สวัสดีครับ
น้อง สาวผมชอบบอกว่าตัวเองไม่ฉลาด ถึงอ่านหนังสือไปเท่าไหร่ก็ไม่เก่งขึ้นเพราะว่าหัวไม่ดี ไม่เหมือนคนที่เขาฉลาด อ่านหนังสือนิดเดียวก็รู้เรื่องแล้ว แกเลยไม่ค่อยอ่านหนังสือ ผมละหนักใจจริงๆไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร พยายามบอกเขาว่าในโลกนี้ความฉลาดนั้นเท่าเทียมกันตั้งแต่เกิด มีแต่ความขยันเท่านั้นที่ไม่เท่ากัน คนที่ฉลาดกว่าเพราะว่าเขาขยันกว่าเท่านั้นเอง บอกทีไรก็เถียง
1.จริงหรือเปล่าครับที่คนเราฉลาดไม่เท่ากัน
2. ถ้า เป็นอย่างข้อหนึ่งจริง ผมสงสารคนที่ไม่ฉลาดจังเลยครับ ถ้าเขาเอาข้ออ้างนั้นมาอ้างเพื่อที่จะไม่พยายามให้มากๆเพราะพยายามไปก็เสีย เปล่า
3. คนที่ฉลาดเพราะเขาขยันหรือเพราะว่าเขาหัวดีกันแน่ครับ
ดีเลิศ เนินโคบาล
คำเถียงข้างๆคูๆของน้องสาวคุณดีเลิศอาจมองได้2ทาง
ทาง แรกเขาเถียงไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้เถียงโดยเชื่ออย่างที่ตัวเองคิด แต่เถียงเพราะถูกเคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือในขณะที่กำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ ก็เลยเถียงเพื่อให้เป็นข้อแก้ตัว ทางที่สองเถียงเพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ฉลาดจริงๆ แล้วก็ให้บังเอิญหนังสือเรียนของเขามันก็ดันเกิดไม่น่าอ่านเสียอีก เมื่อไม่ยอมอ่านหนังสือบ่อยๆเข้าเขาก็เลยรู้สึกยิ่งตอกย้ำความไม่ฉลาดของตัว เองไปเรื่อยๆ
ตอกบ่อยๆไม่ดีนะครับความคิดโจตตีตัวเองแบบนี้
เสา เข็มที่ถูกปั้นจั่นตอกไปเรื่อยๆที่ละนิ้วทีละคืบจนมันจมมิดลงดินนี่ ตอนที่ดึงขึ้นยากกว่าตอนตอกไม่รู้ต้องกี่ร้อยเท่า นักจิตวิทยาหลายสำนักพูดตรงกันเลยครับว่า การพูดย้ำว่าตัวเองเป็นอย่างไรซ้ำๆบ่อยๆ มันจะทำให้มีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ดังนั้นถ้าหากจะตอกเสาเข็มล่ะก็ ผมว่าเราเลือกเสาเข็มที่มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นดีไหมครับ ใครที่ชอบดุว่าลูกหรือลูกศิษย์ตัวเองโง่นี่เปลี่ยนใหม่เถอะครับ ถ้ายังเขินปากไม่กล้าชมใครว่าฉลาดมาก ลองใช้คำพูดในตอนแรกๆว่า "ฉลาดไม่เบานี่เธอ" ก็ยังได้
พูดถึงความฉลาด...บางทีเราอาจจะมองคนฉลาดไม่ตรงกันคนแบบไหนกันที่เรียกว่าฉลาด
คนที่เรียนหนังสือคือคนฉลาดถูกไหม?
ผมว่าไม่ถูกทั้งหมด เพราะสมัยที่โลกยังไม่มีโรงเรียนก็ยังมีคนฉลาดเดินชนกันอยู่มากมาย
เรา ต้องยอมรับว่า เวลาที่เรานึกถึงคนฉลาดเรามักจะนึกถึงคนที่มีความคิดหลักแหลมในทางวิชาการ บางทีเราอาจตีความหมายของคำว่าฉลาดแคบไปสักหน่อย
เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตรวิทยาชาวอเมริกันเสนอความคิดหนึ่งที่ถูกใจผมเหลือเกิน เขาบอกว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นมีอยู่เจ็ดอย่าง
คุณ การ์ดเนอร์แกเชื่อว่ามนุษย์มีความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดไม่เท่ากัน บางคนมีความฉลาดอย่างหนึ่งมากกว่าอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจมีความฉลาดหลายอย่างอยู่ในตัว และถ้ายิ่งฝึกฝนมากขึ้น ความฉลาดอันนั้นจะสูงขึ้นไปอีก
แล้ว ถามว่าสำหรับคนที่ไม่มีเลยจะฝึกให้มีขึ้นได้ไหม ในความคิดส่วนตัวผมว่าได้ ผมมองว่าความฉลาดของคนเรานี่ฝึกฝนกันได้ แต่จะได้มากหรือน้อยก็ต้องย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมายและคงต้องยอมรับ ว่าแต่ละคนย่อมได้รับผลจากการฝึกไม่เท่ากัน
เป็น ความจริงทีเดียวที่เด็กทุกคนเปรียบเหมือนผ้าขาวแต่ผ้าขาวย่อมมีหลายเนื้อ และผ้าแต่ละเนื้อก็ย่อมดูดซึมสีแต่ละชนิดได้แตกต่างกัน ผ้าบางอย่างย่อมเหมาะกับสีบางอย่าง
ผมมีคน7คนจะแนะนำให้รู้จัก เป็นคนฉลาดที่ทฤษฎีของนายการ์ดเนอร์พูดถึงนั้นแหละครับ
คน แรกเขาชื่อคณิต เด็กหนุ่มคนนี้เป็นภาพของคนฉลาดอย่างที่คนทั่วไปนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรก เขาเก่งวิทยาศาสตร์ สอบเลขได้คะแนนดีเสมอ ผมถือว่ามุมมองของเขาต่อสรรพสิ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่าตรรกะ เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลปรากฎการณ์ทุกอย่างในจักรวาลต้อง อธิบายด้วยตรรกวิทยา
ในทางจิตวิทยาเรียกว่าฉลาดแบบนี้ว่า Logical & Mathe-matical Intelligence หรือความฉลาดด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
คนฉลาดแบบนี้สมัยกรีกโบราณเรียกว่าปราชญ์ครับ
คนที่สองชื่อรจนา เธอคล่องถึง3ภาษา และกำลังวางแผนที่จะเรียนอีกภาษาหนึ่งอยู่ ใครๆก็มักบอกว่าเธอเขียนโคลงกลอนได้อย่างกะมืออาชีพ ตอนเป็นนักเรียนเธอเข้าใจความหมายของเสียงในคำได้ทันทีที่ครูพูดถึง เพื่อนหลายคนต้องให้เธอติวเรื่องเสียงเอกโทตรีที่เธอก็ไม่เข้าใจว่ามันยาก ตรงไหน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอร่วมในชมรมโต้วาทีโดยเป็นประธานชมรมถึง2สมัย เธอมีความฉลาดที่เรียกว่าความฉลาดด้านภาษา หรือ Linguistic Intelligence อย่างเต็มเปี่ยม
คน ที่สามเป็นช่างไม้ครับ ผมเรียกแกว่าน้าทรง น้าทรงแกเป็นคนผอมๆดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไหร่ ยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าแล้วแกจะมีแรงเลื่อยไม้ไหวหรือ
น้า ทรงเป็นหัวหน้าช่าง แต่ผมว่าแกฉลาดเหลือเกิน แกเข้าใจรูปทรงสามมิติได้อย่างไม่น่าเชื่อ รูปทรงยากๆแค่ไหน อธิบายให้แกฟัง แกก็ประกอบเข้าไม้ได้ไร้ที่ติ การกะระยะยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ต้องใช้เทปวัดเลย ว่างๆผมเห็นแกนั่งวาดรูปเล่นเส้นสายไม่เลวเลยครับ ถ้าได้ร่ำเรียนเสียหน่อย แกก็น่าจะไปได้ดี นี่ถ้าแกเกิดในครอบครัวที่ส่งเสียแกเรียนได้ ผมว่าแกคงเลือกเรียนจิตรกรรม หรือ สถาปัตย์เป็นแน่
คุณ การ์ดเนอร์แกเรียกคนที่มีความสามารถในการกะระยะทาง การเข้าใจรูปทรง การมองเห็นเป็นสามมิติ รวมไปถึงความชำนาญในการใช้สี เส้น ที่ว่าง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับมันได้ว่าเป็นคนที่มีความฉลาดด้านมิติ หรือ Spatial Intelligence
ความฉลาดด้านมิตินี่ผมว่าเราคงจะต้องนับเอาพวกที่มีความชำนาญในเรื่องทิศทางเข้าไปด้วย
คน ที่สี่คนนี้เป็นนักกีฬาสมัครเล่นครับ ถึงจะดูจากรูปร่างแล้วเขาก็ไม่ได้มีร่างกายล่ำสันอะไร แต่กีฬาแทบทุกชนิดเขาเล่นได้ดีเหมือนกับว่าอุปกรณ์กีฬาที่เล่นอยู่เป็นส่วน หนึ่งของร่างกายเขาเองเลย.....ชื่ออิทรีย์ครับคนนี้
เคยแปลกใจบ้างไหมครับเวลาที่เราเห็นคนบางคนเล่นกีฬาอะไรก็ดีไปหมดเสียทุกอย่าง ไม เคิล จอร์แดน เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทั้งบาสเกตบอล เบสบอล หรือแม้แต่กอล์ฟ เขาเล่นได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ เขาทราย กาแล็คซี่ของเรานี่ก็ใช่ครับ นอกจากทำให้คนทั้งโลกยอมรับไปแล้วว่า ไม่มีใครที่นำหนักตัวเท่าเขาล้มเขาบนสังเวียนได้ ผมยังเคยเห็นเขายิงหนังสติ๊กออกทีวีโชค์ความแม่นยำที่ต้องบอกว่าแม่นเอามากๆ และก็ยังเคยได้ยินมาอีกว่าชั้นเชิงสนุ้กเกอร์กับฝีมือตะกร้อของเขาก็ไม่เบา ทีเดียว ไอ้ครั้นจะบอกว่าคนพวกนี้มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่าคนอื่นก็คงไม่ใช่ เพราะกล้ามเนื้อคนเรานี่มันเพาะกันได้ แล้วผมก็ว่านักกล้ามกับนักกีฬานี่มันก็ไม่เกี่ยวกัน
นัก จิตวิทยาอเมริกันท่านนี้มองว่า ความสามารถในการใช้ร่างกายของคนเราก็เป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ความแคล่วคล่อง ความยืดหยุ่น หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ล้วนเป็นความฉลาดของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
พวก นักเล่นกลหรือนักกายกรรมนี่ก็ใช่นะครับ พวกใช้มือประดิษฐ์สิ่งของเก่งๆนี่ก็ใช่เหมือนกัน รวมไปถึงพวกพ่อครัวที่โยนแป้งได้สูงๆแล้วรับได้ พวกโยนผักบุ้งลอยฟ้า คนที่ใช้มือได้คล่องๆอย่างนี้ล้วนมีความฉลาดเหมือนที่นายอินทรีย์มี เป็นความฉลาดที่เรียกว่าความฉลาดทางร่างกาย หรือ Bodily Intelligence นั้นเอง
คน ต่อมาชื่อลุงสำเนียงครับ เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ทั้งวง นี่คุณลุงแกเล่นได้หมดเลย โน็ตสักตัวก็ไม่รู้ แต่แต่งเพลงมาไม่รู้กี่เพลงแล้ว พูดง่ายๆคุณลุงแกมี Musical Intelligence หรือความฉลาดด้านดนตรีมาตั้งแต่เกิด ใครร้องเพลงเพี้ยนขึ้นมาไม่ถึงสามคำแกก็เคาะหัวได้เลย เรื่อง จังหวะนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างแกนี่ต้องเรียกว่าชีพจรเพลงมากกว่าจังหวะเพลง คิดดูก็แล้วกัน เล่นเพลงอยู่ดีๆเกิดสัปหงกหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมายังเดี๋ยวระนาดเข้ากับวงได้ทันทีไม่มีคร่อม
พวกนักเต้นรำที่คล่องจังหวะมากๆ นี่ก็ถือว่ามีความฉลาดด้านดนตรีเหมือนกัน ต่อให้จังหวะซอยถี่แค่ไหนก็ยังย่ำเท้าได้ไม่มีผิด
คน ที่หกเขาชื่อสัมพันธ์ เคยเห็นคนแบบนี้บ้างไหมครับ คนที่ไปอยู่ไหนใครก็รัก ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกและเจตนาของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ เป็นคนที่รู้ถึงความเหมาะเจาะของสัมพันธภาพของมนุษย์ ไม่มีขาดไม่มีเกิน ความสามารถแบบนี้คุณการ์ดเนอร์แกก็ถือเป็นคงวามฉลาดอย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า ความฉลาดด้านมนุษย์สัมพันธ์ หรือ Interpersonal Intelligence
คน สุดท้ายชื้อแปลกหน่อยนะครับ เขาชื่ออัตตา จิตแพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนทุกวันนี้ล้วนแล้ว มาจากการที่ไม่มีใครทำตัวเหมือนคุณอัตตาคนนี้ แล้วคุณอัตตาฉลาดตรงไหนหรือ?
คุณ อัตตาเป็นคนที่นับถือตัวเองอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้จุดอ่อนตัวเอง รู้ความปรารถนาและรู้อารมณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุดเขารู้ด้วยว่าเขาจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองตรงนั้นอย่างไร
ตรงนี้น่าสนใจนะครับ หรือพวกเจ้าอารมณ์ทั้งหลายนี่เป็นเพราะไม่ฉลาดในเรื่องนี้?
เราเรียกความฉลาดของคุณอัตตาว่าความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง หรือ Intrapersonal Intelligence หลายคนรู้จักกันดีในชื่อว่า EQ หรือ ความฉลาดทางอารมณ์นั้นเอง ซึ่งความฉลาดอันสุดท้ายนี่แหละครับที่นักจิตวิทยาทั้งโลกกำลังส่งเสริมให้ ฝึกฝนกันเพราะมันทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
แต่เราต้องเห็นตรงกันก่อนว่าความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คือความพอใจในความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช่เงินทองยศถา
มนุษย์ ทุกคนมีความฉลาดในเจ็ดด้านนี้มาแต่อ้อนแต่ออกแต่อาจจะมีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนอาจมีทั้งเจ็ดด้านเฉลี่ยๆไป แต่บางคนอาจมีด้านเดียวโด่งไปเลย การฝึกฝนจะเป็นหินแท่งสำคัญที่จะลับมีดทั้งเจ็ดเล่มให้คมยิ่งขึ้น
หาให้พบนะครับ คนเจ็ดคนที่ผมแนะนำให้รู้จัก ถูกคอกับคนไหนก็อย่าลืมตีสนิทกับเขาให้มากๆๆ เขาอยู่ในตัวพวกเราทุกคนนั้นแหละ
คุยกะประภาส มติชน วันอาทิตย์ที่13 พ.ค. 2544
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น