วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ในหลวงถาม หลวงปู่เทสก์ตอบ

พระราชปุจฉาของในหลวง:

"ที่สุดของศีล คืออะไร?
ที่สุดของสมาธิ คืออะไร?
และที่สุดของปัญญา คืออะไร?"


หลวงปู่เทสก์ท่านได้ถวายวิสัชนาพระองค์ว่า

"ที่สุดของศีล คือ เจตนาวิรัติ
ที่สุดของสมาธิ คือ อัปปนาสมาธิ
และที่สุดของปัญญา คือ ไตรลักษณ์"

[วารสารธรรมะใกล้ตัวฉบับปัจจุบัน (ฉบับ 56) http://dungtrin.com/mag/?56]

เจตนาวิรัติ
เจตนา วิรัติ คือ การงดเว้นจากเจตนาที่จะทำผิด เช่น การผิดศีลข้อหนึ่งแท้จริงแล้วต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ (๑) สัตว์มีชีวิต, (๒) รู้ว่าสัตว์มีชีวิต, (๓) มีเจตนาที่จะฆ่า, (๔) มีความพยายามจะฆ่า, และ (๕) สัตว์ตาย กล่าวคือทันที่มีความแน่วแน่ที่จะละเว้นจากการทำผิด ทำยังไงก็ไม่ผิดศีล เช่น หากเราเดินอยู่ในที่มืดแล้วบังเอิญไปเหยียบมดเคราะห์ร้ายเดินหลงทางมาตาย หนึ่งตัว หากในการเดินของเราไม่มีเจตนาที่จะทำลายชีวิตอื่นเจือปนอยู่เลย ก็ไม่ผิดศีล

จุดนี้แหละที่อยากจะเน้น เพราะศีลมีไว้เพื่อขัดเกลาตนให้อยู่ในกอบอันดีงาม โดยเน้นที่กายกรรมกับวจีกรรม แต่อริยะชนผู้ขัดเกลาตนจนดีแล้วจะไม่ผิดศีลเลย เพราะมโนกรรมหยาบชั่วไม่อาจมาครอบงำจิตให้ผิดศีลได้ พวกเราก็ไม่ควรที่จะรักษาศีลโดยคิดแต่เดินตามบาลี โดยลืมที่จุดประสงค์ของศีล เพราะถึงบทบัญญัติของมันจะพูดถึงกายกับวาจา แต่แก่นแท้ของมันกับเป็นเรื่องของใจ ในทำนองเดียวกันกับเรื่องของกฎหมายหรือกฎระเบียบขององค์กรต่างๆ ก็อยากจะฝากให้คนที่อาจจะคิดทำตัวหัวใส (แต่ที่จริงหมอง) ว่าอย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของของกฎหมายและกฎระเบียบ อย่าได้คิดว่าถ้าคนจับไม่ได้หรือศาลไม่ได้ตัดสินว่าเราผิด แสดงว่าเราไม่ผิด เพราะแก่นแท้ของการอยู่ภายใต้กฎหมายก็คือ การทำตามจุดประสงค์อันดีงามของกฎหมายนั่นเอง

ส่วนเรื่องของสมาธิ อัปนาสมาธิ ก็คือสมาธิอันแน่วแน่ที่เกิดขึ้นขณะเข้าถึงฌาณนั่นเอง ในภาวะนี้จิตจะไม่ถูกรบกวนด้วยเครื่องกีดขวางในการเจริญปัญญา คือ ในขณะนั้นจิตจะว่างจากความพอใจในกาม ว่างจากความโกระเกลียดพยาบาท ว่างจากความหดหู่ซืมเซา ว่างจากความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และ ว่างจากความลังเลสงสัยในสิ่งที่จิตรับรู้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการพูดถึงเรื่องสมาธิกันมากในศาสนาพุทธเพราะมันทำให้จิต มีความพร้อมมากขึ้นในการเจริญปัญญา อย่างไรก็ตามในการศึกษาธรรมนั้นหลายคนอาจจะเริ่มที่การใช้ปัญญาในการพัฒนา สมาธิก็ได้ กล่าวคือบุคคลบางจำพวกสามารถที่จะเริ่มต้นการเจริญปัญญาได้โดยที่มีสมาธิ เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ัาถึงฌาณก่อน แต่เมื่อปัญญาเจริญขึ้นมากแล้ว จิตจะเข้าใจโทษของความโลภโกรธหลง ว่างจากเครื่องกีดขวางปัญญาและตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยตัวเอง

และสุด ท้ายเรื่องของปัญญาอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการพัฒนาตนนั้นขอแนะนำให้อ่านจาก หนังสือทางเอก ถ้าใครอยากได้ลองติดต่อผมมา ผมอาจจะมีเหลืออยู่ หรืออ่านจากอินเตอร์เน็ตได้ที่ http://wimutti.net/books/tangake/main.htm?a=1
ส่วนถ้าใครไม่ชอบอ่านแต่ชอบฟังลองดาวน์โหลดพวกคำเทศน์ต่างๆ ได้ที่ http://wimutti.net/pramote/



ปิดทองหลังพระ

การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ 
ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่ 
เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว…"
  
"...ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อย ๆ 
แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง"

ในหลวงท่านทรงตรัสสอนพวกเราไว้อย่างนี้ค่ะว่า

"การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญ
และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย
เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว ถึงแม้จะมีใครร่วมมือด้วยหรือไม่ก็ตาม
ผลดีที่ทำจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน และยิ่งทำมากเข้า นานเข้า ยั่งยืนเข้า
ผลดีก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น และแผ่ขยายกว้างออกไปทุกที
คนที่ไม่เคยทำดีเพราะเขาไม่เคยเห็นผล ก็จะได้เห็นและหันเข้ามาตามอย่าง

หลักประกันสำคัญในการทำดีจึงอยู่ที่ว่า แต่ละคนต้องทำใจให้มั่นคง

ไม่หวั่นไหวกับสิ่งแวดล้อม ที่เห็นอยู่ ทราบอยู่ มากเกินไป จนเกิดความท้อถอย

เมื่อใจมั่นคงแล้ว ก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจ สร้างนิมิตและค่านิยมใหม่ขึ้นสำหรับตัวเอง

ตามที่พิจารณาเห็นดีด้วยเหตุผลอันถูกต้องเที่ยงตรงแล้ว
แล้วมุ่งหน้าปฏิบัติดำเนินไปให้เต็มกำลังจนบรรลุผลสำเร็จ

ในที่สุด ความดีความเจริญที่ปรารถนาก็จะเกิดทวีขึ้น
และจะเอาชนะความเสื่อมทรามต่าง ๆ ได้ไม่นานเกินรอ...
"

(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑)


วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักกัน



บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป
ที่ความรัก..จะต้องจบลง
ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก

บนเตียงเล็กๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง
แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง

หญิงชรา..อายุราวๆ 70 ปี
นอนซม...อยู่บนเตียง

เธอรู้ว่า...นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว ..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมา

เธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่น
แม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม

มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี
ถึงแม้วันนี้...สามีของเธอจะตายไป..ร่วม 10 ปี

แต่...ในวันสุดท้าย...ของชีวิต เพื่อนที่เธอรักที่สุด...
ก็มานั่งเคียงข้างเธอ...อยู่ตรงนี้
มาส่งเธอ...เหมือนทุกครั้ง...ทุกคราว

หมอบอกว่า...ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก
เธอ...เอ่ยบอกกับเขา ....
เพื่อนชรา...ที่รู้จักกับเธอมา..แต่ครั้งยังเด็ก

ฉันรู้
ชายชรา...พยักหน้ารับ

เธอมาส่งฉัน...เหมือนทุกทีสินะ
หญิงชรา...มองหน้าชายชรา

ใช่...ก็ฉันส่งเธอ..มาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ..ขาดไปอย่าง..คงไม่ครบ
ชายชราตอบ...ด้วยรอยยิ้มบางๆ

ตอนเด็กๆ..บ้านเรา..อยู่ทางเดียวกัน..เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น.. บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก..
เธอ..รำลึกความหลัง

แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน
ชายชราบอก

ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วยกัน ..จนเพื่อนๆล้อว่า..เราเป็นแฟนกัน
หญิงชราพูดขึ้น

สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป
เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ

ตั้งแต่..เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอ..นั่นแหละ
เธอเย้ายิ้มๆ

แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน..อยู่อย่างเดิม... จนต้องเลิกกับแฟน..ไม่ใช่รึ
ชายชรา..ทวนความหลัง

เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆว่า..ไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว.. เดี๋ยว แฟนเขาจะโกรธเอา.. แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ

โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอมาก่อนตั้งนาน ..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน

นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม ..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว..ก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้

วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย ..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่

พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ .. พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...

พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...เงยหน้าขึ้น บอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา

กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ

และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ

เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียน..และกลับมาบ้าน..เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ

ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี ..แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน ..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน

มัน..นอกใจเธอ
เขาบอกเรียบๆ..

แต่..เธอไม่เชื่อ

วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..จึงหาเรื่องชกต่อย ..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ

อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่า..เขาเป็นคนถูก ..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่..พ่อของเขา

มันกลับไป..แต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ..เห็นว่ามีธุระด่วน ..ไม่รู้อะไร

เธอส่งจดหมายไปขอโทษ ..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ ..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า

'กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ'

เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้นๆนั้น ..เขาพูดอะไรออกมา..มากมายขนาดไหน..

เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..
เธอจะแต่งงาน..

เขา..มองหน้าเธอ..
เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร
..ดีใจ?
..เสียใจ?
และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ
...เขาก็ตอบว่า..

“..เราใจหาย..

แต่ก่อนหน้านั้น.. ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้ นิสัยดี ...และรักเธอจริง

เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก

ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด ..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก ..

วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า..

ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ ..ไม่ต้องห่วง

เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบคำ

ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย ..แต่พูดกับสามีเธอ..เพียงสั้นๆ ว่า..

ฝากด้วยนะ..

เขาแต่งงาน..มีครอบครัวของเขา
เธอ..ก็มีครอบครัว..ของเธอ

มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป
แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน

เธอ..ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขา..ทุกๆปี
ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วล่ะ
เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ 58 ใบ
น้อยกว่า..อยู่ใบนึง..
เพราะเธอ..เกิดทีหลังเขา 5 เดือน..

บางที
...เธอรู้สึกสนิทกับเขา..มากกว่า..คนรักของเธอเสียอีก

หลายเรื่อง..ที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอ..ไม่แม้แต่ระแคะระคาย..

และก็เช่นกัน..หลายความลับ..ที่เขาระบาย ...ที่เขาฝากไว้ที่เธอ...เธอก็รับ...และเก็บงำมันไว้...ด้วยความเต็มใจ..

คิดอะไรอยู่?”
เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ

เรา...กำลังนึกแปลกใจ
เธอเอ่ย...ด้วยท่าทีครุ่นคิด

ทำไม...เราถึงไม่ได้เป็น...คนรักกัน?”

เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน

เราสนิทกันมาก..มั้ง
เขาว่า

นั่น...ไม่น่าใช่เหตุผลนี่
เธอว่า

เธอ..ถามยากไปนะ
เขาตอบ..หลังจากนิ่งคิดอีก..อยู่ครู่ใหญ่

ไม่ยากหรอก ..ลองคิดเล่นๆ สิว่า..ทำไมเราถึงไม่รักกันนะ?”

แววตาเธอ..มีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิง..ครั้งกระโน้น

อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย
เขาพูดขึ้น

เธอมองหน้าเขา..
แปลกใจเธอว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..

ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน
เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน

แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ
เขาเว้นช่วง
ฉันก็จะตอบว่า -- ฉันว่า..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย

เธอหลับตาลง.. คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง

นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย
เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง

ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว

ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่ เอื้อมมากุมมือเธอไว้

กลับบ้านเอง...เดินดีๆนะ..

และนั่น.. คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน