยกและตื่นตัว ชายชราคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามาและรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งกับท่าทีของชายหนุ่ม ที่เดินมองโน่นมองนี่
“นี่เจ้าจะเดินชนข้าหรืออย่างไร” ชายชรากล่าวขึ้น
“ขออภัยท่านผู้เฒ่า ท่านพอจะรู้ไหมว่าความจริงคืออะไร”ชาวหนุ่มตั้งคำถามทันที
“อะไรนะ” ชายชรารู้สึกสนเท่ห์ในคำถาม
“ข้ากำลังตามหาความจริงอยู่ ท่านพอจะรู้ไหมว่ามันคือสิ่งใด แล้วในเมืองนี้มีความจริงไหม” ชายหนุ่มถามอีก
ชายชรามองหน้าชายหนุ่ม “มีสิ เมืองนี้มีความจริงแน่นอน”
“จริงหรือ” ชายหนุ่มลิงโลด “ถ้าเช่นนั้น ท่านช่วยพาข้าไปพบกับความจริงหน่อยได้ไหม”
“เจ้ากล้าไปพบจริงๆหรือ” ชายชรายังคงมองหน้าชายหนุ่ม
“ข้าเดินทางมาแสนไกลก็เพื่อจะตามหาความจริง ทำไมข้าถึงจะไม่กล้าเล่า” ชายหนุ่มยืนยัน
ว่าแล้วชายชราก็พาชายหนุ่มเข้าไปในพระราชวัง ทันทีที่ถึงท้องพระโรงชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าที่แท้แล้วชายชราผู้นี้คือ เสนาบดีของพระราชาแห่งเมืองนี้นั่นเอง
“ทำความเคารพพระองค์เสียสิ” ชายชราบอกกับชายหนุ่ม ชายหนุ่มจึงค้อมหัวลง
“เจ้าพาผู้ใดเข้ามา” พระราชาตรัสเสียงดังลงมาจากบัลลังค์
“ชายผู้นี้กำลังมาตามหาความจริงพ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีเฒ่ากล่าว
“เจ้ามาถูกที่แล้วหนุ่มน้อย ข้านี่แหละคือความจริง” พระราชาเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย เสนาบดีจึงกระซิบกับชายหนุ่ม“เจ้าคงไม่เชื่อว่าพระองค์คือความจริง สิ่งใดที่พระองค์พูด สิ่งนั้นจะเป็นตามนั้น”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าข้าคือความจริง ข้าจะแสดงให้ดู” พระราชาลุกขึ้นยืน “เจ้าจะต้องถูกโบยสิบที…แล้วเจ้าคอยดูเถิดว่ามันจะเป็นความจริงไหม” มิทันขาดคำทหารยามสองคนที่ยืนรักษาประตูก็เดินเข้ามาจับชายหนุ่มให้นอนคว่ำหน้าลง
“จะทำอะไรข้า” ชายหนุ่มร้องลั่น
ว่าแล้วทหารยามก็ลงมือโบยชายหนุ่มทันทีจนครบสิบครั้ง เสียงหัวเราะของพระราชาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง “ทีนี้ เจ้าเชื่อหรือยังว่าข้านี่แหละคือความจริง”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังลุกขึ้นนั่ง ก็พลันได้ยินเสียงเอะอะมาทางประตู เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้คนจำนวนมากกำลังต่อสู้กัน แล้วทหารคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในท้องพระโรง
“ท่านเสนาบดี ! พวกโจรกำลังจะบุกเข้ามาแล้ว”
เสนาบดีได้ยินดังนั้นจึงตะโกนสั่งเหล่าทหาร “รีบพาพระองค์ไปหลบในที่ปลอดภัยโดยเร็ว”
ขณะ ที่กำลังหันรีหันขวางด้วยทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มจึงค่อยๆคลานมาแอบอยู่หลังเสาท้องพระโรง แล้วเขาก็เห็นพวกโจรนับสิบๆคนวิ่งกรูกันเข้ามา
“จับพวกมันโบยคนละสิบทีแล้วก็เอาไปขังในคุกใต้ดินให้หมด” หัวหน้าโจรร้องสั่ง ถึงตอนนี้แม้แต่พระราชาก็ถูกกวาดต้อนไปรวมกับพวกเหล่าเสนาบดี
“ปล่อยข้าไป ข้าเป็นพระราชานะ” พระองค์ร้องบอกหัวหน้าโจร
หัวหน้าโจรได้ยินดังนั้นจึงร้องกลับไป “พระราชาที่รีดนาทาเร้นชาวนาอย่างพระองค์ สมควรถูกโบยคนแรก” ว่าแล้วสมุนมือขวาของหัวหน้าโจรก็เดินเข้าไปจับพระราชานอนคว่ำลงแล้วก็ลงมือโบยทันที
ชายหนุ่มมองเห็นพระราชาถูกโบยก็นึกอยู่ในใจ “ที่แท้พระองค์ไม่ใช่ความจริง พระองค์เพิ่งพูดคำว่า ปล่อยข้าไป ก็ไม่เห็นมีใครปล่อยพระองค์อย่างที่พระองค์พูดเลย”
หลังจากที่พวกโจรจับพระราชาและเหล่าเสนาบดีขังคุกแล้ว พวกโจรก็เข้าไปรื้อเงินและทองที่อยู่ในท้องพระโรงออกมาเพื่อจะขนออกไปนอก เมือง ชายหนุ่มเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงรู้สึกประทับใจในตัวหัวหน้าโจร ที่สามารถบังคับความจริงอย่างพระราชาได้ จึงสมัครเป็นลูกน้องติดตามไปด้วย
หลังจากอยู่กับพวกโจรไม่กี่วัน ทันทีที่สบโอกาส ชายหนุ่มก็ได้เอ่ยปากถามหัวหน้าโจรด้วยความอยากรู้ว่า “ท่านหัวหน้า ข้าอยากรู้ว่าความจริงคืออะไร ท่านพอจะให้คำตอบข้าได้ไหม”
หัวหน้าโจรมองหน้าชายหนุ่มเหมือนทุกคนที่เคยถูกชายหนุ่มถาม “ความจริงนั่นหรือ โลกนี้มันมีความจริงเสียที่ไหน”
“หมายความว่าอย่างไรท่านหัวหน้า” ชายหนุ่มถามต่อ
“เจ้าเคยได้ยินคำว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจรไหม คนเป็นโจรนั้นเขาไม่เชื่อหรอกว่ามีอะไรในโลกนี้ที่เชื่อถือได้” หัวหน้าหันไปถามสมุนมือขวา “จริงไหมสมุนข้า”
พูดได้แค่นั้นหัวหน้าโจรก็ตาค้าง
“จริงสิหัวหน้า” สมุนมือขวาของหัวหน้าโจรแสยะยิ้ม พลางดึงดาบออกจากพุงของหัวหน้า เลือดไหลออกมาเป็นทาง หัวหน้าโจรทรุดลงกองกับพื้นทันที “สัจจะข้อเดียวที่มีอยู่ในโลกนี้ก็คือไม่เคยมีสัจจะ”
“หัวหน้าถูกแทง” เสียงสมุนคนหนึ่งร้องขึ้น
“มันจะก่อกบฎ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นอีก
“ข้าจะอยู่ข้างท่าน”แล้วก็อีกเสียงหนึ่ง
และในวินาทีต่อมา การพันตูกันของกลุ่มโจรก็เกิดขึ้น ชายหนุ่มผู้ตามหาความจริงอาจจะมองว่านี่คือการแตกคอกันของกลุ่มโจรที่แบ่ง เป็นสองฝ่าย ซึ่งในความเป็นจริงที่ไม่มีใครรู้นั้น บางทีมันอาจจะมากกว่าสองฝ่ายก็เป็นได้
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้ เขามารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือเหี่ยวๆเอาน้ำมาลูบหน้า
“ข้าอยู่ที่ไหน”ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า
“เจ้าอยู่ในกระท่อมของข้า”เสียง หญิงชราตอบ ทันทีที่ชายหนุ่มมองเห็นหน้าของผู้ที่ช่วยชีวิตของเขาชัดเจน ชายหนุ่มก็ผลุนผลันลุกขึ้นถอยตัวห่างออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่อยู่ข้างหน้าของเขาเป็นของหญิงชราหลังค่อม มีผมสีขาวโพลน เนื้อตัวเหี่ยวย่นและตามผิวหนังก็มีตุ่มเล็กๆขึ้นเต็มไปหมด มองเผินๆแล้วเหมือนผิวคางคกมากกว่าผิวมนุษย์
“ท่านเป็นใคร” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“ข้าชื่อความจริง” หญิงชราพูดยิ้มๆ “ข้าพบเจ้านอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ที่ลานบ้านของข้า ดูคล้ายๆเจ้าหนีซวนเซมาจากที่ไหนสักแห่ง” ชายหนุ่มฟังแล้วจึงค่อยๆนึกเหตุการณ์ตาม
“กินข้าวเถิด” หญิงชราดันถาดอาหารมาไว้ที่ตรงหน้าชายหนุ่ม แล้วจึงค่อยๆเดินถือไม้เท้าเลี่ยงออกไป มันเป็นอาหารที่แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นอาหารอะไร แต่ชายหนุ่มก็กินมันจนหมดด้วยความหิว
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็พักอาศัยอยู่กับหญิงชราอีกหลายสัปดาห์เพื่อรักษาตัว ในระหว่างที่พักอาศัยอยู่นั้น ยามใดที่ได้มีโอกาสนั่งคุยกันกัน ชายหนุ่มก็มักจะถามหญิงชราเสมอว่า ความจริงคือสิ่งใด คำตอบเดียวที่ได้รับจากหญิงชราก็คือ ตัวหญิงชราเองนั่นแหละคือความจริง เมื่อได้รับคำตอบนี้บ่อยๆเข้า ชายหนุ่มก็ชักเริ่มเบื่อหน่าย
และเมื่อร่างกายของชายหนุ่มแข็งแรงดีขึ้น เขาจึงเตรียมตัวเดินทางกลับหมู่บ้านของตัวเอง วันที่เขาไปร่ำลาหญิงชรา จู่ๆหญิงชราก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วเจ้าจะบอกเพื่อนๆของเจ้าว่าอย่างไรเกี่ยวกับความจริง”
ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง แล้วก็พูดขึ้นอย่างขอไปทีว่า “ข้าคงจะบอกพวกเขาว่าข้าได้พบกับความจริงแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ” หญิงชราที่มีชื่อว่าความจริงพูดยิ้มๆ “อย่าลืมบอกพวกเขาด้วยแล้วกัน”
“เรื่องอะไรหรือท่านความจริง” ชายหนุ่มถาม
หญิงชรามองหน้าชายหนุ่มและพูดด้วยน้ำเสียงเล่นๆกึ่งจริงจัง “อย่าลืมบอกพวกเขาว่า… ข้าสาวและสวยเพียงใด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น