ควินซี่ โจนส์ | |
พี่ประภาส เพิ่งทะเลาะกับเพื่อนที่ตั้งทีมกันทำงานด้านเว็บไซด์ด้วยกัน กำลังมีรุ่นน้องมาชวนให้ไปตั้งทีมใหม่ บอกตรงๆว่าชักปอด เพราะทีมเก่านั้นทำกันมาตั้งแต่เรียนปี3จนจบมาเกือบ 7 ปีแล้ว เข้า ขากันจนไม่อยากทำงานกับคนอื่นอีก กลัวไปสารพัด กลัวว่าเขาจะเก่งกว่าเรามั้ย หรือเขาอาจจะไม่เก่งเลย ยอมรับว่ากลัวจนเครียด บางทีก็กลัวว่าเราอาจจะตกรุ่นแล้ว ความคิดล้าสมัย พี่มีความคิดดีๆเกี่ยวกับการทำงานกับทีมใหม่ๆบ้างมั้ย ไฟร์บอล คุณอาประภาส อยาก รู้ว่าหน้าที่โปรดิวเซอร์เค้าทำอะไรกันบ้าง เพื่อนบอกว่า โปรดิวเซอร์ไม่ใช่นักแต่งเพลง แต่เป็นคนคุมงาน แล้วถ้าจะเป็นโปรดิวเซอร์ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง รีโมท
ขออนุญาตแนะนำให้รู้จักนักดนตรีคนหนึ่งครับ เขาชื่อ ควินซี่ โจนส์ คน ไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักเขาสักเท่าไหร่ เพราะงานของเขาค่อนข้างอยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าไปถามพวกที่ทำงานอยู่ในแวดวงดนตรี โดยเฉพาะนักดนตรีหรือโปรดิวเซอร์นี่ต้องเรียกว่าเป็นขวัญใจของคนหลายคนเลยที เดียว ผม ได้ยินชื่อเขาครั้งแรกก็ตอนสมัยยังเป็นนิสิต ได้ยินจากปากคุณเรวัติ พุทธินันท์ หรือพี่เต๋อ ตอนที่ไปขอให้แกมาช่วยทำดนตรีให้เฉลียงชุดแรก เพิ่งได้ยินคำว่า “โปรดิวเซอร์”ก็ จากพี่เต๋อนั่นแหละครับ เกือบสามสิบปีที่แล้วนี่ คำนี้ยังไม่มีใครเคยใช้เลย สมัยนั้นถ้าจะทำเพลงสักชุดนี่ คนที่เกี่ยวข้องก็จะมีคนแต่งเพลงที่นักร้องเรียกกันว่าครูเพลง มีคนทำดนตรี แล้วก็มีนายห้างเจ้าของบริษัทแผ่นเสียง แม้ แต่พวกผมที่ริอาจจะทำเพลงสักชุดจากเพลงที่แต่งกันร้องเล่นๆก็คิดแค่ว่า จะไปหาพี่เต๋อเพื่อให้แกช่วยทำดนตรีให้เพลงชุดนี้หน่อย แค่นั้น พอ พี่เต๋อฟังเพลงที่พวกผมแต่งมาแล้วแกก็บอกว่า แกจะเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ทั้งๆที่แกก็ไม่ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทแผ่นเสียงอะไรที่ไหน (สมัยนั้นแกยังไม่ได้ตั้งบริษัทแกรมมี่) แล้ว แกก็ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ในการทำเพลงชุดหนึ่งนั้น ต้องมีคนที่ต้องมองภาพรวมของเพลงทั้งหมด วางแนวว่าเพลงแต่ละเพลงดนตรีควรจะเป็นอย่างไร ใครร้อง ร้องอย่างไร ประสานเสียงตรงไหน ใครต้องเป็นคนเล่นดนตรี ต้องเล่นแค่ไหน อย่างไร รวมไปถึงการควบคุมการบันทึกเสียงทั้งด้านคุณภาพ ระยะเวลา งบประมาณ และบรรยากาศในการทำงาน คุณ รีโมทถามมาถึงเรื่องหน้าที่ของโปรดิวเซอร์ก็คงได้คำตอบคร่าวๆไปแล้ว อันที่จริงหน้าที่ของโปรดิวเซอร์ยังไม่หมดแค่นี้ บางท่านทำงานเลยไปถึงภาพพจน์ของนักร้อง และเลยไปถึงการแสดงบนเวทีด้วย ช่วง ที่บันทึกเสียงเพลงเฉลียงชุดแรกกับพี่เต๋อ พอมีเวลาว่างแกก็จะมักจะเล่าให้ฟังถึงนักดนตรีฝรั่งที่แกชื่นชม หนึ่งในนั้นก็คือโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ ควินซี่ โจนส์ คนที่ผมจะแนะนำให้รู้จักในวันนี้ สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่รู้จักเขา แนะนำอย่างง่ายที่สุดว่าเขาทำอะไรมาบ้าง ก็คงต้องบอกว่าเขาคือผู้ที่ทำเพลงเราล้วนคือโลก (We Are The World) เพลงที่ได้ชื่อว่าขายดีที่สุดในโลกตลอดกาลเพลงหนึ่ง และว่ากันว่าโจนส์น่าจะเป็นนักดนตรีที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ของอเมริกามากกว่าใครทั้งหมด หนังสือ ดนตรีหลายเล่มยกให้โจนส์เป็นตำนานสำคัญหน้าหนึ่งของอุตสาหกรรมบันเทิง เขาได้ร่วมงานกับนักดนตรีฝีมือดีมากมายหลายรุ่น นับตั้งแต่ แฟรงค์ ซิเนตร้า, เรย์ ชาร์ลส, ไมลส์ เดวิส, ดุ๊ค เอลลิงตัน จนมาถึงยุค ไมเคิล แจ็คสัน อัลบั้มสยด(Triller) นี่ก็ฝีมือของเขา โจนส์ ใช้ชีวิตวัยเยาว์ในแหล่งเสื่อมโทรมของเมืองชิคาโก พออายุถึงสิบเอ็ดก็ย้ายไปวอชิงตัน และก็เกิดรักแรกพบกับดนตรีที่นี่ เด็กชายโจนส์เริ่มต้นจากเครื่องดนตรีประเภทหางเครื่อง (Percussion) เขาเริ่มขลุกตัวอยู่ในโรงเรียนหลังเลิกเรียนทุกวันเพื่อหัดเลนดนตรีชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปี่ แตรและไวโอลิน สุดท้ายเขาก็มาจดจ่ออยู่กับพวกเครื่องเป่า โดยเฉพาะทรัมเป็ตนี่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่เพื่อนฝูงว่าฝีมือไม่ธรรมดา เมื่อ อายุได้ 14 ปี โจนส์ก็ฉายแววอัจฉริยะ เขาเริ่มแต่งเพลงเอง เรียบเรียงดนตรีเอง และเมื่อใดก็ตามที่มีวงดนตรีฝีมือดีมาแสดงใกล้โรงเรียน โจนส์ก็มักหาโอกาสเข้าไปร่วมเล่น หรืออย่างน้อยที่สุดก็เข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดด้วย พออายุได้ 18 ปี โจนส์ก็ออกตระเวนเล่นดนตรีอย่างจริงจังกับวงแฮมป์ตัน พออายุครบเบญจเพส โจนส์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักดนตรีที่ได้ร่วมงานกับนักดนตรีแจ๊สที่ยิ่งใหญ่เกือบหมด ประเทศแล้ว ความเห็นหนึ่งเดียวที่นักดนตรีแจ๊สรุ่นพี่ทุกคนพูดถึงหนุ่มน้อยโจนส์ก็คือ “เขามีความกระหายใคร่เรียนรู้ตลอดเวลา” อาจเป็นด้วยบุคลิกนี้เองที่ทำให้เขาได้ทำงานกับคนหลากหลาย หลังจากนั้นเขาก็เข้าทำงานกับบริษัทแผ่นเสียงเมอร์คิวรี่ และพออายุได้ 30 ปีเขาก็นั่งแท่นผู้บริหาร ซึ่งต้องนับเป็นผู้บริหารผิวดำคนเดียวในบริษัท หลัง จากนั้น โจนส์ก็กระโดดเข้ารับงานท้าทายใหม่ๆ ด้วยการทำเพลงประกอบภาพยนตร์กว่า 30 เรื่อง และเพลงประกอบรายการโทรทัศน์อีกนับไม่ถ้วน ตอนที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมงานกับราชันย์เพลงป๊อป ไมเคิล แจ๊คสันนั้น ในแวดวงดนตรีแจ๊สไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีหรือแฟนเพลงก็เริ่มโจมตีเขาว่า เขากำลังขายตัว ตรงนี้น่าสนใจนะครับ ศิลปะหลายชิ้นไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกก็เพราะศิลปินติดอยู่ในบ่วงนี้ มาลองฟังโจนส์ให้สัมภาษณ์ดูดีกว่าว่าเขาคิดอย่างไร “เมื่อ ครั้งยังวัยรุ่น วงที่โรงเรียนผมเล่นดนตรีแทบทุกประเภท ทั้งริธึ่มแอนด์บลูส์ โพลก้า ซัลซ่า เราเล่นดนตรีในคลับทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นคลับคนขาวหรือคลับคนผิวสี ทั้งสโมสรเทนนิสและข้างถนน ผมรักดนตรีทุกสไตล์ ดังนั้นไม่ว่าผมจะทำงานกับแฟรงค์ ซิเนตร้าหรือไมเคิล แจ๊คสัน ผมก็ไม่รู้สึกแตกต่างอะไรกันสักเท่าไร” ฟัง เขาอธิบายแล้ว ผมก็นึกออกเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้จึงได้ยิ่งใหญ่ในวงการเพลง ในความคิดของผมแล้ว ผมว่าหัวใจเขาเปิดกว้างมาก และด้วยหัวใจที่เปิดกว้างอันนี้แหละเขาจึงน่าจะเป็นคนเดียวที่โลกต้องมอบ หมายให้เขาทำเพลงเราล้วนคือโลก ที่เอานักร้องนักดนตรีดังๆของทั้งโลกมาร้องร่วมกัน คลาสสิกอย่าดูถูกแจ๊ส แจ๊สอย่าดูแคลนป๊อป ป๊อปก็อย่ารังเกียจลูกทุ่ง ลูกทุ่งเองก็อย่ารังงอนหมอลำ ย่อหน้า ข้างบนผมขออนุญาตพูดลอยๆนะครับ ไม่รู้คุณไฟร์บอลจะสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับวงการดนตรีหรือเปล่า แต่ย่อหน้าข้างบนนี่ผมเขียนให้คุณไฟร์บอลอ่านโดยเฉพาะ นอกจากพรสวรรค์ด้านดนตรีที่โจนส์มีอยู่ล้นเหลือแล้ว “ความยืดหยุ่น”น่า จะเป็นอาวุธสำคัญอีกอันหนึ่งที่ทำให้โจนส์โลดแล่นอยู่ในยุทธจักรดนตรีอย่าง เกรียงไกร และถ้ามองจากมุมของผมซึ่งก็ขอต้องขอสารภาพว่าผมก็นิยมการร่วมงานกับผู้คน หลากหลายเช่นกัน ผมคิดว่าการที่เขาได้ร่วมงานกับคนใหม่ๆตลอดเวลา ทำให้เขาเกิดชำนาญมากขึ้นที่จะดึงเอาความสามารถพิเศษของแต่ละคนที่เขาร่วม งานด้วยให้โดดเด่นออกมา ขออนุญาตตอบคุณรีโมทไปด้วยเลยว่า อันนี้ก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของ “โปรดิวเซอร์” และก็ด้วยคุณสมบัติอันนี้นี่แหละครับ ทั้งการปรับตัวและการเปิดใจ โจนส์ก็เริ่มขยายผลิตผลทางศิลปะของเขากว้างออกจากวงการดนตรี หลายคนไม่รู้เลยว่าเขาเป็นผู้ร่วมสร้างหนังเรื่อง The Color Purple ที่สตีเว่น สปีลเบอร์กกำกับ ก่อนที่จะมาทำรายการทีวีซีรีส์ชุด Fresh Prince of Bel-Air และก็กระโจนมาเปิดนิตยสาร Vibe แรกๆ ที่ได้ยินว่าเขาไปทำนู่นทำนี่ก็เคยรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมเขาจึงมีความสามารถหลากหลายนัก เดี๋ยวก็ทำเพลงกับนักดนตรีฝั่งอังกฤษ เดี๋ยวก็ไปร่วมงานกับคาซึอากิ ช่างภาพหนุ่มชื่อดังของญี่ปุ่น อีกเดี๋ยวก็ไปเปิดบริษัท Qwest ผลิตรายการโทรทัศน์ ข่าวคราวสุดท้ายที่ผมได้ยินเกี่ยวกับโจนส์ก็คือ เขากำลังเขียนบทละครบรอดเวย์อยู่ อะไรกันพี่โจนส์ อายุเจ็ดสิบกว่าแล้วยังหาอะไรใหม่ๆทำอยู่เลย คน บ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยมองความท้าทายเป็นปัญหาเลย ถามว่ามีฐานะร่ำรวยระดับเศรษฐีเบเวอรี่ฮิลล์อย่างเขานี่ใยต้องมาหาเรื่อง เหนื่อยปั๊มเงินอีกทำไม คำตอบของเขาน่ารักดีนะครับ เขาบอกว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าเงินและชื่อเสียงก็คือ งานใหม่ๆทำให้เขารู้สึกเหมือนเขากลับไปมีอายุสิบห้าอีกครั้ง คุณ ไฟร์บอล อย่าไปกลัวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นไอเดียใหม่ สถานที่ใหม่ หรือทีมใหม่ ประโยคเดียวของโจนส์ที่น่าจะเป็นคำตอบของคุณไฟร์บอลก็คือ “การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร กลัวมันหรือสนุกกับมัน” |
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
ควินซี่ โจนส์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น