วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

พระศาสนา

. . พ ร ะ ศ า ส น า . .
จาก นสพ. มติชนคอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์

หลังจากที่ตอบจดหมายคุณอารยาที่เขียนมาชวนคุยในทัศนคติของเธอเกี่ยวกับความงมงายของศาสนิกชนเมื่ออาทิตย์ก่อน ก็ได้มีจดหมายที่เขียนเข้ามาคุยกันอีกหลายฉบับ
คราวนี้ขออนุญาตไม่นำลงนะครับ
ทั้งด้วยเหตุผลของความยาวในเนื้อความ และเหตุผลของคำหลายคำที่ไม่เหมาะสมนักสำหรับหนังสือพิมพ์ คงจะแค่เล่าให้ฟังย่อๆ พอให้คุยกันต่อในวันนี้

ฉบับหนึ่งเขียนมาจากชาวคริสต์ท่านหนึ่ง ว่ากล่าวตัวผมทำนองว่าถ้าไม่มีความรู้ในไบเบิลจริงก็ไม่ควรเขียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรือโนอาห์ที่บรรทุกสัตว์อย่างละคู่หนีน้ำท่วมโลก หรือเรื่องพระเจ้าสร้างมนุษย์ แล้วท่านก็แนะนำให้ผมดูที่เจตนาอย่าดูที่เนื้อหา เพราะถ้าอย่างนั้นละก็ ต้องย้อนมาดูพระประวัติของพระพุทธเจ้าเหมือนกันว่า การที่พระองค์นั่งทำสมาธิอยู่แล้วมีพญางูมาแผ่แม่เบี้ยกางกั้นไม่ให้ต้องสายฝนอย่างในหนังเรื่องลิตเติ้ลบุดด้านั้น เชื่อถือได้หรือ

นี่แหละครับถึงได้มีผู้หลักผู้ใหญ่เตือนผมเสมอเวลาที่จะต้องเขียนถึงศาสนาเปรียบเทียบ

อันที่จริงประเด็นที่ชาวคริสต์ท่านนั้นต่อว่าผม ก็เป็นประเด็นที่ผมชวนคุยในเมื่ออาทิตย์ก่อน นั่นคือ เมื่อพูดถึงเรื่องศรัทธาผมเน้นเรื่อง "เจตนา" มากกว่าเนื้อหา

ตัวผมเองก็มองว่าศาสนาคริสต์อย่างนั้น นั่นคือ ผมก็มองเห็นว่าพระคริสต์ก็สอนให้ตระหนักตลอดเวลาว่าทุกสิ่งในโลกถูกสร้างโดยพระเจ้า ดังนั้น มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่าได้ลำพองใจว่าตัวเองเป็นผู้สร้างสิ่งใด และสิ่งที่ตัวเองสร้างจะอยู่ต่อไปจนนิรันดร์

ถ้าแปลไทยเป็นไทยก็ต้องบอกว่า ผมพูดเรื่องเดียวกันกับชาวคริสต์ท่านนั้น

ถ้าใครที่อ่านที่ผมเขียนอยู่ตรงนี้ประจำก็คงน่าจะจำเรื่องสั้นที่ผมเขียนถึงมนุษย์สามสี่คนที่หาญกล้าไปพบกับพระเจ้า เพื่อจะบอกว่าให้พระเจ้าเลิกยุ่งกับมนุษย์ เพราะมนุษย์กำลังยโสว่าตัวเองสร้างได้หมดทุกอย่างแล้ว ซึ่งในตอนจบก็ได้หักมุมคลี่คลายให้มนุษย์สามสี่คนนั้นเข้าใจได้ว่า พวกเขายังไม่ได้สร้างอะไรเลย
กลับมาที่จดหมายของท่านผู้อ่านชาวคริสต์ท่านนั้นต่อครับ

ความน่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ ท่านชาวคริสต์ลองฟังดูนะครับ ท่านคงรู้สึกว่าผมเป็นคนต่างศาสนา แล้วเจ้าคนต่างศาสนาคนนี้กำลังจะมาจับผิดหรือดูแคลนอะไรสักอย่างศาสนาของท่าน ประมาณนี้ใช่ไหมครับ
ถ้าใช่ ผมก็จะขอเล่าถึงจดหมายจากชาวพุทธให้ท่านฟังอีกสองฉบับ

ฉบับแรกท่านใช้ชื่อว่า "ชาวพุทธ" ท่าทางท่านไม่ค่อยพอใจกับบทความของผมเมื่ออาทิตย์ก่อนนักเหมือนกัน เนื้อหาในจดหมายมีไม่มากเท่ากับการต่อว่าต่อขานผม ในทำนองที่ว่าเป็นชาวพุทธเสียเปล่า แต่ใยจึงเขียนออกมาทำนองว่าชาวพุทธส่วนใหญ่งมงาย รวมทั้งไปเขียนถึงศาลหลักเมืองหรือพระสยามเทวาธิราชแบบนั้น

ผมว่าผมก็ไม่ได้เขียนอะไรที่ลบหลู่เลย เพียงแค่ตั้งคำถามว่าหญิงชราสองคนตั้งอธิษฐานต่างกัน คนหนึ่งตั้งว่าขอให้ตัวเองถูกหวย ส่วนอีกคนหนึ่งตั้งว่าขอให้บ้านเมืองพ้นภัย สองคนนี้ใครงมงายหรือไม่งมงายกว่ากัน แค่นั้น

ส่วนจดหมายฉบับที่สองท่านใช้ชื่อว่า วัลลภ ธรรมรักษา ท่านนี้ใจดีครับ ถือว่าสร้างธรรมทานแก่ผม โดยยกพระไตรปิฎกมาเล่าให้ผมฟังถึงอำนาจฤทธาในศาสนาพุทธ เล่าถึงฌานสมาบัติทั้งแปด คล้ายจะเปิดหูเปิดตาให้ผมได้รับรู้ว่าปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งเหลือเชื่ออะไรเลย อิทธิฤทธิ์ที่คุณอารยาถามถึงนั้นล้วนเป็นของธรรมดา

นอกจากนี้ ท่านยังแนะนำที่ๆ จะให้ไปค้นคว้าในพระไตรปิฎกเล่มต่างๆ (ตัวอย่างเช่นในพระไตรปิฎกเล่มที่ 31 ปัญญาวรรค อิทธิกถา [679] ฤทธิ์เป็นอย่างไร ฤทธิ์มีเท่าไร ภูมิ บาท บท มูล แห่งฤทธิ์ มีอย่างละเท่าไร ฯ ฤทธิ์ที่อธิษฐาน 1 ฤทธิ์ที่แผลงได้ต่างๆ 1 ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ 1 ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยญาณ 1 ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยสมาธิ 1 ฤทธิ์ของพระอริยะ 1 ฤทธิ์เกิดแต่ผลกรรม 1 ฤทธิ์ของท่านผู้มีบุญ 1 ฤทธิ์ที่สำเร็จแต่วิชา 1 ฯลฯ)
แต่สุดท้ายแล้วท่านก็ว่าฌานสมาบัตินั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่คงที่ ด้วยอำนาจของไตรสิกขา(ศีล สมาธิ และปัญญา) จะทำให้เกิดญาณที่เรียกว่า อาสวักขยญาณ ที่สำคัญกว่าฌานชั้นต้นๆ และด้วยญาณนี้แหละที่จะทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่สิ้นสุด

เหมือนกับท่านจะบอกกับผมว่า ปาฏิหาริย์ถึงจะมีก็ไม่สำคัญเท่ากับแก่นแห่งพระศาสนา

จะว่าไปชาวพุทธท่านนี้ก็พูดเรื่องเดียวกันกับชาวคริสต์ท่านนั้น นั่นคือพุ่งไปที่แก่นของพระศาสนา

ดังนั้น ไม่ว่าจะมีรายละเอียดใดๆ ว่ามีดอกบัวกี่ดอกบานขึ้นมารองรับพระบาทขององค์เจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติ และไม่ว่าจะบอกว่าพระเยซูตายแล้วฟื้นกี่ครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาพิสูจน์กันด้วยวิทยาศาสตร์ว่า เด็กเกิดมาแล้วเดินได้มีจริงไหม ตายแล้วฟื้นมีจริงไหม

เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็คงต้องขอกล่าวหาคนที่พยายามจะพิสูจน์อะไรต่อมิอะไรในรายละเอียดปลีกย่อยของพระศาสนาว่าเป็นพวกงมงายประเภทหนึ่ง นั่นคือ "งมงายในวิทยาศาสตร์"

ในศาสนามีส่วนประกอบอยู่หลายส่วน เพราะศาสนาผ่านกาลเวลามานับพันปี มีการเติมการต่อการตัด รวมไปถึงการตีความแล้วสร้างใหม่ ไม่ว่าอะไรในโลกก็อย่างนี้ทั้งนั้นแหละครับ พอมันผ่านมือมนุษย์ไปทีละมือทีละยุค มันก็จะค่อยๆ เพี้ยนไปเรื่อยๆ

ผมก็ยังคงพูดอย่างเก่าที่พูดไว้ตรงนี้มาหลายสิบหนแล้ว นั่นคือถ้าลองมองกลับไปที่แก่นแท้ของพระศาสนาทุกศาสนาเราจะเจอสิ่งเดียวกัน

ศาสดาทุกพระองค์ล้วนสอนให้เราเลิกเห็นแก่ตัว ศาสนาพุทธสอนให้ละตัวตน ส่วนศาสนาที่นับถือพระเจ้าอย่างศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามก็สอนให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นเยี่ยงพระเจ้า
อ่านดีๆ สิครับ ผมว่าแก่นของศาสนาก็มีเพียงนี้

หลังจากอ่านบรรทัดข้างบนดีพอแล้ว ลองอ่านบรรทัดข้างล่างต่อดูครับ
วัดใกล้ๆ บ้านเพื่อนผมแถวๆ ฝั่งธนบุรี เปิดเทปเสียงทำวัดเช้าเย็นดังลั่นข้ามเข้ามาในหมู่บ้าน จนฝรั่งที่อยู่บ้านใกล้ๆ ถามเพื่อนผมว่า ศาสนาพุทธต้องส่งเสียงดังโอ้อวดการสวดมนต์ขนาดนี้เชียวหรือ และถ้าวันดีคืนดีถ้ามีงานทำบุญฝังลูกนิมิตก็จะมีมหรสพทั้งลิเกและหนังว่ากันดังขรมจนถึงเช้า ชาวคริสต์อย่างฝรั่งท่านนั้นคงรู้สึกไม่ดีกับวัดไทยเป็นแน่

ในพิธีกรรมของคริสต์ศาสนาบางพิธี มีการดื่มไวน์ที่คนในศาสนาพุทธถือเป็นของมึนเมา และเป็นศีลข้อสำคัญในห้าข้อที่ชาวพุทธถือห้าม
ในศีลข้อแรกแห่งเบญจศีลคือห้ามฆ่าสัตว์ มักมีคำถามตามมาว่าจะมีใครทำได้บ้างในชีวิตประจำวัน ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ล้วนต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาชีพ ในตลาดของชาวพุทธมีการขอดเกล็ดปลา ทุบหัวปลากันทุกๆ ชั่วโมง ในบางพื้นที่ก็มีการล้มวัวเลี้ยงผู้คนในงานบุญ
ข้อหาแม่มดพ่อมดเป็นข้อหามักง่ายที่สุดที่คริสตจักรยัดเยียดให้ผู้คนเพื่อเผาทั้งเป็นมานับพันนับหมื่นแล้ว คนในศาสนาฆ่าคนอื่นได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ
ผู้ที่อ้างว่าตัวเองว่าเคร่งครัดในศาสนาอิสลามทั้งในตะวันออกกลางและภาคใต้ของไทย ก็ยังคงฆ่าผู้อื่นโดยอ้างพระเจ้าอยู่
ชาวคริสต์ผู้ยิ่งใหญ่ที่พูดถึงสันติในมวลมนุษย์ ยังคงเดินหน้าขายอาวุธให้คนในศาสนาอื่นเอาไปฆ่ากัน
วัดบางวัดในสังคมพุทธออกเครื่องรางของขลังเป็นเหรียญ ใช้ชื่อว่าเหรียญดูดเงิน โดยอธิบายสรรพคุณว่า ผู้มีไว้จะดูดเงินเข้ากระเป๋าได้ไม่มีวันจน ตั้งคำถามแบบชาวพุทธง่ายๆ เงินคนอื่นไปดูดเขามาได้อย่างไร ของๆ คนอื่นแท้ๆ ทำไมเห็นแก่ตัวอย่างนี้
ฯลฯ
เราจะคิดกับเรื่องเหล่านี้อย่างไรดี
ข้อเท็จจริงอีกข้อหนึ่งที่ผมรู้สึกก็คือ ผองมนุษย์ชอบเอากระพี้ที่พอกศาสนาจนหนาเหล่านี้มากระแทกใส่กัน

น่ากลัวออกครับ

ไม่มีความคิดเห็น: