วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

แหวนโซโลมอน

คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์
มติชน วันอาทิตย์

กษัตริย์ของอาณาจักรฮิบรูพระองค์หนึ่งพระนามว่าโซโลมอนได้มีพระราชโองการขึ้นฉบับหนึ่ง ซึ่งต้องนับว่าเป็นโองการที่แปลกเอาการอยู่

พระบรมราชโองการนั้นสั่งให้เหล่ามหาอำมาตย์ที่ปรึกษาของพระองค์สร้างแหวนวิเศษขึ้นวงหนึ่งและให้แหวนวิเศษนั้นมีคำจารึกซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคาถาหรือบทสวดใดๆก็ได้ลงบนแหวน และเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทอดพระเนตรแหวนแหวนนั้นจักต้องสามารถเปลี่ยนอารมณ์พระองค์ได้

โซโลมอน เป็นกษัตริย์ของชาวฮิบรู ชาวฮิบรูเป็นใครนั้นอธิบายอย่างง่ายสุดก็ต้องบอกคือยิวนั่นเองพระองค์มีชีวิตอยู่ในสมัยก่อนคริสตกาลเกือบพันปีได้ชื่อโซโลมอนนี้บางทีท่านผู้อ่านอาจจะเคยพบในอีกชื่อหนึ่งว่าสุไลมานของชาวมุสลิมส่วนอาณาจักรฮิบรูที่โซโลมอนปกครองอยู่นั้นทุกวันนี้ก็คือบริเวณที่อยู่แถวๆนครเยรูซาเลม

หลายคนคงตั้งคำถามในใจเหมือนผมว่ามุสลิมชาวปาเลสไตน์กับอิสราเอลหรือยิวที่รบกันอยู่ทุกวันนี้นั้นมีบรรพกษัตริย์พระองค์เดียวกันด้วยหรือ

หนังสือเล่มหนึ่งอ้างถึงคัมภีร์อัลกรุอ่านของศาสนาอิสลามเล่าว่าโซโลมอนหรือสุไลมาน คือศาสดาคนที่ 25 ของชาวมุสลิม

ส่วนทางอิสราเอลก็เล่าว่า กษัตริย์โซโลมอนเป็นราชโอรสของกษัตริย์ดาวิดและปกครองอิสราเอลต่อจากกษัตริย์ดาวิด

อันที่จริง อย่าว่าแต่มนุษย์เราเคยมีบรรพกษัตริย์พระองค์เดียวกันเลยถ้าพูดให้สุดๆเราก็ต้องพูดว่ามนุษย์ทั้งโลกก็ล้วนมีบรรพบุรุษเดียวกัน

เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมก็จะขออนุญาตออกตัวก่อนไว้ก่อนครับหากมีผู้เคร่งศาสนาซึ่งไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตามมาอ่านบทความนี้เข้าแล้วรู้สึกว่าบทความนี้บิดเบือนผิดไปจากความรู้ที่ท่านมีอยู่ไม่ว่าจะในแง่ประวัติศาสตร์ หรือการสะกดชื่อผมก็ขอแสดงความจริงใจขอโทษไว้ตรงนี้เลยครับและที่ต้องบอกไว้ล่วงหน้าก็คือบทความนี้ไม่ได้มีเจตจำนงจะดูแคลนศาสนาใดๆ เลยตรงกันข้าม ด้วยความเป็นคนที่เชื่อว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีผมจึงเห็นว่าเรื่องเกร็ดของกษัตริย์โซโลมอนที่ผมกำลังเล่าให้ฟังนี้สอดคล้องกับคำสั่งสอนของทุกศาสนาอย่าง แน่นอน

ย่อหน้าต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าในเชิงเทพพยากรณ์เกี่ยวกับกษัตริย์โซโลมอนซึ่งไม่ว่าตำนานกษัตริย์โบราณของประเทศไหนๆก็ย่อมมีเรื่องเกี่ยวกับเทพพยากรณ์ทั้งนั้น

แต่หนแรกโซโลมอนได้ไปขอสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อจะได้นำมาใช้ในการปกครองอาณาจักรแต่ต่อมาพระองค์ไม่ยอมดำเนินในแนวทางของพระเจ้าพระเจ้าจึงลงโทษให้อาณาจักรถูกแยกเป็น 2 ส่วนเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์กลายเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ต่อมาฝ่ายเหนือล่มสลายไปด้วยน้ำมือของอาณาจักรอัสซีเรียและฝ่ายใต้ก็ล่มสลายด้วยน้ำมือของอาณาจักรบาบิโลนและนี่เป็นเหตุให้คนอิสราเอลต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลกนับแต่บัดนั้น

เรื่องราวของโซโลมอนนี้มีหลายฉบับอันนี้ต้องยอมรับความจริงว่าเรื่องราวที่ผ่านไปตั้งสองสามพันปีมาแล้วนี่ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นกันด้วยปากต่อปาก และหลังจากนั้นจึงบันทึกด้วยอักขระแต่ถึงจะบันทึกอักขระบนหนังสัตว์หรือก้อนหินอย่างไรเสียก็ต้องมีเลือนมีเพิ่มเข้าไปบ้างตามแต่วัตถุประสงค์ของผู้เล่าและผู้บันทึกดูประวัติศาสตร์ไทยเป็นตัวอย่างเอาก็ได้ให้ย้อนหลังไปแค่เจ็ดร้อยแปดร้อยปีนี่ก็พอนักประวัติศาสตร์ก็ยังถกเถียงกันอยู่เลย

ส่วนที่พูดตรงกัน และเป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ก็คืออาณาจักรที่อยู่ภายใต้การปกครองของโซโลมอนนั้นมีความมั่งคั่งทางการค้าอย่างมากพระองค์ทรงสร้างโบสถ์อันงดงามที่นครเยรูซาเลมและได้สร้างพระราชวังใหญ่โตอยู่ใกล้ๆ กัน

และก็ย่อมเป็นธรรมดาสำหรับมหานครที่มีความเจริญผู้คนที่ต้องเดินทางไกลก็มักจะต้องผ่านแวะเวียนผ่านไปมาเสมอ เปรียบง่ายๆเราเป็นคนเพชรบุรีจะขึ้นเหนือ มันก็น่าจะแวะกรุงเทพฯเสียหน่อย ดังนั้นจึงเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้วที่กองเรือสินค้าที่ต้องล่องผ่านทะเลแดงไปยังอาณาจักรโอฟีร์อีกฟากหนึ่งต้องนำ เอาทองคำมาถวายพระองค์อีกทั้งรายได้ในการเก็บภาษีจากพ่อค้าที่ผ่านไปมานั้นก็มากมายมหาศาล

อาณาจักรไหนรวยหรือไม่รวยนั้นเขาว่าให้ดูจากตำนานมหาสมบัติเพราะถ้าอาณาจักรไหนมีตำนานมหาสมบัติหลายฉบับนั่นก็แสดงว่าความร่ำรวยนั้นมีมูลความจริงอยู่มากในกรณีของโซโลมอนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั้งนิยายและภาพยนตร์ที่อ้างถึงกรุสมบัติของพระองค์นั้นมีนับไม่ถ้วน

ชุมชนของมนุษย์นั้น หากภาพรวมทางเศรษฐกิจเหลือกินเหลือใช้ ไร้ซึ่งสงครามกวนใจทั้งนครก็จะเต็มไปด้วยช่างและกวีเศรษฐกิจกับศิลปวัฒนธรรมมันเป็นของคู่กันนี่ครับสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้นมาประดับโลกแม้จะด้วยสติปัญญาก็จริงแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ย่อม ขาดความเรืองรุ่งทางเศรษฐกิจไม่ได้ก็คงเหมือนทุกวันนี้แหละครับ ประเทศจนๆ จะไปจัดโอลิมปิคให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรต่อให้มีความคิดสวยหรูในการจัดมากเท่าไรก็เถอะ

เนื่องจากกษัตริย์โซโลมอนเป็นกษัตริย์ที่ทรงโปรดกวีและศิลปะและแม้พระองค์จะได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลมมากคนหนึ่งแต่พระองค์ก็ยังทรงมีนักปราชญ์และกวีเป็นที่ปรึกษามากมายงานวรรณกรรมที่ว่ากันว่าเกิดในยุคนั้นก็ยังมีหลงเหลือเล่าขานมาถึงทุกวันนี้ที่ผมเห็นเคยรวมเล่มเป็นภาษาไทยก็คือ สุภาษิตโซโลมอน บทเพลงโซโลมอน ฯลฯและที่เคยอ่านผ่านตามาบ้าง ผมว่าทางเยรูซาเล็มนี่ก็คมคายไม่แพ้ทางกรีกเหมือนกัน

จะด้วยพระองค์ทรงร่ำรวยมากจนเกิดความต้องการแปลกๆ หรือจะด้วยอยากลองภูมิปราชญ์ที่ปรึกษาของตัวเองก็ไม่รู้ได้พระราชโองการฉบับที่ผมเล่าไว้ตอนต้นจึงเกิดขึ้น

ความต้องการของพระองค์คือแหวนหนึ่งวง

แหวนที่สลักคำจารึกที่จะทำให้พระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ ทำเล่นไปแหวนอย่างนี้ผมว่าอานุภาพของมันน่าจะยิ่งใหญ่กว่าแหวนในนิยายเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์นะครับ

รายละเอียดของพระราชโองการนี้ก็คือ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ในอารมณ์ใดก็ตามหากพระองค์ทอดพระเนตรไปที่แหวน แหวนนี้จะต้องเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้ไม่คำนึงว่าพระองค์จะทรงโทมนัสหรือทรงโสมนัสอยู่ หรือต่อให้พระองค์ทรงกริ้วอยู่แหวนนี้ก็จักต้องสามารถทำให้หายกริ้วได้
ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่พระองค์กำลังทรงสำราญ
แหวนวงนี้ก็ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาให้ทรงหายสำราญได้

เมื่อฟังโองการจบเหล่าอำมาตย์ต่างก็คิดกันหนักว่าจะไปหาแหวนวิเศษขนาดนั้นจากที่ไหน ช่างและกวีทั่วทั้งเยรูซาเลมถูกตามตัวมารับงานขึ้นเรือนแหวน นักบวชตามวิหารต่างๆถูกตามมาสร้างสวดมนต์เพื่อแหวนแล้วก็เป็นอย่างที่เหล่าอำมาตย์คาดไว้ไม่มีใครสามารถสร้างแหวนที่ทรงพลานุภาพอย่างนั้นได้การประชุมของเหล่าที่ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีแทบทุกวันวันกำหนดที่จะถวายแหวนแด่พระองค์ก็ใกล้เข้ามาทุกทีความกังวลนั้นเข้ามาอยู่ยึดอยู่ในจิตใจของทุกคนแต่ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นปราชญ์เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของกษัตริย์โซโลมอนเพราะถ้าทำไม่สำเร็จพระราชอาญาก็คงต้องตกกับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว

ความกังวลเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าใครก็ตามก็มักจะก่อตัวใหญ่ขึ้นและเมื่อกังวลเรื่องหนึ่งได้มันก็จะกังวลต่อไปอีกไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องปราชญ์เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าก็เช่นกันถึงตอนนี้แล้วความกังวลมากมายจึงก่อตัววนอยู่รอบๆ ความคิดของปราชญ์เฒ่าไหนจะเรื่องพระราชอาญาที่อาจถึงแก่ชีวิต ไหนจะเรื่องครอบครัวไหนจะเรื่องความจงรักภักดี ฯลฯ

และเมื่อถึงที่สุดแล้ว ความเป็นปราชญ์ของเขาก็คิดได้ว่า เขาจะกังวลไปทำไมในเมื่อความมั่นคงในชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริงมันไม่เคยมีจริงคนเรานั้นจะดีใจหรือหดหู่กับเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายมากเกินไปทำไม

และในวินาทีนั้นเองท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะเปิดออกให้ได้เห็นแสงสว่างในวันที่ถวายแหวนวิเศษแด่กษัตริย์โซโลมอนทันทีที่พระองค์หยิบแหวนขึ้นมาทอดพระเนตรคำจารึก พระองค์ถึงกับนิ่งไปพักใหญ่แล้วจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ออกมาอย่างพึงใจเหล่าอำมาตย์ทั้งปวงจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงถวายพระพรในแหวนวิเศษนั้นมีคำจารึกไว้ว่า

"แล้วสิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน"

ไม่มีความคิดเห็น: