วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Everything is F*cked: Mark Manson


 


สรุปหนังสือ Everything is F*cked: A Book About Hope โดย Mark Manson
(แปลแบบกระชับ + เน้นประเด็นสำคัญ)


ใจความหลักของหนังสือ:

ในยุคที่มนุษย์มีทุกอย่างแต่กลับรู้สึก "สิ้นหวัง" มากขึ้น Mark Manson ชี้ว่า "ความหวัง" ไม่ได้มาจากการคิดบวกหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด แต่เกิดจาก การยอมรับความจริงและเลือกสู้กับปัญหาอย่างมีสติ โดยใช้แนวคิดปรัชญาและจิตวิทยามาอธิบาย


3 ประเด็นสำคัญ:

1. สมองสองระบบ (The Feeling Brain vs. The Thinking Brain)

  • สมองส่วนความรู้สึก (Feeling Brain): เป็นส่วนที่ตัดสินใจเร็ว อยู่ลึกในจิตใต้สำนึก ควบคุมโดยอารมณ์และค่านิยม

  • สมองส่วนคิด (Thinking Brain): เป็นเหตุผล แต่ถูกควบคุมโดย Feeling Brain เสมอ

  • ข้อสรุป: การจะเปลี่ยนชีวิตต้องโน้มน้าว Feeling Brain ก่อน (ผ่านการสร้างค่านิยมใหม่) ไม่ใช่แค่ใช้ตรรกะ

2. Hope Theory (ทฤษฎีความหวัง)

ความหวังที่ยั่งยืนต้องมี 2 องค์ประกอบ:

  • Self-Control: ควบคุมตัวเองได้ (ไม่ใช่แค่คิดว่า "ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง")

  • Higher Value: มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเอง (เช่น ศาสนา ศิลปะ ความรัก)

  • ตัวอย่าง: คนที่ผ่านสงครามได้เพราะเชื่อใน "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" หรือ "ครอบครัว"

3. ความเจ็บปวดคือทางออก (Pain is the Solution)

  • สังคมสมัยใหม่สอนให้เรา "หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด" แต่จริงๆ แล้ว ความทุกข์คือสิ่งที่ให้ความหมายชีวิต

  • ปรัชญาของสโตอิก: เราควร "เลือกรับความเจ็บปวด" ที่มีประโยชน์ (เช่น ออกกำลังกาย เรียนหนัก) แทนที่จะหนีปัญหา


ตัวอย่างการใช้ในชีวิตจริง:

  • Social Media: ทำให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น → สูญเสียความหวัง เพราะ Feeling Brain รู้สึกว่า "เราไม่ดีพอ"

  • การแก้ไข: เลิกวัดค่าตัวเองจาก Likes หันไปสร้างค่านิยมใหม่ เช่น "การเติบโตส่วนตัว"


คำคมเด็ด:

  • "You can’t have happiness without hope, and you can’t have hope without struggle."

  • "The more you pursue feeling better all the time, the less satisfied you become."


สรุปส่งท้าย:

หนังสือเล่มนี้บอกเราว่า การยอมรับว่า "ชีวิตมันแย่ได้" ต่างหากที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แทนที่จะเสพข่าวดีหรือคำปลอบใจแบบผิวเผิน ให้โฟกัสที่ การลงมือทำสิ่งที่มีความหมาย แม้จะยากก็ตาม

เหมาะกับคนที่รู้สึกว่า "ชีวิตไม่มีเป้าหมาย" หรือติดกับดักของความคิดบวกเกินไป!

“คุณต้องการความเจ็บปวดอะไรในชีวิต? คุณเต็มใจที่จะต่อสู้เพื่ออะไร?”
“What pain do you want in your life? What are you willing to struggle for?”  

บทที่ 5: Pain is the Solution

ใจความหลัก: ความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง แต่เป็น "เครื่องมือสร้างความหมาย" ที่มนุษย์ขาดไม่ได้

1. ปัญหาของวัฒนธรรมสมัยใหม่

  • สังคมปัจจุบันสอนให้เราแสวงหาความสุขสบายและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด (ผ่านยา ความบันเทิง การบริโภค)

  • แต่ paradox คือ ยิ่งหนีความเจ็บปวด เรายิ่งทุกข์มากขึ้น เพราะสมองปรับตัวจน "ความสบาย" กลายเป็นปกติ และต้องการสิ่งเร้า更强เสมอ

2. ปรัชญาเรื่องความเจ็บปวด

  • สโตอิก (Stoicism): ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่เราควบคุม "การตอบสนอง" ต่อมันได้

  • ฟรอยด์ (Freud): มนุษย์มี "สัญชาตญาณความตาย" (Death Drive) ที่ทำให้เรากลับไปหาความเจ็บปวดเพราะมันให้ "ความรู้สึกมีตัวตน"

  • นีทเชอ (Nietzsche): "สิ่งที่ฆ่าคุณไม่ได้ ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น"

3. วิทยาศาสตร์สมอง

  • สมองส่วน anterior cingulate cortex ทำงานเมื่อเราเจ็บปวดทางกายหรือจิตใจ

  • การศึกษาพบว่า คนที่ยอมรับความเจ็บปวด มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) สูงกว่าคนที่พยายาม "คิดบวก"

4. ตัวอย่างการใช้ความเจ็บปวดเป็นเครื่องมือ

  • นักกีฬา: ฝึกฝนด้วยความเจ็บปวดเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

  • ศิลปิน: ใช้ความทุกข์เป็นวัตถุดิบสร้างงาน

  • ความสัมพันธ์: การโต้เถียงที่แก้ปัญหาช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแรง

สรุปบท:

"ความเจ็บปวดคือสกุลเงินของความหมาย คุณต้องจ่ายมันเพื่อซื้อสิ่งที่มีค่า"


บทสุดท้าย: The Value of Suffering (คุณค่าของความทุกข์)

ใจความหลัก: การเลือก "ค่านิยม" ที่ถูกต้องคือกุญแจสู่ชีวิตที่มีความหวัง

1. วิกฤตค่านิยมสมัยใหม่

  • สังคมบริโภคนิยมทำให้เราวัดค่าตัวเองจากสิ่งภายนอก (เงิน ลาภ ยศ สถานะ) → นำไปสู่ความสิ้นหวัง

  • Solution: ต้องสร้าง "ค่านิยมที่ยั่งยืน" (Sustainable Values) ที่ไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก

2. ค่านิยม 2 ประเภท

  1. Instrumental Values: ค่านิยมที่เป็น "เครื่องมือ" (เช่น เงิน ความสำเร็จ) → หยุดให้ความสุขเมื่อได้มาแล้ว

  2. Final Values: ค่านิยมที่เป็น "จุดหมาย" (เช่น ความรัก ความยุติธรรม การเติบโต) → ให้ความหมายไม่สิ้นสุด

3. วิธีเลือกค่านิยมที่ถูกต้อง

  • Self-Transcendence: เลือกสิ่งที่มีค่ามากกว่าตัวเอง (เช่น การช่วยเหลือสังคม ศิลปะ การสอน)

  • Acceptance of Struggle: ยอมรับว่าค่านิยมที่ดีมักมาพร้อมความยากลำบาก (เช่น การสร้างครอบครัวต้องใช้ความอดทน)

  • ตัวอย่าง:

    • ค่านิยมแย่: "ฉันต้องรวย" → ถ้าไม่รวยจะสิ้นหวัง

    • ค่านิยมดี: "ฉันจะพัฒนาตัวเองทุกวัน" → ควบคุมได้และยั่งยืน

4. การประยุกต์ใช้

  • ขั้นตอน:

    1. ระบุความเจ็บปวดที่คุณยินดีรับ (เช่น อดทนฝึกฝนวิชาชีพ)

    2. เชื่อมโยงมันกับค่านิยมขั้นสุดท้าย (เช่น "การเป็นมืออาชีพ")

    3. ใช้ความเจ็บปวดนั้นเป็น "คอมพาสชี้นำชีวิต"

สรุปบท:

"ความหวังที่แท้จริงเกิดจากการเลือกความทุกข์ที่เรายอมรับได้ และมอบความหมายให้มันผ่านค่านิยมที่สูงกว่า"


บทเรียนรวมจาก 2 บท:

  1. หยุดหนีความเจ็บปวด: มันคือสัญญาณว่าคุณกำลังมีชีวิต

  2. เลือกค่านิยมที่ "ยากแต่คุ้มค่า": เช่น ความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง การสร้างสรรค์สิ่งดีงาม

  3. 重构ความสัมพันธ์กับความทุกข์: ฝึกถามว่า "ความเจ็บปวดนี้สอนอะไรฉัน?" แทนที่จะถาม "ทำไมฉันต้องทนกับสิ่งนี้?"

หนังสือจบด้วยแนวคิดว่า การยอมรับว่า "ทุกอย่างอาจแย่" ต่างหากที่ทำให้เราเป็นอิสระ เพราะเมื่อเราไม่กลัวความล้มเหลวอีกต่อไป เราก็กล้าลงมือทำสิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง

 


1. มันไม่มีหรอก “สิ่งสำคัญของชีวิต” น่ะ คือเราไปให้ความหมายกับสิ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญ แต่จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้มีความสำคัญด้วยตัวของมันเองหรอก เพราะ “ความสำคัญ” มันคือความคิดของเราเอง ดังนั้นสรุปง่าย ๆ คือตัวเราน่ะ ไม่มีความหมายอะไรหรอก และมันก็ไม่ใช่สิ่งผิดปกติด้วย
2. การที่เราบอกตัวเองว่า “เราสำคัญ” เป็นสิ่งที่โกหก และความหวังไม่สามารถสร้างจากการโกหกได้ ดังนั้นถ้าเราอยากมีความหวังที่แท้จริง เราต้องยอมรับก่อนว่า ตัวเราน่ะไม่ได้สำคัญอะไรเลย นั่นแหละเราถึงจะมีความหวัง
3. มีใครหลาย ๆ คนบอกว่า ตอนนี้ “ดีขึ้น” กว่าในอดีตตั้งเยอะ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ อย่างน้อยก็เรื่องของ ความซึมเศร้า หรือ ความโดดเดี่ยว ที่เกิดขึ้นในสังคมเราในปัจจุบัน
4. ถ้าเราอยากสร้างหรืออยากมี “ความหวัง” เราต้องมี 3 อย่าง ได้แก่ 1) ความรู้สึกว่าเราควบคุมชีวิตเราได้ 2) ความเชื่อของคุณค่าของบางสิ่งที่มันคุ้มที่เราจะไขว่คว้า และ 3) สังคมที่มีคนอื่นที่เชื่อเหมือนกับเราเชื่อ
5. อย่าพยายามไปเปลี่ยนตัวเอง เหมือนกับที่หนังสือพวกพัฒนาตัวเองชอบบอก เพราะยิ่งเราพยายามมาก แล้วเราล้มเหลว เราก็จะยิ่งเจ็บปวด
6. ความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้น อย่าพยายามไปกำจัดมัน ยิ่งเราไปกำจัดความเจ็บปวดออก ตัวเรานี่แหละจะไปหาความเจ็บปวดอันใหม่เข้ามาแทน อย่าไปคิดว่า “เราต้องมีความสุขตลอดเวลา”
7. แทนที่เราจะมานั่งจินตนาการว่า “เรารวย” เหมือนที่หนังสือหลาย ๆ เล่มบอก ให้เราจินตนาการว่า “เราไม่รวย และ เราก็ไม่เห็นเป็นอะไร” จะดีกว่า
8. ถ้าอยากจะสร้างลัทธิของตัวเองขึ้นมา เราทำได้ง่าย ๆ คือ “ขายความหวัง ให้กับคนที่หมดหวัง” (อันนี้คือคนเขียนออกแนวประชดประชันมากกว่าจะเป็นคำแนะนำ)
สำหรับความเห็นของผม หนังสือเล่มนี้อ่านไม่ง่าย ต้องคิดตามตลอด มีความเห็นด้วยบ้าง ขัดแย้งบ้าง แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ หากมีเวลานั่งอ่านเงียบ ๆ เพราะต้องใช้สมาธิเยอะพอสมควรครับ แต่เป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง
https://www.nopadolstory.com/book-review/everything-is-fucked/
อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่ www.NopadolStory.com 

1. ตรรกะอย่างเดียว ไม่ช่วยให้เรามีการตัดสินใจที่ดีที่สุดได้

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการตัดสินใจ (รวมถึงการใช้ชีวิตทั่วๆ ไป) ต้องใช้ตรรกะและเหตุผลอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการตัดสินใจที่ดีที่สุดต้องอาศัยทั้งตรรกะและความรู้สึกไปพร้อมๆ กัน เหมือนเวลาที่เราอยากเลิกกินน้ำอัดลม สมองส่วนตรรกะจะสั่งให้เราเลิก โดยบอกว่าน้ำอัดลมไม่ดีต่อสุขภาพ แต่การตัดสินใจว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดีนั้น ส่วนใหญ่มาจากการสั่งการของสมองในส่วนของอารมณ์และความรู้สึก ฉะนั้นแล้วการตัดสินใจจะต้องใช้ทั้งสองส่วนร่วมกันในสัดส่วนที่พอดี


2. ความหวังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่สิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาคือการยอมรับ และการอยู่อย่างมีหลักการ

หากเราเริ่มมีความหวัง นั่นหมายความว่าตอนนั้นเราไม่มีความสุข เพราะความสุขของเราถูกฝากไว้ในอนาคตว่าสักวันมันจะดีขึ้น ความหวังจึงเป็นความสุขปลอมๆ ที่เราสร้างขึ้นมา และไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้จริง สิ่งสำคัญคือการมีสติ ตระหนักรู้ ยอมรับ และเข้าใจสิ่งต่างๆ การตื่นจากโลกแห่งความหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น มาอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง จะช่วยทำให้เราสามารถจัดการชีวิตได้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในปัจจุบันขณะ

3. สุขภาพจิตที่ดี ไม่ได้เกิดจากการหาความสุขให้ตัวเอง แต่เกิดจากการปลดปล่อยอิสรภาพจากการยึดติด

เมื่อเรามีความทุกข์ ไม่ว่าเป็นความเครียดจากเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก หรือเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะพยายามหาความสุขให้ตัวเองด้วยการปรนเปรอตัวเอง เช่น เครียดจากเรื่องงาน เลยต้องออกไปช้อปปิ้ง หรือเครียดที่เลิกกับแฟน เลยไปเที่ยว หาของกินอร่อยๆ หรือเครียดเรื่องครอบครัว เลยดูหนัง เล่นมือถือทั้งวันไม่สนใจใคร แต่วิธีการเหล่านี้ เป็นวิธีการที่ผิด เพราะเราได้ยึดติด และผูกติดความสุขไว้กับสิ่งหนึ่งๆ การแก้ปัญหาจริงๆ คือการปลง พยายามปลดปล่อยตัวเองออกจากสิ่งที่ยึดติดเหล่านั้น เมื่อเราไม่ต้องยึดติด และไม่ต้องพึ่งพิงใคร หรือสิ่งใด เพื่อให้เรามีความสุข เราจะมีความสุขขึ้นเอง







ที่มา: หนังสือ Everything is fucked.
เรียบเรียงโดย: ศตวรรษ คีรีวัน
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์ 

ไม่มีความคิดเห็น: