วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

คณิตศาสตร์อธิบายธรรม

คอลัมน์ คุยกับประภาส
โดย ประภาส ชลศรานนท์

เรียนคุณประภาส
ดิฉันอ่าน "แม่เภามาเยี่ยม" ในมติชนวันอาทิตย์แล้ว มีความเห็นสอดคล้องกับ"แม่เภา" ในบางสิ่งบางอย่างที่ "แม่เภา"แสดงออกมาให้ลูกสาวได้ทราบในวันนั้น อย่างน้อยที่สุด "แม่เภา"มีมุมมองแตกต่างไปจากมุมมองของ "พิมพ์ดี" ในการรับรู้ความเป็นไปของสิ่งแวดล้อม แต่"แม่เภา" ก็ไม่อาจที่จะอธิบายความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นให้ลูกทราบได้
ดิฉันจึงขออนุญาตชี้แจงมายัง "หนูพิมพ์ดี" ว่า คนเรามีทางเลือกที่จะมีความสุขในชีวิตได้ 4ทาง คือ
1.เลือกที่จะมีความทุกข์บนความทุกข์ของผู้อื่นเช่น เวลาที่เราเจ็บป่วยไม่สบายเราเจ็บปวดแล้วแสดงอาการโอดโอยเศร้าหมองออกมา นอกจากใจเราจะเป็นทุกข์แล้วเรายังสร้างความทุกข์ให้กับบุคคลที่มารับรู้ความเจ็บปวดกับเราด้วย
2.เลือกที่จะมีความสุขบนทุกข์ของผู้อื่นเช่น พูดหรือกระทำการให้ผู้อื่นได้รับความอับอายทำให้เขาได้รับความทุกข์ โดยที่เรามีความสุขและสะใจที่ได้กระทำเข่นนั้น
3. เลือกที่จะมีความทุกข์บนความสุขของผู้อื่น อันนี้เราทำตัวของตัวเองในการที่จะยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อคนที่เรารักอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพื่อให้เขามีความสุข โดยไม่คำนึงว่าเราจะทรมานใจและร่างกายเพียงใดทำไมเราจะต้องทรมานตัวเองถึงขนาดนั้น ทำร้ายร่างกายและจิตใจของตัวเองทำไม
4.เลือกที่จะมีความสุขบนความสุขของผู้อื่นเราควรพิจารณาพูดและกระทำทุกสิ่งที่ทำให้ทั้งเราและผู้อื่นมีแต่ความสุข จะทำให้เราสบายใจ

ทุกหัวข้อที่เขียนมา แสดงถึงความมีสติของเราที่จะเลือกดำเนินชีวิตอ่านให้เข้าใจแล้วจะทราบว่าเราควรเลือกข้อไหน เราเลือกชีวิตของเราเองได้นะคะ ชีวิตเกิดขึ้นมาแล้วดำเนินไป แล้วก็แตกสลายไปในที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของของเราเลยเพราะฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาแล้วควรทำแต่ความดี และมีแต่ความปรารถนาดีต่อกันไว้ดีกว่า

ความเห็นนี้ได้มาจากการที่ดิฉันได้ไปอบรมการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุขจากบ้านกรินชัยที่โคราชของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย มาค่ะจึงขอเอามาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่ท่านทั้งหลายด้วย

สิริพรรณ

พี่ประภาส

เคยอ่านเจอว่า ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้หาคำตอบด้วยการทดลองแต่ได้ใช้คณิตศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์ของจักรวาล และภายหลังจึงมีนักวิทยาศาสตร์มาทดลองพิสูจน์พบว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์เป็นเรื่องจริง

ถ้าเป็นอย่างงี้..ไอน์สไตน์ก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เป็นนักคณิตศาสตร์มากกว่า ใช่ไหมครับ

ไก่

จดหมายสองฉบับนี้อันที่จริงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เขียนมาพูดคุยคนละประเด็น แต่ที่ผมนำมาลงไว้ด้วยกันก็เพราะจดหมายฉบับหนึ่งผมนำมาใช้ในการตอบจดหมายอีกฉบับหนึ่ง

ก่อนอื่นคงต้องขอแสดงความขอบคุณต่อคุณสิริพรรณเป็นอย่างมากที่ได้เอื้อเฟื้อเขียนมาแจกแจงข้อธรรมอันดีแก่พิมพ์ดีลูกสาวแม่เภาคงไม่เพียงแต่พิมพ์ดีหรอกครับที่จะได้ข้อคิดดีๆ ต่อชีวิตทั้งสี่ข้อนี้ไปผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านที่นั่งแช่ทุกข์อยู่ ก็คงจะได้ฟื้นธรรมในเรื่องนี้กันบ้าง

ส่วนที่คุณสิริพรรณแสดงความเห็นมาว่า แม่เภาอาจจะไม่สามารถอธิบายหลักธรรมอันลึกซึ้งแก่ลูกสาวได้นั้นใครที่ติดตามแม่เภามาตลอดก็อาจจะพอคิดเข้าข้างแม่เภาได้ว่าบางทีแม่เภาอาจจะมีวิธีสอนของแกไปอีกแบบหนึ่งก็ได้

ทีนี้มาที่จดหมายของคุณไก่บ้าง

เป็นเรื่องจริงครับ..ที่ไอน์สไตน์ไม่ได้เป็นผู้ทดลองพิสูจน์ทฤษฎีที่ตัวเองเขียนขึ้นมาจากสูตรทางคณิตศาสตร์ หลายทฤษฎีนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังเป็นผู้พิสูจน์เห็นจริงเช่นเรื่องแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งตามความโค้งของอวกาศก็มาพิสูจน์กันโดยต้องอาศัยตอนเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา เพื่อวัดตำแหน่งว่าดวงดาวเพี้ยนไปแค่ไหนหรือแม้แต่ทฤษฎีที่ว่าเมื่อเราอยู่บนความเร็วที่มากขึ้น เวลาจะเดินช้าลงก็ต้องรอมาพิสูจน์เมื่อเราสามารถประดิษฐ์นาฬิกาอะตอมที่เที่ยงตรงเอามากๆและวัดหน่วยเป็นเศษเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยววินาทีได้

คุณไก่แสดงความคิดเห็นว่า เพราะแค่ไอน์สไตน์คิดและคำนวณ ไม่ได้เป็นผู้ทดลองพิสูจน์ไอน์สไตน์จึงไม่น่าใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นแค่นักคณิตศาสตร์ต่างหาก

เรื่องนี้มันก็อยู่ที่ว่าเอาอะไรมาวัด

การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเห็นจริง แค่ประสาทสัมผัสหูตาจมูกหรอกครับถ้ามีใครบอกว่าอวกาศนั้นโค้ง แล้วเราดันไปถามว่ามันโค้งอย่างไร ในเมื่อดูด้วยตามันก็ดูไม่ออกเอียงคอดูก็ดูไม่ออก ตีลังกาดูก็ดูไม่ออก จริงๆ นะครับต่อให้ถึงขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะพิสูจน์ไม่ได้เรารู้ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ถึงโลกได้อย่างไร โดยไม่ต้องเอาตลับเมตรไปดึงวัดทีละเมตรสองเมตรแต่เรารู้จากการคำนวณครับ จากการวัดมุม จากการแทนค่า จากสูตรสามเหลี่ยมง่ายๆ คล้ายๆที่เราเขียนบนกระดาษที่โรงเรียน

เรารู้ได้ด้วยคณิตศาสตร์นั่นเอง

ต้องบอกคุณไก่ก่อนนะครับว่านักวิทยาศาสตร์ยอมรับตัวเลขทางคณิตศาสตร์ว่าเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งเป็นการพิสูจน์ที่น่าเชื่อถือเอามากๆ ด้วย

แทบจะแยกกันไม่ออกหรอกครับ..ระหว่างคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เพราะถ้าจะเปรียบวิทยาศาสตร์เป็นร่างกายมนุษย์ คณิตศาสตร์นี่ก็กระดูกทุกชิ้นของร่างกายดีๆ นี่เอง

ไม่แต่วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่มีคณิตศาสตร์เป็นโครงร่างแทบจะทุกอารยธรรมของมนุษย์ล้วนใช้คณิตศาสตร์เป็นตัวเริ่ม

จำเรื่อง 1 + 1 = 2 ที่ผมเคยเขียนเมื่อสี่ห้าปีก่อนได้ใช่ไหมครับ

อย่างน้อยที่สุด คณิตศาสตร์นี่แหละจะเป็นตัวอธิบายทุกสรรพสิ่งได้ดีนักกลับไปอ่านจดหมายของคุณสิริพรรณอีกทีก็ได้

การจำแนกแยกแยะ เรื่องเหตุแห่งทุกข์และเหตุแห่งสุขจากทุกข์และสุขของผู้อื่น ที่คุณสิริพรรณอธิบายนั้นผมถือเป็นการอธิบายหลักธรรมด้วยคณิตศาสตร์อย่างหนึ่ง ลองดูดีๆ สิครับ คล้ายๆการอธิบายการรวมตัวของโครโมโซมจากพ่อ-แม่จนเกิดเป็นเพศของทารกเลยทีเดียว ใครที่เคยเรียนชีววิทยาคงนึกออก
โครโมโซมสองตัว x กับ y รวมกันเป็นอะไรได้บ้าง xx, xy , yy อธิบายสุขทุกข์ของตัวเองกับสุขทุกข์ของคนอื่นก็เช่นกัน จับคู่สลับขาไปมา

การแยกหมวด การจับคู่ ฯลฯ พวกนี้นี่คณิตศาสตร์ทั้งนั้นนะครับ เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว

ยกตัวอย่างง่ายๆ แม่เภานั้นเข้าใจชีวิตและความจริงในเรื่องการเลือกสุขและทุกข์ให้ชีวิตเป็นอย่างดีแต่แม่เภาไม่เคยอธิบายออกมาให้ลูกสาวเข้าใจในรูปแบบของสูตรทางคณิตศาสตร์อย่างที่คุณสิริพรรณอธิบายมาซึ่งผมเชื่อว่าใครก็ตามที่มาอ่านจดหมายของสิริพรรณแล้ว ก็ต้องรู้สึกว่ามันครอบคลุม ชัดเจนดี

คุณสิริพรรณทำให้เห็นได้ว่า คณิตศาสตร์นั้นอธิบายธรรมะได้ดีไม่แพ้อธิบายจักรวาล

ไอน์สไตน์ก็เชื่ออย่างนั้น ครั้งหนึ่ง เฮดวิก บอร์น เพื่อนของเขาถามเขาว่า "คุณเชื่อจริงๆหรือว่า วิทยาศาสตร์อธิบายได้ทุกปรากฏการณ์" ไอน์สไตน์ตอบว่า "ใช่มันอธิบายได้ทุกสรรพสิ่ง
ไม่เชื่อคุณลองบรรยายซิมโฟนี่ของบีโธเฟนด้วยการสั่นของคลื่นความดันดูสิ"ในสายตาของผมแล้ว ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์คนไหนๆเพราะเขามองทุกสรรพสิ่งเป็นวิทยาศาสตร์หมด

บุคคลที่ผมจะยกตัวอย่างต่อไปนี้ ผมจะลองเขียนดูนะครับว่าพวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์แขนงกันไหนกันบ้างคุ้นชื่อทุกคนนั่นแหละครับ

โมซาร์ต
ผู้ค้นพบความสัมพันธ์ของคลื่นเสียงและนำมาสร้างอนุกรมไล่เรียงและจับคู่ความถี่เสียงจนเกิดเป็นคลื่นเสียงกล่อมโลก

ซิกมันด์ ฟรอยด์
ผู้จับแยกหมวดกมลสันดานและความคิดมนุษย์และอธิบายความสัมพันธ์ของพฤติกรรมในเวลาช่วงต่างๆ ของชีวิตมนุษย์ โดยมีวิชาสถิติเป็นข้ออิงหลัก

ปิกัสโซ่ ผู้นำเอาสัดส่วนของรูปทรงเรขาคณิตมาประกอบกันกับค่าแตกต่างของสเปกตรัมของแสงสร้างเป็นภาพสองมิติที่สะท้อนเข้าไปในจอตา ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนบางตัวออกมาได้

คนสุดท้ายครับ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้าชายสิทธัตถะพระองค์ทรงค้นพบสูตรทางคณิตศาสตร์ที่สามารถอธิบายส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์ทุกผู้คนบนโลก นึกดูดีๆสิครับ สี่ข้อนี้สัมพันธ์กันอย่างไร

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

หน้า 17

ไม่มีความคิดเห็น: