วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ผู้หญิงเลี้ยวซ้ายผู้ชายเลี้ยวขวา - 10 ต.ค. 2547

ผู้หญิงเลี้ยวซ้ายผู้ชายเลี้ยวขวา - 10 ต.ค. 2547


คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์


เมื่อ ครั้งที่ยังเป็นนิสิตสถาปัตย์อยู่นั้น สบช่องคราใดที่จุฬาฯจัดงานไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางวิชาการหรือไม่วิชาการก็ ตาม เด็กสถาปัตย์อย่างพวกผมจะต้องหาเรื่องเอาผ้าดำมากั้นฉากตรงแถวๆ บริเวณที่จอดรถแปลงเป็นโรงฉายหนังบ้าง เป็นโรงละครโรงเล็กบ้าง

และ ทุกครั้งที่ทำโรงหนังทำมือ ไอ้พวกเพื่อนๆ หรือรุ่นน้องที่อยู่หน้าโรงก็มักสนุกปากกับการร้องเรียกผู้คนให้เข้ามาดูการ แสดง ประโยคหนึ่งซึ่งผมจำได้ติดหัวเพราะนึกถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้คือ "สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา ผู้หญิงเลี้ยวซ้ายผู้ชายเลี้ยวขวา แล้วเข้าไปเจอหน้ากันตรงกลาง"

ผมลองนั่งนึกเล่นๆ ประโยคนี้น่าขันตรงไหน

ตอบ เล่นๆ ก็คงต้องตอบว่าเป็นเพราะผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน(ในสถานการณ์นั้น) ลองนึกตามดูสิครับ มันติดตลกตรงที่ทางเข้าจะแยกผู้หญิงผู้ชายอย่างกับทางเข้าห้องน้ำไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายมันก็ต้องไปนั่งรวมกันตรงกลาง

แต่ถ้าเราย้อนเวลา กลับไปในอดีตไกลๆ หน่อย ประโยคนี้อาจจะไม่เป็นประโยคเรียกรอยยิ้มอันใดเลย เพราะค่าที่ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ได้เท่าเทียมกันอย่างวันนี้

ในสมัย ที่ผู้หญิงผู้ชายเขาไม่ถูกเนื้อต้องตัวกันก่อนเป็นคู่ผัวตัวเมียนั้น หากมีโรงมหรสพทางเข้าออกของหญิงชายก็คงจะต้องเป็นอย่างที่ผมเล่ามา ในอินเดียบางแห่งยังเป็นอยู่เลยครับที่เขาแยกที่นั่งสวดมนต์ชายและหญิง บางที่นั้นผู้หญิงถูกแยกให้นั่งต่ำกว่าด้วยซ้ำ ส่วนทางประเทศจีนนี่แต่ก่อนเขาไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปแสดงงิ้วนะครับ ตัวนางนี่เขาใช้ผู้ชายแสดงแทนเลย

แทบจะทุกประวัติศาสตร์ของทุกประเทศ ผู้หญิงกับผู้ชายไม่เท่ากันมานานแล้ว

ถึงทุกวันนี้ผมก็ว่ามันยังไม่เท่ากัน แม้กฎหมายจะถูกแก้ไขให้เท่าเทียมกันจนเกือบหมดแล้ว

จริง อยู่แม้จะไม่มีกฎหมายข้อใดเขียนบ่งบอก แต่สังคมส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้ความรู้สึกที่ว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้ากีดกัน ผู้หญิงไม่ให้ทำงานในบางส่วน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นหัวหน้า นักรณรงค์สิทธิสตรีใช้คำได้ชัดเจนเลยว่า สังคมไม่ค่อยให้โอกาสผู้หญิงเท่ากับให้โอกาสผู้ชาย ถ้าเป็นเรื่องโอกาสนี่ผมยกมือเชียร์เต็มที่นะครับ สำหรับมนุษย์แล้ว จะมีอะไรดีกว่าโอกาสที่หยิบยื่นให้กัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเปลี่ยนนามสกุลหรือไม่เปลี่ยนนามสกุลนี่ ผมเฉยๆ นะครับ และก็ไม่เคยเห็นว่ามันไปเกี่ยวอะไรกับการกดขี่ทางเพศ ถามกลับเลยครับสำหรับคุณผู้หญิงที่คิดว่าการใช้นามสกุลสามีเป็นการเสีย เปรียบทางเพศ

ถามง่ายๆ ครับว่านามสกุลเดิมของคุณนั้นของคุณพ่อหรือของคุณแม่

ผมพูดอย่างนี้นี่ ผู้หญิงหลายคนคงอยากถามผมแล้วกระมังว่า แล้วตัวผมนั้นคิดว่าผู้หญิงกับผู้ชายเท่ากันไหม

ผมก็คงต้องตอบตรงๆ ว่า ไม่เท่ากัน

เพราะเรามีร่างกายที่แตกต่างกัน นั่นคือเหตุผลเดียวเท่านั้นสำหรับผม

แม้ จะมีใครออกมาพูดว่าผู้หญิงละเอียดอ่อนกว่า ผู้ชายคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลกว่า ผู้ชายใช้สมองซีกซ้ายที่ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าใช้งานในเรื่องเหตุผล เรื่องการคำนวณได้ดีกว่า ส่วนผู้หญิงใช้สมองซีกขวาที่เน้นการทำงานด้านศิลปะ หรือภาษาศาสตร์ได้ดีกว่า ผมก็ว่ามันเป็นเหตุผลที่ไม่มีข้อสรุปเอกฉันท์ขนาดนั้น

ผู้หญิงที่ เด็ดขาด คิดเลขเก่ง เหตุผลลึกซึ้งหนักแน่น ผมก็เจอบ่อยไป และก็คงมีจำนวนไม่น้อยกว่าผู้ชายที่พูดได้หลายภาษา ละเอียดอ่อนกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆอย่างสม่ำเสมอ แถมยังแต่งตัวเก่งอีกต่างหาก

อย่างไรผมก็เชื่อว่าเพียงว่าหญิงกับชายไม่เท่ากันตรงที่ร่างกายเท่านั้น

ข้าม เรื่องสิทธิอันพึงจะได้รับภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกันไปเลยนะครับ เรื่องสิทธิพื้นฐานนี้ไม่เพียงแต่เส้นแบ่งชายหญิงเท่านั้นที่ควรเท่ากัน มนุษย์ทั้งโลกไม่ว่าจะแบ่งที่ผิวพรรณแบ่งที่ภาษาหรือเส้นอิควอเตอร์มันก็ควร จะเท่ากันอย่างไม่มีข้อยกเว้นครับ

ผมเคยเห็นน้องผู้หญิงหลายๆ คนในสำนักงานนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลามีประจำเดือน ยิ่งรู้สึกตอกย้ำว่า ร่างกายของชายหญิงมันไม่เหมือนกันจริงๆ สารเคมีทีหลั่งออกมาจึงทำให้เราแตกต่างกัน

ไหนจะเรื่องการตั้งครรภ์ที่เป็นทั้งภาระและความภาคภูมิของผู้หญิงฝ่ายเดียวอีกเล่า

ไม่ รู้สิครับ ความไม่เท่าเทียมกันทางร่างกายนี่ผมว่า บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงนั่นแหละน่าจะได้สิทธิ์มากกว่าผู้ชายหลายต่อ หน่อย กะอีแค่ลุกขึ้นให้ผู้หญิงนั่งบนรถเมล์คงไม่น่าจะพออันใด

การลาคลอด ลาเลี้ยงลูก ลาให้นมลูก ลาป่วยรอบเดือน ฯลฯ ตรงนี้ผู้หญิงน่าเห็นใจจริงๆ นะครับ

อย่างน้อยสุดเรื่องง่ายๆ ที่เห็นตำตาทุกวันนี้ที่ผมอยากให้ผู้หญิงได้มากว่าผู้ชายนั่นก็คือห้องน้ำหญิง

ผม ก็เรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มา ไม่เคยเห็นมีตำราเล่มไหนหรืออาจารย์ท่านไหนสอนเลยครับว่า ห้องน้ำหญิงต้องมีขนาดใหญ่กว่าห้องน้ำชาย ท่านผู้อ่านเห็นเหมือนผมไหมครับห้องน้ำสาธารณะทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นโรงหนัง โรงละคร สนามกีฬา ห้องน้ำหญิงจะมีคิวต่อกันยาวมาก

นั่นเพราะร่างกายเราแตกต่างกัน การขับถ่ายก็ย่อมใช้วิธีและเวลาแตกต่างกัน

น้อง คนหนึ่งเขียนมาถามผมว่า ทำไมผู้หญิงจึงเป็นเพศที่เข้าใจยากนัก ผู้หญิงเป็นเพศที่ไร้เหตุผลอย่างนั้นหรือ ขออนุญาตตอบไว้ตรงนี้นะครับว่ามันมีอยู่สามขั้นตอนที่น้องจะต้องผ่านเกี่ยว กับความเข้าใจในตัวผู้หญิงนั่นคือ

ขั้นแรก ขั้นของการเข้าใจว่าผู้หญิงกับผู้ชายไม่ต่างกัน เด็กๆ จะรู้สึกอย่างนั้นกันทุกคน พวกเขาไม่ค่อยแบ่งเพศหรอกครับ

ขั้น ที่สอง ขั้นของการเข้าใจว่าผู้หญิงกับผู้ชายต่างกัน คิดอะไรไม่เหมือนกัน รู้สึกอะไรไม่เหมือนกัน ขั้นนี้นี่คนแตกหนุ่มจะเป็นแทบทุกคน โดยเฉพาะคนที่ตกอยู่ในหลุมดำของความรัก

ขั้นที่สาม ขั้นของการเข้าใจว่า แท้จริงแล้วผู้หญิงกับผู้ชายไม่ต่างอะไรกัน เราต่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยเหตุผลและเป็นคนที่ไร้เหตุผลไม่แพ้กัน

ฮิตเลอร์เคยกล่าวไว้ว่า "มหาชนก็คือผู้หญิง"

ต้อง ยอมรับก่อนนะครับว่านอกจากเป็นนักการทหารแล้ว ฮิตเลอร์นี่เป็นนักการตลาดตัวยงคนหนึ่ง เขาสามารถดึงดูดให้คนทั้งเยอรมันเห็นดีเห็นงามกับลัทธินาซีเพื่อก่อสงคราม ล้างเผ่าพันธุ์กับคนที่เขาอ้างว่าไม่ใช่ชาติอารยันมาแล้ว

ผู้ชาย นั้นถูกเข้าใจและยกย่องเกินเหตุมานานแล้วว่าพวกเขาตัดสินทุกๆ อย่าง พวกเขาไขทุกๆ ปัญหาจากการขบคิดเอาเหตุผลเป็นหลัก ส่วนผู้หญิงนั้นตรงกันข้ามพวกเธอถูกสรุปไปเสียแล้วว่าใช้อารมณ์ตัดสิน มากกว่าใช้เหตุผล

คำกล่าวของฮิตเลอร์บอกอะไรถึงเรื่องนี้ ฮิตเลอร์เชื่อว่าไม่ว่าหญิงหรือชาย สุดท้ายต่างก็ใช้อารมณ์แห่งความพึงใจเพื่อตัดสินอะไรสักอย่างทั้งสิ้น ฮิตเลอร์จึงว่ามหาชนนั้นก็คือผู้หญิงทั้งหมด

ตามความรู้สึกของผมนะ ครับ บุคลิกของผู้ชายที่ทำท่าทำทางตัดสินอะไรด้วยเหตุผลนั้นมันเหมือนเป็นแค่ เปลือกหรือเยื่อบางๆ หุ้มอยู่เท่านั้น จริงอยู่พวกผู้ชายอาจจะแสดงการตัดสินปัญหาด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์อยู่ เนืองๆ ก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องแรงๆ ที่สั่นสะเทือนถึงก้นบึ้งละก็ เยื่อบางๆ จะกะเทาะออกทันที ถึงทีนี้ไอ้ความไร้เหตุผลของผู้ชายจะโผล่ออกมาอย่างน่าเกลียดทีเดียว เคยเห็นใช่ไหมครับลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ

ผมมีเพื่อน สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นเพื่อนผมทั้งสามีและภรรยา วันหนึ่งเราเดินทักกันที่ห้างสรรพสินค้า ก่อนแยกจากกันผมได้ยินสามีเขาพูดขึ้นมาแล้วก็อดขันไม่ได้

สามีเขา ถามภรรยาว่าตกลงจะไปที่แผนกกีฬาเลยไหม ภรรยาตอบว่าขอแยกตัวไปเลือกสีของลิปสติกอีกที สามีจึงว่า เลือกตั้งนานแล้วยังไม่ถูกใจอีกหรือ ภรรยาตอบว่าสีที่ชอบมากๆ นั้นยี่ห้อที่อยากได้เขาไม่ได้ทำมาขาย เลยต้องไปเลือกใหม่ สามีจึงพูดเบาๆ ว่า ไร้สาระเหลือเกินกะอีแค่สีลิปสติก

ว่าแล้วสามีก็แยกตัวไปที่ แผนกกีฬา ผมเดาเอาว่าเขาคงไปที่ส่วนของอุปกรณ์กีฬากอล์ฟ เพราะเพื่อนของผมคนนี้มันชอบเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ เคยได้รู้มาว่าเขาชอบสะสมพัตเตอร์ คุยเรื่องกอล์ฟทีไรผมก็ได้ยินเขาบ่นเรื่องที่ตัวเองพัตต์ลูกลงหลุมได้ไม่ดี และก็ชอบหากลวิธีพัตต์แบบมืออาชีพคนโน้นทีคนนั้นมาอ่านอยู่เรื่อยๆ

ใน ความเห็นผมแล้ว ไม่ว่าจะการเปลี่ยนพัตเตอร์หรือการเลือกเฉดสีของลิปสติก มันทั้งไร้สาระเท่ากันและสมเหตุสมผลเท่าๆ กันครับ พูดแบบลวกๆ ง่ายๆ ก็ต้องพูดว่า "ก็อีแค่เลือกสีลิปสติก ก็อีแค่เกมเขี่ยลูกขาวๆ ให้ลงหลุม"

เพื่อนของผมอีกคนหนึ่งเคยพูดขึ้นมาระหว่างวงสนทนานินทาผู้หญิงว่า สัญลักษณ์ของผู้หญิงคือถุงน่อง

เขา ให้เหตุผลว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่มันปกปิดแต่ทำไมดูแล้วโป๊ มันออกจะไร้สาระใครๆ ดูก็ต้องรู้ว่ามันไม่ใช่สีผิวจริงๆ แต่มันก็ทำให้ผู้หญิงทุกคนสวยขึ้น

แล้วท่านผู้อ่านรู้ไหมครับว่าคนที่คิดใยสังเคราะห์ที่เราเรียกว่าไนล่อนนี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

ผู้ชายครับ รวมไปถึงเจ้าคนที่ประดิษฐ์คิดค้นถุงน่องจากไนล่อนนี่ก็เป็นผู้ชาย

นั่ง นึกไปเล่นๆ ก็สนุกดีนะครับ ผู้ชายคนหนึ่งตั้งใจค้นคว้าอย่างจริงจังให้เกิดสิ่งประดิษฐ์สิ่งหนึ่งขึ้น และสิ่งประดิษฐ์ชิ้นเดียวกันนี้ก็ถูกผู้ชายอีกคนหนึ่งพูดว่ามันช่างไร้สาระ เสียจริง

วันนั้นผมไม่ได้ตอบเพื่อนผมไปหรอกว่า อันที่จริงสัญลักษณ์ของผู้ชายมันก็น่าจะเป็นถุงน่องเหมือนกัน

เหตุผลของผมก็คือ ทั้งๆ ที่พวกเขาคิดว่ามันไร้สาระ แต่พวกเขาก็ชอบมันมาก

หรือไอ้เพื่อนๆ ปากคันของผมสมัยเรียนสถาปัตย์มันพูดถูก ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา แล้วเข้าไปเจอหน้ากันตรงกลาง



ประภาส ชลศรานนท์


ที่มาของบทความ - มติชน วันอาทิตย์ หน้า 17

ไม่มีความคิดเห็น: