คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์
พี่ประภาส
ดิฉัน ทำงานมาได้หกเจ็ดเดือนแล้ว ได้งานตั้งแต่ก่อนเรียนจบ ถึงแม้จะเป็นงานแบบที่ใฝ่ฝัน แต่สังคมในที่ทำงานนี่ทำเอาแทบจะรับไม่ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนรอบๆ ตัวจะแบ่งเป็นฝักฝ่าย ใครไม่อยู่ฝ่ายตัวเองก็จะนินทา ที่รับไม่ได้ที่สุดก็เพื่อนที่นั่งทำงานติดกัน ทำงานเอาหน้าเฉพาะเวลาหัวหน้าเข้ามา อยากหางานใหม่หาสังคมใหม่ๆ อยู่ แต่ก็ยังไม่กล้าออก เพราะแม่ขู่ว่าถ้าออกแล้วไม่ได้งานใหม่แม่จะไม่เลี้ยงแล้ว พี่ประภาสมีอะไรแนะนำคนที่จำเป็นต้องอยู่ในที่ๆ ไม่อยากอยู่บ้างมั้ย ทุกวันนี้ไปทำงานแบบพอถึงเวลาเลิกงานทีไร ก็ได้แต่คิดว่าเสร็จไปอีกวันนึง
ฝากคิดถึงแม่เภาด้วย ชอบแม่เภาทุกตอนเลย อยากให้แม่เภามาอยู่ที่ออฟฟิศที่นี่บ้าง เผื่อจะช่วยแก้ให้อะไรมันดีขึ้น
==========================================
ผมเองก็คิดถึงแม่เภาไม่แพ้กัน อย่ากระนั้นเลย ให้แม่เภามาเยี่ยมพวกเรากันเสียหน่อยคงจะดี
ตั้งแต่พิมพ์ดีลูกสาวคนเล็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็เพิ่งครั้งนี้แหละที่แม่เภาได้มานอนค้างกับลูกที่หอพักเอกชนข้างๆ มหาวิทยาลัย
"แม่ได้ยินเสียงไหม" พิมพ์ดีเอ่ยปากถามทันทีที่แม่เภาออกจากห้องน้ำ
แม่เภาเอาผ้าเช็ดตัวมาตากที่ราวตากผ้าในห้อง "เสียงอะไรหรือ
" ก็เสียงที่มันดังเข้ามาทางบานเกล็ดห้องน้ำน่ะ" ลูกสาวตอบ "ด้านหลังห้องน้ำมันเป็นครัวของร้านอาหารอีกซอยหนึ่ง พวกแม่ครัวพวกเด็กเสิร์ฟคุยกันเสียงดังจริงๆ"
แม่เภาเดินมานั่งที่หน้าต่าง "อ๋อ...ได้ยิน ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ฟังเขาคุยก็เพลินดีนี่ ได้รู้สูตรอาหารด้วย
"เพลินตรงไหนกันแม่" พิมพ์ดีเดินตามมานั่งด้วย
แม่เภาไม่ตอบ สะกิดลูกสาวให้ดูนอกหน้าต่าง "กินซาลาเปาไหม เดี๋ยวแม่ลงไปซื้อให้
"ทำไมแม่รู้ละว่ามีขาย " พิมพ์ดีทำหน้าสงสัย "แม่เพิ่งมาถึงเมื่อคืน แล้วร้านเฮียที่เขาขาย เขาก็ขายแต่ตอนเช้ากับตอนกลางวัน
" แกไม่ได้ยินเสียงเปิดฝาหม้อนึ่งหรืออย่างไร" แม่เภาลุกขึ้นล้วงกระเป๋าสตางค์ "เสียงฝาหม้อนึ่งแบบนี้ฟังอย่างไรก็ฟังออก จะเอาไส้อะไรยายพิมพ์
"หนูเอาขนมจีบดีกว่า " พิมพ์ดีดึงชายเสื้อแม่เภาเบาๆ "แม่..เรื่องย้ายหอพักแม่ว่าไง หอนี้หนูไม่ชอบจริงๆ นะ เสียงดังรบกวน แม่ก็ได้ยินใช่ไหม ด้านหน้านี่จอแจไปหมด มีทั้งเสียงรถวิ่ง เสียงคนร้องขายของ ด้านห้องน้ำก็ติดครัวร้านอาหาร เสียงคุยกันทั้งวัน
"แม่กลับว่าดูแล้วสนุกดี เวลามีคนซื้อคนขายนี่มันดูมีชีวิตชีวาออก"
แม่เภาเปลี่ยนเรื่อง "แล้วยายแก้วรูมเมตของแกเป็นอย่างไรบ้าง นี่ไปออกค่ายยังไม่กลับใช่ไหม
"นิสัยก็ดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวนอนกรน ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้" พิมพ์ดีบ่นกระปอดกระแปดต่อ "แม่หัวเราะอะไร"
แม่เภาเดินยิ้มไปที่ประตูห้อง "แกนี่ยังไม่รู้ตัวยายพิมพ์ เมื่อคืนแกก็นอนกรน ตกลงเอาขนมจีบนะ แต่เดี๋ยวแม่เอาซาลาเปามาเผื่อด้วย
"ไม่จริงหรอกแม่ หนูกรนที่ไหนกัน" พิมพ์ดีตาเขียวที่ถูกหาว่าตัวเองนอนกรน
ระหว่างทางเดินจากหอพักไปมหาวิทยาลัย
" แม่นั่งรถเมล์สาย 34 หน้ามหาวิทยาลัยหนูไปลงอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วแม่ก็ค่อยต่อรถไปบางซื่อ" พิมพ์ดีบอกทาง "แม่ส่งกระเป๋าใบใหญ่มา หนูช่วยถือ
"ถ้าถึงอนุสาวรีย์แล้วแม่ไปถูก" แม่เภาส่งกระเป๋าให้ลูกสาว "แม่ค้างบ้านป้าไพแค่คืนเดียว แล้วมะรืนแม่ก็จะไปเยี่ยมยายน้อยที่สงขลาแล้ว "
เดินเงียบอยู่สักพัก พิมพ์ดีก็พูดขึ้นมา
"แม่.. ย้ายหอพักได้ไหม เพิ่มอีกเดือนละแค่สี่ร้อยเอง เลยไปอีกสองช่วงตึก แล้วก็ไม่พลุกพล่านด้วย" คราวนี้พิมพ์ดีใช้ลูกอ้อน
" ใครว่าเดือนละแค่สี่ร้อย ตั้งสี่ร้อยก็ไม่ว่า สี่ร้อยนี่ปีหนึ่งสี่พันแปดนะ"แม่เภาใช้วิชาเศรษศาสตร์ "สี่พันแปดนี่เอาไปซื้อหนังสือเรียนไม่ดีกว่าหรือ
"อีกหอหนึ่งมันเงียบกว่านะแม่ " ลูกสาวยังคงอ้อน
"ไม่รู้สิยายพิมพ์ ไอ้ที่แกว่าเงียบๆ แม่ก็เดินไปดูมาเมื่อเช้าตอนลงไปซื้อซาลาเปาแล้ว แม่ว่ามันเงียบจนไม่น่าไว้ใจ
"ไม่น่าไว้ใจ" พิมพ์ดีทวนคำ
" ราคาขนาดนั้น ใหม่ขนาดนั้น แล้วไม่มีคนพักเลย บางทีมันอาจจะเปลี่ยวเกินไปก็ได้ แล้วไอ้ที่แกอยู่ทุกวันนี้แม่ก็ว่ามันไม่เห็นจะหนวกหูตรงไหน แม่ว่ามันก็น่ารักดีเป็นหอพักเล็กๆ ร้านขายของก็เยอะแยะ หาของกินได้สะดวก"
สองแม่ลูกเดินเถียงกันจนมาถึงหน้าป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย
"แม่ไม่หนวกหู แต่หนูหนวกหูนี่ แล้วก็ยายแก้วรูมเมตหนูอีก" ลูกสาวแม่เภาพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
แม่ เภาขัดขึ้นทันที "ไม่ต้องพูดเรื่องนี้เลยยายพิมพ์ แกก็บอกเองว่ายายแก้วนิสัยดี เหตุผลที่ไม่เกี่ยวแกอย่าชักแม่น้ำมารวมด้วย แม่ไม่ชอบ พูดเผลอไปเรื่อย เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเพื่อนแกไม่ดีไปอีกคน อีกอย่างแกอยู่ที่หอนี้ อีกปีเดียวแกก็ได้คิวเข้าไปอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยแล้วนี่
"ใครว่าแค่ปีเดียว ตั้งสิบสองเดือนไม่ว่า" พิมพ์ดีใช้วิธีการเดียวกับแม่เภาย้อนเอาบ้าง
แม่เภาเงียบไป
" แม่..ให้หนูใช้เงินที่เก็บไว้ในธนาคารมาช่วยแม่ออกค่าเช่าหอใหม่ก็ได้นะ เพิ่มอีกเดือนละสี่ร้อย ให้หนูออกร้อยหนึ่งก็ได้" พิมพ์ดียังไม่ยอมแพ้
"แม่ว่าไง"
แม่เภาเงียบเหมือนคิดอะไรอยู่
"เอ้า...ให้หนูออกสองร้อยก็ได้ คนละครึ่ง" พิมพ์ดีรุกอีก
แม่เภาโบกมือให้ลูกสาวหยุดพูด แล้วก็ลงนั่งยองๆ วางกระเป๋าใบเล็กลงข้างๆ กอต้นกระดุมทองที่ปลูกอยู่ข้างทางหน้ามหาวิทยาลัย
"มีอะไรหรือแม่" พิมพ์ดีนั่งลงตาม
แม่เภาค่อยๆ แหวกต้นกระดุมทองออก
"ทองดำเสียด้วย"
จิ้งหรีดตัวขนาดนิ้วก้อยเด็ก กระโดดออกมาจากกอกระดุมทองที่แม่เภาแหวกเป็นทางออก แล้วก็กระโดดมาเกาะอยู่บนใบกระดุมทอง
"สีดำขลับจริงๆ ตัวนี้ เออ...ไม่น่าเชื่อนะว่าในกรุงเทพฯจะยังมีจิ้งหรีดอยู่ " แม่เภาลุกขึ้นยืน
พิมพ์ลุกยืนตามด้วยสีหน้าสงสัย "แม่รู้ได้อย่างไรว่ามีจิ้งหรีดอยู่ในพุ่มไม้
"นี่ยายพิมพ์แกไม่ได้ยินเสียงหรือไง มันร้องออกดังอย่างนั้น" แม่เภายิ้ม
" เสียงรถบนถนนดังอย่างนี้นี่นะ" พิมพ์ดีแปลกใจว่าแม่ได้ยินได้อย่างไร แล้วคนบนท้องถนนที่ป้ายรถเมล์อีกเล่า ทำไมไม่เห็นมีใครได้ยินอย่างแม่
" พิมพ์ดี แม่จะบอกอะไรให้ คนเราน่ะเลือกที่จะได้ยินเสียงอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากได้ยิน ได้เห็นอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากเห็นเสมอ เราเลือกได้นะลูก" แม่เภามองไปรอบๆ "คอยดูอะไรนะยายพิมพ์"
แม่เภาหยิบเหรียญห้าออกมาเหรียญหนึ่ง ทิ้งลงไปบนถนน คนแถวป้ายรถเมล์สองสามคนหันมาตามเสียง
"เสียงรถราบนถนนยังดังเหมือนเมื่อกี้ แต่คราวนี้มีคนได้ยินแล้ว" ว่าแล้วแม่เภาก็ก้มลงเก็บเหรียญห้าบาทขึ้นมา
พิมพ์ดียังคงหันไปมองจิ้งหรีดตัวนั้นนิ่งอยู่
"สาย 34 มาแล้ว" แม่เภารับกระเป๋าใบใหญ่มาจากลูกสาว "ปิดเทอมนี้กลับบ้านนะลูก"
พิมพ์ ดีส่งกระเป๋าให้แม่ "ฝากคิดถึงป้าไพกับพี่น้อยด้วย" ไม่รู้ว่าแม่เภาคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นสีหน้าของพิมพ์ดีเปลี่ยนไป เหมือนมีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่ประทับอยู่ แม่เภาชอบใบหน้าของลูกสาวแบบนี้มากกว่า
ตัวแม่เภาเองก็ไม่เคยถาม หรอกว่าลูกสาวคิดอย่างไรในวันนั้น รู้แต่ว่าสิบสองเดือนก่อนที่พิมพ์ดีจะได้คิวเข้าไปอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย พิมพ์ดีไม่เคยพูดเรื่องขอย้ายหอพักอีกเลย
ประภาส ชลศรานนท์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น