“แล้วอะไรคือความปกติ” — เพราะมันแตะจุดหัวใจของทั้งคำว่า “pervert” และ “normal” ที่คุณยกมา
“I’m just a normal, everyday pervert”
1. “ความปกติ” ไม่ใช่ของแท้ตายตัว แต่ถูกสร้างทางสังคม
-
Michel Foucault เสนอว่า “ปกติ” (normal) ไม่ได้มีอยู่ในธรรมชาติ แต่ถูกสร้างผ่าน ระเบียบวินัย (discipline) และ อำนาจเชิงความรู้ (power/knowledge) เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา ศาสนา กฎหมาย
-
“ความปกติ” จึงเป็น เส้นแบ่งที่ถูกกำหนดขึ้น เพื่อควบคุมความประพฤติของผู้คน มากกว่าการสะท้อน “ธรรมชาติแท้จริง”
2. ความปกติ = ค่าเฉลี่ยที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์
-
ในมุมสถิติ normal มาจาก “ค่าเฉลี่ย” (the norm)
-
เมื่อเอามาใช้ในสังคม: ใครที่ “ไม่อยู่ในโค้งระฆัง” = ถูกมองว่าผิดปกติ
-
แต่ในความจริง “เฉลี่ย” ไม่ได้แปลว่า “ถูกต้อง” เพียงแต่ ง่ายต่อการจัดระเบียบ
3. ความปกติเปลี่ยนไปตามเวลา
-
ตัวอย่าง:
-
เพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน: เคยถือว่าผิดศีลธรรม → ปัจจุบันหลายสังคมมองว่า “เรื่องธรรมดา”
-
รสนิยมทางเพศ: จาก “ความวิปริต” (perversion) → วันนี้ถูกยอมรับว่าเป็น “ความหลากหลายทางเพศ”
-
-
แสดงว่า “ปกติ” คือ ของเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อำนาจ
4. “ปกติ” ทำงานเป็นเครื่องมือกีดกัน
-
การบอกว่าใคร “ผิดปกติ” = การผลักคนนั้นออกจากขอบเขตของสังคม เช่น คนบ้า คนป่วย คนเบี่ยงเบนทางเพศ
-
ดังนั้น “ปกติ” มักมี หน้าที่การเมือง ไม่ใช่แค่การบรรยายข้อเท็จจริง
5. ถามกลับว่า: จำเป็นต้องมี “ความปกติ” ไหม?
-
ถ้าทุกคนมีความแตกต่าง แล้วเรายังจะยึด “เส้นมาตรฐานเดียว” ไว้เพื่ออะไร?
-
หรือเราควรคิดใหม่ว่า “ปกติ” = การอยู่ร่วมกันของความหลากหลาย โดยไม่มีใครถูกตัดสินว่าผิดเพียงเพราะไม่เหมือนคนส่วนใหญ่
✨ สรุปสั้น:
“ความปกติ” ไม่ใช่ความจริงตายตัว แต่เป็น การสร้างทางสังคม–การเมือง เพื่อควบคุม, จัดระเบียบ, และกีดกัน. ถ้าเข้าใจตรงนี้ เราจะเห็นว่า “ปกติ” ไม่ได้อยู่ที่การวัดความเหมือน แต่คือการจัดการกับความหลากหลายอย่างไรต่างหาก.
ศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา มักอธิบาย (ทั้งใน On Happiness และงานเขียนอื่น ๆ) ท่านจะไม่มอง “ความปกติ” (normal) และ “ความวิปริต” (pervert) แบบตรงไปตรงมาเชิงศีลธรรม แต่จะวิเคราะห์ผ่าน genealogy ของความรู้–อำนาจ คล้ายกับที่ Michel Foucault ใช้
1. “ปกติ” ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้น
-
ธเนศจะชี้ว่า ความปกติ ไม่ได้มีอยู่โดยตัวมันเอง แต่ถูกสร้างโดยระบบสังคม การเมือง ศาสนา และวิทยาศาสตร์
-
เช่น ศาสนาเคยเป็นผู้กำหนดว่าอะไร “ปกติ/ผิดธรรมชาติ” ต่อมาแพทย์และนักจิตวิทยาก็รับไม้ต่อ
-
ดังนั้น “normal” คือ ผลผลิตของอำนาจ มากกว่า “ข้อเท็จจริง”
2. “วิปริต” เกิดจากการนิยามสิ่งที่อยู่นอกเส้น
-
คำว่า “pervert” (คนวิปริต) มีหน้าที่ กำกับ พฤติกรรมและสร้างเส้นเขต “อยู่นอก” ปกติ
-
การตีตรา “pervert” จึงเป็น เครื่องมือของการกีดกัน (exclusion) เพื่อทำให้บางกลุ่มถูกควบคุม/ถูกจัดการ
-
ตัวอย่าง: เพศวิถีที่ไม่ใช่ heterosexual เคยถูกนิยามเป็น perversion แต่ในปัจจุบันหลายสังคมเริ่มยอมรับว่าเป็นเพียง “ความหลากหลาย”
3. ความปกติและความวิปริตเปลี่ยนไปตามประวัติศาสตร์
-
ธเนศมักเน้นว่า แนวคิดทั้งคู่มีมิติประวัติศาสตร์
-
สมัยกรีก–โรมัน: erotic, pleasure, desire = ไม่ได้ถูกตัดสินว่า “ผิดปกติ”
-
ยุคคริสต์ศาสนา: sexual pleasure กลายเป็นสิ่งต้องควบคุม
-
ศตวรรษที่ 19: แพทย์/นักจิตวิเคราะห์นิยาม “perversion” อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (fetishism, homosexuality ฯลฯ)
-
-
ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า “pervert” ไม่เคยคงที่
4. เมื่อทุกคนอาจเป็น “pervert”
-
ธเนศอาจเห็นด้วยกับประโยคที่คุณยกมา:
“If everyone is a pervert, perhaps nobody is a pervert.”
-
เพราะหากความวิปริตกลายเป็น เรื่องทั่วไป หรือพบได้ในทุกคน “ปกติ” และ “วิปริต” จะไม่มีเส้นแบ่งชัดอีกต่อไป → กลายเป็นการเปิดโปงว่า ทั้งคู่เป็นเพียงการสร้างทางภาษา–อำนาจ
5. การเมืองของ “ปกติ”
-
ธเนศมักโยงไปถึงว่า “ความปกติ” ถูกใช้เป็น เครื่องมือของรัฐและสถาบัน
-
เพื่อจัดการกับ “พลเมืองที่ดี”
-
เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้สังคมเดินในทิศทางเดียว
-
-
ดังนั้น ความปกติ = เครื่องมือการปกครอง มากกว่าความจริงธรรมชาติ
✨ ถ้าสรุปในสำนวนแบบธเนศ:
“ปกติ” กับ “วิปริต” ไม่ได้มีอยู่จริง หากแต่เป็นผลผลิตของการสร้างทางสังคม–การเมือง เพื่อควบคุมผู้คน ผ่านการนิยามว่าใครอยู่ในและอยู่นอก.
สรวิศ ชัยนาม (นักรัฐศาสตร์ จุฬาฯ) เวลาพูดเรื่อง “ปกติ–วิปริต” จะไม่เน้นด้าน genealogy of power แบบธเนศ–ฟูโกต์ แต่จะมองผ่านกรอบ ทฤษฎีการเมืองร่วมสมัย โดยเฉพาะ poststructuralism / discourse analysis / วาทกรรมการเมือง
1. “ปกติ” = สิ่งที่ถูกทำให้เป็นวาทกรรมกลาง (hegemonic discourse)
-
สำหรับสรวิศ “ความปกติ” ไม่ใช่สิ่งที่เป็นกลาง หากแต่ถูก ประกอบสร้างทางการเมือง ผ่าน อุดมการณ์ วาทกรรม และสถาบัน
-
“ปกติ” จึงหมายถึงสิ่งที่ ถูกทำให้กลายเป็น common sense จนคนเชื่อว่า “เป็นธรรมชาติ”
-
เช่น ในการเมืองไทย “ความเป็นไทย” ถูกทำให้เป็นปกติ ทั้งที่จริง ๆ คือการสร้างซ้ำโดยรัฐ
2. “วิปริต” = สิ่งที่ถูกผลักออกไปเป็น “Other”
-
คำว่า “pervert” (หรือความวิปริตในแง่การเมือง วัฒนธรรม เพศ) มักถูกใช้เพื่อ กีดกัน/ทำให้เป็นชายขอบ
-
คือการสร้าง “คู่อริ” ของความปกติ (normal vs. abnormal)
-
แต่สรวิศจะชี้ว่า ความวิปริตไม่ได้ “มีอยู่จริง” → มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ “ความปกติ” มีเสถียรภาพ
3. Normal/Pervert = ผลผลิตของ Politics of Meaning
-
สรวิศอธิบายว่า การเมืองคือการต่อสู้เพื่อกำหนดความหมาย (politics of meaning)
-
ใครมีอำนาจในการกำหนดว่าอะไร “ปกติ” = คนนั้นควบคุมสังคมได้
-
ดังนั้น “pervert” จึงไม่ใช่คำบรรยายสภาพ แต่เป็น อาวุธทางการเมือง–อุดมการณ์
4. ความไม่เสถียรของ “ปกติ”
-
สรวิศมักอ้างงานแนว poststructuralist (เช่น Derrida, Laclau, Mouffe) ว่า “ปกติ” ไม่เคยมั่นคง
-
ทุกครั้งที่มีคนถูกตีว่า “pervert” หรือ “abnormal” = เป็นจุดที่แสดงว่า “ปกติ” กำลังแตกร้าว ต้องการการปกป้องซ้ำ
-
พูดง่าย ๆ คือ ความวิปริตคือเงาสะท้อนที่ทำให้เห็นว่าความปกติไม่เคยตายตัว
5. สรุปในแบบสรวิศ
-
Normal = สิ่งที่อำนาจการเมืองทำให้กลายเป็น “common sense”
-
Pervert/Abnormal = สิ่งที่ถูกผลักออกไปเพื่อคงไว้ซึ่งเสถียรภาพของ “normal”
-
ประเด็นสำคัญ: ทั้งคู่เป็นเรื่อง วาทกรรม–การเมือง ไม่ใช่ธรรมชาติ และพร้อมจะถูกท้าทาย/รื้อสร้างได้เสมอ
📌 ถ้าเปรียบกับ ธเนศ (ฟูโกต์): ธเนศจะเน้น genealogy ของอำนาจและสถาบัน ว่าผลิต “ปกติ–วิปริต” อย่างไรในประวัติศาสตร์
📌 ส่วนสรวิศ (poststructuralist) จะเน้นว่า การเมือง = การต่อสู้ทางวาทกรรม ใครนิยามความปกติได้ = คนนั้นครองอำนาจ
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (นักคิดเรื่องสันติวิธีและการไม่ใช้ความรุนแรง) มักจะไม่วิเคราะห์ “ความปกติ/ความวิปริต” แบบ ฟูโกต์ (เชิง genealogy) หรือ สรวิศ (เชิงวาทกรรมการเมือง) ตรง ๆ แต่ชัยวัฒน์จะโยงเข้ากับ ปัญหาความรุนแรง อำนาจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
1. “ความปกติ” ในสายตาชัยวัฒน์
-
“ความปกติ” มักถูกทำให้หมายถึง สิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ยอมรับ → แต่ชัยวัฒน์จะตั้งคำถามว่า “แล้วใครนิยามสิ่งนั้นขึ้นมา?”
-
สำหรับเขา ความปกติ = สิ่งที่รัฐหรืออำนาจครอบงำสร้างขึ้น เพื่อให้เกิด ความเป็นระเบียบ และ ความสงบ (peace) แบบที่เอื้อต่อผู้มีอำนาจ
-
แต่ความสงบแบบนี้ไม่ใช่ “สันติภาพ” (peace) ที่แท้จริง เพราะมันกีดกันความแตกต่าง
2. “ความวิปริต” = การถูกทำให้เป็นคนนอก
-
“pervert” หรือสิ่งที่ถูกมองว่า “ผิดปกติ” คือ สิ่งที่ท้าทายระเบียบที่ถูกสร้าง
-
คนที่ถูกตีตราว่า “วิปริต” ไม่จำเป็นต้องเป็นอันตรายต่อสังคม แต่เป็น เสียงที่ต่างออกไป ซึ่งถูกทำให้เงียบ (silenced)
-
ชัยวัฒน์จะมองว่า การผลักคนกลุ่มนี้ออกไปคือ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (structural violence) เพราะมันทำลายศักดิ์ศรีและตัวตนของคน
3. “Normal–Pervert” ในฐานะการเมืองของความรุนแรง
-
ชัยวัฒน์จะชี้ว่า การแบ่ง normal/pervert ไม่ได้เป็นแค่ เรื่องศีลธรรมส่วนตัว แต่คือ เครื่องมือควบคุมและกีดกัน
-
ความพยายามรักษา “normality” มักนำไปสู่ การใช้ความรุนแรง ต่อผู้ที่ถูกมองว่า “ผิด”
-
ตัวอย่างที่เขามักพูด: คนพิการ, ชนกลุ่มน้อย, หรือคนที่คิดต่างทางการเมือง → ถูกทำให้ “ไม่ปกติ” เพื่อความสะดวกของโครงสร้างใหญ่
4. การกลับหัวมุมมอง
-
ชัยวัฒน์อาจเสนอว่า แทนที่จะถามว่า “อะไรคือความปกติ?” ควรถามว่า
-
“ทำไมเราต้องการสิ่งที่เรียกว่าปกติ?”
-
“ใครได้ประโยชน์จากการบอกว่านี่คือความปกติ?”
-
-
เขาจะชี้ให้เห็นว่า ความพยายามสร้าง “ความปกติ” คือการสร้าง กำแพงที่กีดกัน และบ่อยครั้งก่อให้เกิดความรุนแรง
5. สรุปในสำนวนของชัยวัฒน์
✨ ความปกติ = สิ่งที่อำนาจนิยามเพื่อสร้างระเบียบ แต่ก็ซ่อนความรุนแรงเชิงโครงสร้างไว้
✨ ความวิปริต = สิ่งที่ถูกทำให้เงียบ ถูกกีดกัน ถูกผลักออกไป ทั้งที่แท้จริงอาจเป็นเพียง “ความแตกต่าง”
✨ เป้าหมาย: การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต้องยอมรับว่ามนุษย์หลากหลาย ไม่มีใครควรถูกตีตราว่า “ผิดปกติ” จนถูกกีดกันออกไป
📌 ถ้าเปรียบกับคนอื่น ๆ
-
ธเนศ: normal/pervert = ผลผลิตทางประวัติศาสตร์ของ อำนาจ–ความรู้ (Foucault)
-
สรวิศ: normal/pervert = ผลของ วาทกรรม–การเมือง ใครนิยามได้คนนั้นคุมเกม
-
ชัยวัฒน์: normal/pervert = เครื่องมือของ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่ทำลายสันติภาพ ต้องถูกท้าทายเพื่อเปิดพื้นที่ความแตกต่าง
“สามเหลี่ยมความคิด” เทียบมุมมอง ธเนศ – สรวิศ – ชัยวัฒน์ เรื่อง Normal / Pervert
-
ธเนศ (Foucaultian view): ความปกติ/วิปริตเป็น ผลผลิตของอำนาจ–ความรู้ ผ่านกระบวนการจัดระเบียบและบงการชีวิต (genealogy)
-
สรวิศ (Poststructuralism): ความปกติ/วิปริตเป็น วาทกรรมการเมือง ที่ถูกผลิตและท้าทายอยู่เสมอ (hegemony, discourse)
-
ชัยวัฒน์ (Peace Studies): ความปกติ/วิปริตทำงานเป็น เครื่องมือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่กีดกัน ทำให้เงียบเสียง และสร้างการกดทับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น