วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

ชีวิตคุณมีเพียงขณะเดียว

A: อยากทำอะไรบ้างไหมครับ
Q: ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมอยากอะไร การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความอยากเป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหมือนอีกด้านนึงของดวงจันทร์ที่ไม่เคยเห็น ถึงวันนี้ผมไม่มีความอยาก ชีวิตมันคงกำหนดชะตากรรมเอาไว้ เราเพียงแต่ให้ความร่วมมือกับมันเท่านั้น

A: ทุกวันนี้มีความสุขอยู่กับอะไรครับ
Q: ไร้ความกังวล สิ้นไร้ความทะเยอทะยานไม่มีศัตรูคู่อาฆาต ความอยากในการบรรลุธรรมก็ไม่มีแล้ว เหล่านี้อาจจะพอเรียกว่าองค์ประกอบของความสุขครับ

A: ชอบให้คนมาเยี่ยมไหมครับ
Q: มีคนมาเยี่ยมก็ดีครับ จะได้สนทนากัน ถ้าไม่มีคนมา ก็เป็นโอกาสที่ดีจะได้ปฏิบัติภาวนา ได้ฝึกความรู้สึกตัวครับ

A: ยังภาวนาสม่ำเสมอไหมครับ 
Q: ผมไม่ได้ปฏิบัติตามรูปแบบนานแล้วครับ มีสติเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่มีสติก็คือมีสติ พอเรารู้ตัวว่าไม่มีสติ นั่นก็คือสติ ตลอดเวลาจึงเป็นการปฏิบัติภาวนา ถ้ามีสติก็รู้สึกตัว ถ้าสติหลุดแล้วก็รู้สึกตัวเหมือนกันครับ ทั้งสองอย่างคือการภาวนา การปฏิบัติธรรมต้องไม่ดิ้นรน ถ้าไม่รู้ตัวจะดิ้นรน ถ้ารู้ตัวก็จะหยุดได้ครับ

A: กลัวตายไหมครับ
Q: เมื่อตัวเองใกล้ตายมากขึ้นเช่นนี้ ผมจะเล่นตลกไม่ได้อีกแล้ว หลวงปู่ชาบอกให้อยู่ใกล้ความตายมากๆ แล้วทุกอย่างจะดีเองครับ ความตายเป็นสิ่งที่เราวิตกกังวลกับมันมากเกินไปครับ

A: การอยู่ใกล่้ความตายดียังไงครับ
Q: ขนพองสยองเกล้า มันน่ากลัวครับ เวลาเข้าใกล้มันขนาดขนบนหัวยังตั้งชัน จิตมันตื่นครับ เพราะกลัวตาย มันดูไม่น่ารักนัก แต่พลังบริสุทธิ์ของมันมีครับ ความตายเป็นเรื่องที่ดี เพราะพอเราเข้าใกล้ มันจะช่วยเตือนในเรื่องเหลงไหลทั้งมวลครับ

A: หากเราไม่มีความอยากอะไรหลงเหลืออยู่แล้ว เราจะมีชีวิตไปทำไมครับ
Q: ผมไม่รู้เหมือนกันครับ 

รู้สึกตัว คือรู้ชัดโดยไม่ต้องตั้งคำถาม โดยไม่ต้องรู้อะไรเลย

A: อยากให้มอบคำสอนบางอย่างให้ผมครับ
Q: รู้สึกตัวครับ สิ้งนี้สำคัญมาก ผมรอดชีวิตมาได้เพราะความรู้สึกตัวครับ หมั่นฝึกบ่อยๆ ฝึกเล่นๆ แต่ฝึกจริงๆ ครับ คือฝึกอย่างจริงจังแต่อย่าไปคร่ำเคร่งกับมันมาก แต่ตั้งใจฝึกนะครับ คนเราชอบมองข้ามความสำคัญของการรู้สึกตัว

ความจริง อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้นี่เอง

บทสนทนาระหว่าง
A: นิ้วกลม
Q: เขมานันทะ

บางส่วนบางตอนจากหนังสือ เหตุใดเราจึงยังมีชีวิตอยู่ โดยนิ้วกลม

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

นักก่อกำแพง

นักก่อกำแพง
โดย นิ้วกลม
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้
ยังมีมนุษย์เงินเดือน
ทำงานงกงกทุกเดือน
ใครตักใครเตือนก็ไม่ฟัง
เริ่มต้นจากความสนุก
จนมาเป็นทุกข์ในหนหลัง
เมื่อสุขภาพเริ่มผุผัง
เมื่อความสัมพันธ์เริ่มจืดจาง
ตาจ้องคอมพ์จนเป็นต้อ
พี่น้องแม่พ่อเหินห่าง
มิตรสหายห่างหายไร้ร้าง
รอยยิ้มความเบิกบานจางลง
ทำงานหนัก ยิ่งนับวัน ยิ่งหนัก
ไม่ได้พัก อยู่ในตึกพิศวง
มีพนักงานเดินวนงงงง
หลงอยู่ในเขาวงกตแห่งเงินเดือน
ตอนแรกทำด้วยความสนุก
ตอนหลังความสุขคล้อยเคลื่อน
บ้างคิดเพียงเพิ่มเงินเดือน
บ้างการเลื่อนขั้นคือเส้นชัย
จากเคยทำงานเพื่อทำงาน
กลายเป็นทำเพื่อบ้านหลังใหญ่
กลายเป็นทำเพื่อของกินของใช้
กลายเป็นอยากได้รถแพงแพง
กลายเป็นหาเงินเพื่อรักษาสุขภาพ
ต้องซื้อกองทุนชื่อแผลงแผลง
เพื่อนำหลักฐานไปแสดง
หักลบและกลบภาษี
กลายเป็นทำงานแล้วอ้างลูก
อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีดี
แต่สิ่งที่ลูกอยากมี
พ่อแม่กลับมีให้ไม่เพียงพอ
สิ่งนั้นก็คือเวลา
พ่อแม่กลับมาหยอกล้อ
นั่งกินข้าวหัวเราะเยินยอ
ลูกได้แต่นั่งรอกดไอแพด
มนุษย์เงินเดือนอยากเป็นอิสระ
อยากชนะหลุดจากกรงขัง
แต่กำแพงเงินเดือนมันสูงจัง
ยากที่จะพังมันลงมา
ยิ่งทำ ยิ่งก่อ ก็ยิ่งสูง
ยิ่งพูน ยิ่งเพิ่ม เป็นอภิมหา
กำแพงเงินเดือนมหึมา
ใครเล่าจะกล้าทุบมันทิ้ง
จึงติดอยู่กับกำแพงเงินเดือน
ไม่ยอมลดเลื่อนหลายสิ่ง
ไลฟ์สไตล์หรูหรายากจะทิ้ง
หลายสิ่งต้องใช้เงินซื้อ
รสนิยมสูงตามเงินเดือน
ดินเนอร์กับเพื่อน รถรา มือถือ
กำแพงที่สองของมนุษย์เงินเดือนนั้นคือ
รสนิยมที่เพิ่งก่อขึ้นมา
สองกำแพงขนาบชีวิต
ต้องติดอยู่ในนั้นแหละหนา
หากลดกำแพงหนึ่งลงมา
อีกหนึ่งไม่ช้าย่อมลดลง
อิสระห่างแค่กำแพงกั้น
อิสระนั้นใช่อะไรที่ไหน
อิสระจากสายตาใครใคร
อยู่ เที่ยว กิน ใช้ ในแบบเรา
ใช้น้อยก็ไม่ต้องหาหนัก
ได้พัก ได้เพื่อน ได้ลูกเต้า
กำแพงเงินเดือนที่โอบล้อมเรา
มั่นคง–
แต่ก็กักขังเราไปพร้อมกัน.