วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

คนละเรื่องกัน

คนละเรื่องกัน

คนละเรื่องกัน

ถึงพี่ประภาส

พี่ประภาสมีประโยคดีๆที่จะพิสูจน์คนรักบ้างไหมคะ ว่าเขาจริงใจกับเราแค่ไหน

คุยกับเพื่อนๆแต่ละคนก็มีประโยคเด็ดไม่เหมือนกัน มีตัวอย่างค่ะ เพื่อนคนหนึ่งคิดจะบอกกับแฟนว่าครอบครัวของเราล้มละลายแล้ว อีกคนบอกว่าให้บอกแฟนว่าเรากำลังเป็นโรคลูคีเมียอีกไม่นานก็ตาย ฟังแล้วเหมือนแช่งตัวเองทั้งนั้นเลย พี่ประภาสมีประโยคดีๆกว่านี้ที่ไม่แช่งบ้างมั้ยคะ

spy

ทำไมต้องพิสูจน์ด้วยเล่า คนรักกันไม่ควรระแวงกันนะครับ

แต่ถ้าความรู้สึกระแวงมันมีจริงๆ ผมว่าอย่าเพิ่งนับเขาเป็นคนรักไม่ดีกว่าหรือ คบกันไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องหาประโยคพิสูจน์อะไรด้วย จริงใจหรือไม่จริงใจหัวใจเรารู้เองอยู่แล้วนี่ครับ


สวัสดีพี่ประภาส

สามปีที่แล้วผมยังเป็นคนจบปริญญาตรีมีงานทำ รายได้ของผมเลี้ยงภรรยาและลูกหนึ่งคนสบายๆ แถมยังมีเหลือเอาไปทำบุญหรือบริจาคมูลนิธิต่างๆได้ ผมชอบทำบุญเพราะติดจากแม่มาตั้งแต่เด็กๆ มาวันนี้หลังจากที่เศรษฐกิจบ้านเราพังยับ ผมก็เป็นบัณฑิตตกงานเหมือนเพื่อนจำนวนมากของผม อย่าเข้าใจผิดว่าผมยอมแพ้ชีวิต ผมกลับมาอยู่บ้าน ผมขายรถเก๋งแล้วก็ซื้อรถกระบะมือสองมาขับรับส่งของ รายได้ก็พอกระเบียดกระเสียนอยู่ได้ ผมยังรอวันที่เศรษฐกิจของไทยจะดีเหมือนก่อนผมจะได้กลับไปทำงานใหม่

ปัญหาของผมไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจ มันเป็นปัญหาทางจิตใจ ผมเริ่มรู้สึกว่าผมเริ่มเป็นคนดีไม่ค่อยจะได้แล้ว เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับตั้งแต่ผมมาขับรถกระบะผมถูกตำรวจดักจับเรื่องวิ่งผิดเลนบ่อยมาก บางทีก็ถูกจับเพราะบรรทุกของสูงเกินไป ผมถูกจับปรับถี่จนชักเบื่อ ตอนหลังๆนี้ผมยอมติดสินบนให้ตำรวจตรงที่ถูกจับเลย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ชอบเลย และเหมือนถูกแกล้งตั้งแต่มาขับรถกระบะผมต้องผจญกับพวกขับรถเห็นแก่ตัวมากขึ้น บางทีผมยอมไม่ได้ผมก็แสดงอาการเห็นแก่ตัวโต้ตอบกลับไปเลย

ยอมรับครับว่าอารมณ์ผมเปลี่ยนไป ผมทำบุญน้อยลงด้วย ในใจลึกๆผมยังอยากเป็นคนดีอยู่ สมัยหนุ่มๆผมเคยตั้งใจจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้มากๆเมื่อเรียนจบไปแล้ว แต่สถานะการณ์ของผมตอนนี้ทำไม่ได้เลย พอคิดเรื่องนี้ทีไร ภาพที่สังคมทำกับผมก็ผุดขึ้นมาทุกที ทำให้ผมไม่อยากทำดี

ทุกวันนี้เวลาผมเห็นตำรวจดักจับมอเตอร์ไซค์ หรือตำรวจเรียกรถผมเวลาขับผิดเลนนิดๆหน่อยๆผมอยากขับรถแหกไฟแดงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย พี่มีความคิดดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ยครับ ช่วยผมด้วย

เมฆหมอก


สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนแสนสุข หนองมน ผมเคยถูกตีหน้าเสาธง ถูกตีพร้อมๆกับกลุ่มเพื่อนๆที่หนีโรงเรียนไปเที่ยวด้วยกันทั้งกลุ่ม

นักเรียนรุ่นหลังๆนี่อาจจะแปลกใจว่ามีการทำโทษนักเรียนหน้าเสาธงด้วยหรือ ในสมัยก่อนนี้การถูกตีหน้าเสาธงนี่น่าอายมากครับ

เป็นการถูกทำโทษที่ทั้งเจ็บทั้งอาย

ผมถูกทำโทษตอนเช้าพอตกสายครูฝ่ายกิจกรรมก็ให้คนมาตามไปพบเพื่อไปช่วยแต่งกลอนขึ้นบอร์ดใหญ่ของโรงเรียนเนื่องในวันสุนทรภู่ที่จะมาถึง

ตอนที่เขามาตามนั้นก้นยังเจ็บอยู่เลย แล้วนี่ผมยังต้องเดินไปเผชิญหน้ากับครูคนที่หวดก้นผมในห้องพักครูอีก ใจมันเต้นแรงอย่างไรพิกล

ผมยังจำความรู้สึกตรงนั้นได้ดี อารมณ์ โกรธและความรู้สึกน้อยใจมีอยู่ในตัวเด็กชายประภาสเคล้ากันอยู่ ระหว่างทางที่เดินไปที่ห้องพักครูก็ยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะไปเขียนกลอนให้โรงเรียนทำไมในเมื่อครูทำโทษประจานเราหน้าเสาธงให้ได้อับ อายอย่างนั้น จะเรียกว่าโกรธโรงเรียนก็คงไม่ผิด ผมว่าตอนนี้คุณเมฆหมอกก็คงกำลังมีอาการไม่แตกต่างจากเด็กชายประภาสวันนั้นเท่าไรใช่ไหมครับ

และเมื่อกลับมาคิดเรื่องนี้ในวันนี้ ผมพบว่าคนเรามักเอาเรื่องสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน มักเอาเหตุผลสองเหตุผลที่ไม่เกี่ยวกันมาตัดสินอะไรบางอย่าง และผลการตัดสินมักออกมาไม่ได้ความเสมอ

จำกันได้ใช่ไหมครับ ผมมักพูดเรื่องสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันบ่อยๆตรงพื้นที่นี้

ความเคารพกับการวิเคราะห์วิจารณ์เป็นคนละเรื่องกันผมเขียนเรื่องนี้เมื่อครั้งมีคุณพี่คนหนึ่งเขียนมาค้านผมเรื่องการใช้สรรพนามแทนตัวในภาษาพูดของไทย

เชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องหนึ่ง การศึกษาค้นคว้าเป็นอีกเรื่องหนึ่งประโยคนี้เกิดขึ้นเมื่อเราคุยกันถึงเรื่องหมอดูและเรื่องผี

ความผิดคือเรื่องหนึ่ง การให้อภัยคือเรื่องหนึ่งเรา คุยกันในเรื่องของครูคนหนึ่งที่ขโมยความฝันของเด็ก การให้อภัยเป็นสิ่งควรทำในหมู่คนที่เจริญแล้ว แต่ความผิดไม่จำเป็นต้องหายไปมันควรยังอยู่เพื่อเตือนใจ

จะเลือกเพื่อนหรือเลือกแฟน?จำเรื่องนี้ได้ใช่ไหมครับว่าทำไมต้องเลือก มันคนละเรื่องกัน เราชอบเอามารวมกัน

คุณเมฆหมอกครับ มาถึงบรรทัดนี้ผมคิดว่าคุณเมฆหมอกก็น่าจะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างสบายใจได้ว่า การถูกตำรวจจับบ่อยๆหรือการถูกคนเห็นแก่ตัวบนท้องถนนเอาเปรียบบ่อยๆ มันเป็นคนละเรื่องกันกับ การที่คุณจะทำดีเพื่อส่วนรวม

หรือถ้าคุณเมฆหมอกจะพูดอีกทีว่า การที่ชีวิตตกต่ำลงกับการเป็นคนดีของสังคมเป็นคนละเรื่องกัน ผมยิ่งยินดี

เราคงต้องแยกความโกรธและความน้อยใจในโชคชะตาออกไปจากความคิดดีๆในตัวตนจริงๆของเรา น่าเสียดายออกครับอุตส่าห์มีความคิดดีๆอย่างนี้ อย่าให้มันหลุดหายไปกับความทดท้อเล็กๆน้อยๆเลยครับ

กลับมาที่เรื่องของเด็กชายประภาสต่อ

วันนั้นเด็กชายประภาสก็ไม่ได้คิดอะไรแยกแยะอย่างที่เราคุยกันวันนี้หรอกครับ แต่มีอะไรบางอย่างก็ไม่รู้บอกเขาให้เขาช่วยงานโรงเรียนอย่างเต็มใจ

เขาแต่งกลอนอย่างสุดฝีมือ เขียนขึ้นบอร์ดด้วยลายมือตัวเองอย่างบรรจง และเขาก็ระบายสีมันอย่างตั้งใจตลอดช่วงเวลาพักเที่ยง ความโกรธและความน้อยใจมันหายไปเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าตกเย็นมีคนเห็นเขาเดินยิ้มไปเกือบทั่วโรงเรียน

สองวันต่อมา หน้าเสาธงที่เขาเคยถูกตีก้นทำโทษประจาน เขาได้รับเสียงตบมือจากนักเรียนทั้งโรงเรียน ครูใหญ่กล่าวชมเชยกลอนบทนั้นและพูดชื่อของเขาต่อหน้าแถวนักเรียน

ยังครับเรื่องนี้ยังไม่จบ

อีกหนึ่งปีก่อนที่เขาจะจบจากโรงเรียนมัธยมแห่งนั้น เด็กชายประภาสยังได้เดินไปยืนอยู่หน้าเสาธงต่อหน้าแถวนักเรียนอีกสองครั้ง ครั้งแรกเขาขึ้นไปรับรางวัลจากครูใหญ่ในฐานะที่ไปตอบแข่งขันตอบปัญหาระดับจังหวัดได้รางวัลรองชนะเลิศ

ส่วนอีกครั้งหนึ่งเขาถูกตีหน้าเสาธงอีกโทษฐานปีนรั้วโรงเรียนออกไปเที่ยวในตัวจังหวัด

ชีวิตคนเราก็อย่างนี้แหละครับคุณเมฆหมอก บางทีสังคมก็ตบมือให้เรา บางทีสังคมก็ตีก้นเรา แต่ไม่ว่าเราจะเจ็บก้นเท่าไรก็ตาม ความคิดที่จะทำอะไรดีๆเพื่อสังคมไม่ควรระเหยหายไปจากใจเรา

เพราะมันคนละเรื่องกัน




ไม่มีความคิดเห็น: