วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

มายาพระจันทร์

มายาพระจันทร์

อาทิตย์ก่อน ชาวตลาดบองมาเช่ซึ่งกำลังจะเตรียมจัดงานลอยกระทง ได้ เชื้อเชิญให้ผมไปร่วมในวันสุกดิบก่อนวันงาน โดยชวนให้ไปนั่งสนทนาเกี่ยวกับเรื่องพระจันทร์ นัยว่าพระจันทร์กับการลอยกระทงนั้นข้องเกี่ยวกันอยู่

เขาตั้งหัวข้อสนทนาไว้อย่างที่ผมนำมาเป็นชื่อเรื่องวันนี้ว่า มายาพระจันทร์

ถึง จะได้รับเทียบเชิญให้ไปพูดก่อนตั้งเจ็ดแปดวัน แต่ด้วยภารกิจที่รัดตัวก็เลยสารภาพกับคนจัดไปว่าคงไม่ได้เตรียมอะไรไปพูดมาก นัก นอกจากคืนก่อนวันนัดหนึ่งคืน ก็ทำได้เพียงเข้าไปท่องตามเว็บไซต์ต่างๆเพื่อสังเกตสิ่งที่ผู้คนเขาพูดถึง พระจันทร์กัน

อ่านจากหลายๆที่แล้ว ก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมคนจัดงานถึงตั้งหัวเรื่องในการคุยครั้งนี้ว่า มายาพระจันทร์

แทบทุกชาติทุกภาษามองพระจันทร์ด้วย อารมณ์มากกว่าดาวดวงอื่น

พูดให้ถูกก็ต้องว่า มองพระจันทร์แล้วเกิดอารมณ์

ไม่ ว่าจะเป็นคืนเดือนเพ็ญที่ทำให้คนกลายเป็นมนุษย์หมาป่า หรือคืนพระจันทร์สีเลือดที่จะมีความตายเกิดขึ้น หรือเรื่องของนางฟ้าไท้อิมเนี้ยในประเพณีไหว้พระจันทร์ ฯลฯ

หลังจากที่นีล อาร์มสตรอง ขี่ อพอลโล่ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์แล้ว มนต์ขลังในด้านความเป็นเทพของพระจันทร์ได้คลายลงไปมาก ชาวจีนที่เคยทำพิธีไหว้พระจันทร์ก็ลดน้อยลง แต่ถ้าถามผม ผมกลับว่า มันคนละเรื่องกัน เรื่องนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์แล้วทำให้ดวงจันทร์ไร้ศักดิ์ศรีซึ่งความ เป็นเทพนี่ ผมว่าคนละเรื่องกันครับ แผ่นดินไทยเราทุกวันนี้ ไม่ว่าจะตาสาตาสีก็เดินเหยียบไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว หรือต่อให้คุณจอร์ชคุณซาร่าจะมาเดินเล่นอีกสักเท่าไร ผมก็ยังเห็นว่าศักดิ์ศรีของพระแม่ธรณีก็ยังอยู่ไม่เห็นเสื่อมคลาย

อยู่มาไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปี แค่ฝรั่งมาเหยียบเล่นทีสองทีไม่น่าจะหมดศักดิ์หมดศรีเร็วขนาดนั้น

จนถึงวันนี้แล้ว นัก วิทยาศาสตร์เขาสามารถบอกอายุของดวงจันทร์ได้แล้วนะครับ ด้วยการวัดจากอายุหินที่ยานอพอลโล่ไปเก็บมา แล้วก็ประเมินเอาว่าหินบนดวงจันทร์ย่อมมีอายุเท่ากับดวงจันทร์ ไม่แก่ไม่อ่อนครับ แค่ ๔,๕๐๐ ล้านปี นั่นคือมีอายุใกล้เคียงกับโลกนั่นเอง

จึง ได้มีการตั้งทฤษฎีคร่าวๆว่า ดวงจันทร์น่าจะเกิดจากการหลุดออกไปจากโลกครั้งไหนสักครั้งหนึ่ง เช่นหลุดตอนที่โลกกำเนิดใหม่ๆ หรือหลุดเพราะมีอะไรสักอย่างพุ่งเข้ามาชนโลก

แต่ฮินดูตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการกำเนิดดวงจันทร์ไว้ก่อนจะมีประเทศอเมริกาอีก

ฮินดูว่า พระศิวะได้สร้างพระจันทร์ขึ้นมาจากนางฟ้า ๑๕ นาง โดยร่ายพระเวทให้นางฟ้าทั้ง ๑๕ นางละเอียดป่นเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าขาว ประพรมด้วยน้ำอมฤต แล้วจึงบังเกิดเป็นพระจันทร์เทพบุตรขึ้นมา

ที่ตัวเลขเป็น ๑๕ นี่ให้ผมเดาผมก็ว่าคงมาจากจันทร์เสี้ยวทั้ง ๑๕ ค่ำ

ฮินดูอธิบายเทพพระจันทร์ไว้ว่า มีกายสีขาวนวล เป็นเทวะรูปงามที่เต็มไปด้วยคนรัก ตำราโหราศาสตร์ที่มีฮินดูเป็นรากฐานจึงว่าคนเกิดวันจันทร์นั้นมีเสน่ห์

มนุษย์ส่วนใหญ่มักมองพระจันทร์ด้วยอารมณ์เศร้า เหงา หรือไม่ก็ออกไปทางสิเน่หา ฝรั่งนั้นหนักถึงขนาดไปทางโศกมากกว่าสุข คำว่า Moon ในแสลงภาษาฝรั่งนี่มีความหมายเป็นเรื่องความโศกาว้าเหว่แทบทั้งนั้น อย่างเช่น Moon around ที่แปลว่าไร้สุขในรัก หรือ Moon away ที่แปลว่า ปล่อยชีวิตไปวันๆในเรื่องความรัก

น่าสนใจนะครับว่าทำไมพระจันทร์จึงถูกมองเช่นนั้น

มันมีความบังเอิญหลายอย่างที่ทำให้พระจันทร์เป็นดวงดาวที่จ้าวมายาที่สุด

เรื่องแรกก็คือเรื่องขนาดของมันที่ผมเอามาตั้งเป็นชื่อหนังสือรวมเล่มก่อนหน้านี้ เท่าดวงอาทิตย์ซึ่งผมได้ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่า ดวงจันทร์นั้นถูกเห็นมีขนาด เท่า กับดวงอาทิตย์เมื่อมองไปจากโลก ทั้งๆที่ดวงอาทิตย์มีขนาดจริงๆใหญ่กว่าดวงจันทร์ตั้ง 65 ล้านเท่า

65 ล้านเท่านี่ต่างกันแค่ไหน ให้นึกก็คงนึกกันจนปวดหัวละครับ

แต่ทีนี้ มันมีความบังเอิญเรื่องระยะห่าง มันเลยทำให้เราเห็นดวงกลมสว่างๆสองดวงมีขนาดเท่ากัน นั่นคือดวงอาทิตย์ห่างจากโลก 150 ล้าน กิโลเมตร ส่วนดวงจันทร์ห่างโลกแค่ 3 แสนกว่ากิโลเมตร ด้วยระยะห่างที่ต่างกันมากมายนี้ พระจันทร์ก็เลยถูกมองใหญ่เทียมเท่า และมีศักดิ์ศรีเทียมเท่าพระอาทิตย์ในสายตาคนมอง

นี่ ถ้าขยับโลกย้ายไปอยู่ตำแหน่งดาวศุกร์หรือดาวอังคาร แล้วมองขึ้นฟ้าไปใหม่ ลูกกลมสว่างๆสองดวงจะไม่เท่ากันแล้ว มันต้องบังเอิญจริงๆเราจึงเห็นอย่างที่เราเห็นนี้

เรื่องที่สองที่น่าจะเป็นเรื่องที่ชวนมายาที่สุดในความเห็นของผม นั่นก็คือ เป็นเพราะเรามองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้ เห็นแสงที่นวลตา และลวดลายที่อยู่บนนั้นเป็นรูปเป็นร่าง มายาจึงเกิด

วิทยาศาสตร์อธิบายว่า แสงของดวงจันทร์ไม่ใช่แสงของตัวเอง เป็นแสงที่สะท้อนมาจากแสงอาทิตย์อีกที สะท้อนมาแล้วกว่าจะถึงโลกก็ถูกบรรยากาศของโลกบดบังไปจนเหลือ ๗ เปอร์เซ็นต์

มันก็เหมือนกับโคมไฟในห้องละครับ แสงสลัวๆย่อมดูแล้วชวนฝันกว่าไฟนีออนสว่างๆ

เทียบ กับดวงอาทิตย์ที่มีขนาดเท่ากันบนท้องฟ้า ซึ่งถ้าใครขืนไปมองพระอาทิตย์ด้วยตาเปล่าเป็นเวลานานๆ ก็ต้องเตรียมตัวเป็นคนตาบอดไว้ได้ เมื่อไร้คนพิศ ดวงอาทิตย์ก็เป็นดวงไฟสว่างๆที่ไม่มีใครจินตนาการถึง ต่างกับดวงจันทร์ที่มนุษย์กลับสร้างเรื่องราวจากลวดลายที่เห็นเป็นร้อยเป็น พันเรื่องแล้ว เห็นเป็นกระต่ายก็มี เป็นคนแก่ตำข้าวก็มี เป็นเจ้าหญิงผู้เดียวดายก็มี ฯลฯ

เรื่องบังเอิญมันเกิดขึ้นตรงนี้ครับ

เมื่อมองจากโลก ไม่ว่าจะอยู่ซีกโลกไหน ทุกคนจะเห็นดวงจันทร์มีลวดลายเดียวกันหมดเออหนอ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

อธิบายขั้นแรกก็ต้องบอกว่า เพราะดวงจันทร์ไม่เคยหันอีกด้านหนึ่งเข้าหาโลกเลย

มายาเหลือเกิน

ลอง นึกถึงหญิงสาวแสนสวยหน้านวลปลั่งที่หันหน้าเข้าหาเราอย่างเดียว ไม่ว่าเราจะมองเธอจากตรงไหน เธอก็จะหันหน้ามองเราอย่างเดียว ไม่มีแม้สักครั้งที่เธอจะหันหลังหรือเอี้ยวไปทางอื่น เธอปรารถนาให้เราเห็นเธอในมุมที่สวยที่สุดมุมเดียวเท่านั้น ลึกลับน่าสิเน่หาไหมละครับ

ทำไมถึงหันด้านเดียว ผมถามแทนท่านผู้อ่านอีกหลายท่านที่ไม่มีพื้นเรื่องวิทยาศาสตร์ให้

ถึง วันนี้แล้วไม่ว่าใครก็รู้ว่าดาวทุกดวงในจักรวาลไม่ได้ลอยนิ่งๆ มันหมุนรอบตัวเองทุกดวง ซึ่งมันก็น่าจะมีบ้างละน่า ที่ดวงจันทร์จะหมุนอีกด้านหนึ่งมาให้โลกเห็น

ความจริงที่น่าทึ่งทางวิทยาศาสตร์มันอยู่ตรงนี้ครับ ดวงจันทร์ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองราว ๒๘-๒๙ วัน และ ขณะเดียวกัน ดวงจันทร์ก็ใช้เวลาหมุนรอบโลกราวๆ ๒๘-๒๙ วันใกล้เคียงกัน ปรากฏการณ์แห่งความบังเอิญที่ใช้เวลาเท่ากันนี้ ทำให้ดวงจันทร์หมุนไปพลางหันไปพลางจนมันพอดิบพอดีกลายเป็นว่า หันด้านเดียวหาโลกและหันอีกด้านหนึ่งสู่จักรวาล

แล้วอีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์เป็นอย่างไร ขี้เหร่ขนาดไหนเชียวถึงไม่กล้าหันมาให้ชายชม อาจมีใครบางคนเย้าเล่นๆ

พราหมณ์ ของฮินดูว่าดวงจันทร์เป็นผู้ชายแต่ก็เป็นผู้ชายที่สร้างมาจากผู้หญิง คนจีนผู้นิยมการไหว้เจ้าก็ยกให้พระจันทร์เป็นนางฟ้า ส่วนเต๋าที่แบ่งทุกอย่างออกเป็นหยินกับหยาง กำหนดให้พระจันทร์เป็นหยิน ซึ่งเป็นด้านเย็น เหมือนกับกลางคืน เหมือนผู้หญิง เหมือนน้ำ

พระจันทร์กับน้ำนี่เป็นของคู่กัน ยิ่งมองจันทร์ที่มีเงาอยู่ในน้ำนี่ เหมือนโดนมายาคูณสองเลยละครับ

นักวิทยาศาสตร์ก็เห็นด้วยกับเต๋าว่า พระจันทร์กับน้ำเป็นของคู่กัน

การ ขึ้นลงของน้ำบนโลกมีอิทธิพลมาจากดวงจันทร์อันสวยงามดวงนี้ ใครที่เคยเรียนวิทยาศาสตร์ตอนมัธยม น่าจะจำภาพวาดน้ำบนโกถูกแรงดึงดูดของดวงจันทร์จนไหลมากองอยู่ทางเดียวกันจน รูปร่างของโลกบูดเบี้ยวได้

หากแบ่งผิวโลกออกเป็นสี่ส่วน สามส่วนจะเป็นน้ำ และน้ำทั้งหมดบนโลกล้วนได้รับแรงมาจากดวงจันทร์

ไม่เว้นแม้แต่น้ำในตัวมนุษย์

กลับ ไปดูตัวเลข ๒๘-๒๙ วันของการหมุนรอบตัวเองและรอบโลกดูอีกทีก็ได้ว่า มันคล้ายกับตัวเลขอะไรในตัวมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิงที่เต๋าจัดให้เป็นหยินเหมือนกัน

รอบของระดูผู้หญิงนั่นอย่างไร

หรือว่ามายาพระจันทร์มันอยู่ตรงนี้ ตรงความบังเอิญหลายๆอย่างนี้

เช่น เดียวกับผืนโลก หากแบ่งร่างกายมนุษย์ออกเป็นสี่ส่วน สามส่วนจะเป็นน้ำ ถ้าเราคิดเสียว่าเวลานั่งมองพระจันทร์แล้วรู้สึกว่ามันเหงาเหลือเกิน มันโรแมนติกเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะน้ำสามส่วนในร่างการเรากำลังขึ้นนั่นเอง

แล้วน้ำในตัวเรามีอะไรบ้างละ เลือด น้ำเหลือง น้ำคัดหลั่ง และก็ฮอร์โมน

ถึง ตอนนี้ถ้ามีชายหนุ่มที่กำลังมีความรักมาอ่านเจอเรื่องราวนี้เข้า ก็คงจะเพ้อว่า ที่แท้ผู้หญิงก็คือพระจันทร์นั่นเอง เพราะนอกจากจะงดงาม แฝงปริศนาชวนค้นหาแล้ว เธอยังไม่ยอมให้ใครเห็นอีกด้านหนึ่งของเธอเสมอ และเวลามองเธอครั้งใด น้ำในร่างกายก็ขึ้นทุกที

หนำซ้ำเวลาตกหลุมรักเธอแล้วก็มักถอนตัวไม่ขึ้น

จะ ถอนขึ้นอย่างไรไหวละครับ โครงการอพอลโลที่ส่งยานไปบินรอบดวงจันทร์เพื่อถ่ายภาพอีกฟากหนึ่งของดวง จันทร์มาด้วย ได้เห็นหมดแล้วครับอีกด้านหนึ่งของหญิงสาวจอมมายา หลุมอุกกาบาตเต็มไปหมดเลยครับ และก็เยอะกว่าด้านที่หันเข้ามาโลกหลายเท่านัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกหินจากอวกาศด้านนอกพุ่งชนตลอดเวลา

หลุมที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์ด้านนั้น เชื่อกันว่าน่าจะเป็นหลุมอุกกาบาตที่ลึกที่สุดในบรรดาดาวทุกดวงในสุริยจักรวาล

ตกลงไปละก็เป็นเรื่องสิครับหนุ่มๆทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น: