Rick Hanson, Ph.D. (นักจิตวิทยาและนักประสาทวิทยา ผู้เขียน Hardwiring Happiness, Resilient, Buddha’s Brain) อธิบายว่าเพราะสมองเรามี negativity bias—ชอบจดจำเรื่องลบ แรงกว่าเรื่องดี—เราจึงต้อง “ฝึกสมอง” ให้รับรู้และซึมซับสิ่งดี ๆ จนกลายเป็นทุนภายใน (inner strengths)
สมองก่อทุกข์ 3 แบบ ตามที่ Rick Hanson อธิบาย
Rick Hanson อธิบายว่า สมองสร้างความทุกข์ (suffering) ได้โดยหลัก ๆ สามช่องทางหรือระบบ 3 แบบ — ซึ่งเป็นผลจากวิวัฒนาการของระบบสมองที่คอยจัดการเรื่อง ความปลอดภัย (avoidance), รางวัล/ความพึงพอใจ (approach/reward) และ การผูกพันทางสังคม (attachment/relational) — แต่เมื่อระบบเหล่านี้ทำงานเกินหรือบิดเบี้ยว จะทำให้เรา “เพิ่ม” ทุกข์ให้ตัวเองได้มากกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง ๆ. rickhanson.com
1) ระบบหลีกเลี่ยง/เตือนภัย — ทำให้สมองเป็น “ลบมาก่อน” (negativity bias)
-
หลักการ: สมองวิวัฒน์มาให้ใส่ใจภัย/ความเสี่ยงมากกว่าสิ่งดี (Velcro for bad, Teflon for good) — เพื่อรอดชีวิตจากอันตราย แต่ในสังคมปัจจุบันมันทำให้เราโฟกัสความเสี่ยง เกิดความกังวล คมคาย (hypervigilance), วิตกกังวล, คิดซ้ำๆ (rumination) และตีความสถานการณ์เป็นภัยมากกว่าที่เป็นจริง. rickhanson.com+1
-
ประสบการณ์จริง: เหตุการณ์เล็ก ๆ — คำพูดหนึ่งประโยค, การเห็นข่าวร้าย — ถูกขยายจนรู้สึกว่า “โลกเป็นอันตราย” ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วมีเหตุการณ์ดีอื่น ๆ เกิดควบคู่กัน.
-
กลไกประสาท (โดยย่อ): โครงสร้างอย่าง amygdala/hippocampus มีบทบาทในการติดป้ายความรู้สึกว่าเป็นภัยหรือไม่ ซึ่งเมื่ออามิกดาลาทำงานเกิน สมองจะจดจำความเจ็บปวด/ภัยได้ง่ายและเร็วกว่า. rickhanson.com+1
2) ระบบเข้าใกล้/รางวัล — craving / “อยากได้ไม่รู้จบ” (wanting vs liking)
-
หลักการ: สมองมีวงจรรางวัล (dopamine-related reward circuits) ที่กระตุ้นให้เราแสวงหาอาหาร, ความสำเร็จ, ความยอมรับ ฯลฯ — ระบบนี้มีประโยชน์ แต่ถ้าถูกขับโดยความอยากแบบต่อเนื่อง (tanha/craving) จะเกิดความไม่พอใจ เสียศูนย์เมื่อไม่ได้รับสิ่งที่อยากได้ และอาจกลายเป็นพฤติกรรมเสพติดหรือตามติดความสำเร็จภายนอกเรื่อย ๆ. rickhanson.com+1
-
ประสบการณ์จริง: ทำงานหนักเพื่อได้ตำแหน่ง/ยอดขาย แต่เมื่อได้แล้วก็ยัง “ไม่พอ” — เพราะวงจร wanting กระตุ้นให้มองไปข้างหน้าเสมอ ทำให้ความพอใจระยะสั้นหายไปเร็ว.
-
จุดสำคัญทางประสาท: “อยาก” (wanting) กับ “ชอบ/เพลิดเพลิน” (liking) มีระบบประสาทไม่เหมือนกัน — การเพิ่ม dopamine ช่วยให้เราขับเคลื่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ความสุขยั่งยืน. rickhanson.com+1
3) ระบบผูกพัน/สังคม — การยึดมั่น (clinging), อาย, การเอาใจใส่ทรมานใจ
-
หลักการ: มนุษย์เป็นสัตว์สังคม — สมองเราไวต่อการเชื่อมโยง การถูกยอมรับ ถูกทิ้ง หรือการสูญเสียความสัมพันธ์ เมื่อความสัมพันธ์ถูกคุกคามจะเกิดความละอาย ความอับอาย ความอ้างว้าง และการยึดติด (cling) ซึ่งกลายเป็นแหล่งใหญ่ของทุกข์ (เช่น หึง ความอิจฉา ความอับอายจากการถูกปฏิเสธ). rickhanson.com+1
-
ประสบการณ์จริง: เราอาจเจ็บจากการถูกตำหนิหรือถูกเพิกเฉยมากกว่าความเจ็บปวดทางกาย — เพราะสมองตีความ “การถูกตัดขาดจากกลุ่ม” เป็นภัยเชิงวิวัฒนาการ. rickhanson.com
Pain vs Suffering — “ความเจ็บปวด” กับ “การเพิ่มทุกข์” (the first dart / second dart)
Rick Hanson ย้ำความต่างสำคัญ: ความเจ็บปวด (pain) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ (loss, illness, ความผิดหวัง) — แต่นักจิตใจมักจะ “ตอกลูกธนูที่สอง” (reactive adding) ด้วยความยึดติด, การตีความแย่, การโทษตัวเอง ทำให้ความทุกข์ทวีคูณ — นี่แหละคือส่วนที่เราคุมได้มากกว่า (stop adding the pain). rickhanson.com
จะทำอย่างไรกับ 3 แบบนี้ (แนวทางปฏิบัติสั้น ๆ ที่ Hanson แนะนำ)
Rick Hanson ให้ทางปฏิบัติที่จับต้องได้หลายอย่าง — หัวใจหลักคือ ฝึกให้สมอง “เก็บ” ประสบการณ์ดี ๆ และลดการตอบสนองอัตโนมัติ ตัวอย่างสำคัญคือ กระบวนการ HEAL (Have, Enrich, Absorb, Link) — วิธีการเอาสิ่งดีมาใส่ในสมองจนกลายเป็นทุนภายใน (inner resources). rickhanson.com+1
ตัวอย่างการประยุกต์ต่อ 3 แบบข้างบน:
-
กับระบบภัย/negativity: หายใจตั้งสติ → ตั้งชื่ออารมณ์ (“ฉันกำลังรู้สึกกลัว/วิตก”) → ทำ grounding (เท้าแตะพื้น) → ฝึกเห็นข้อเท็จจริงที่ปลอดภัย → ฝึก HEAL กับประสบการณ์ปลอดภัยเล็ก ๆ (เช่น การสบตาที่อบอุ่น). rickhanson.com+1
-
กับระบบ craving/reward: ฝึก “savoring” (อยู่กับความสุขสั้น ๆ ให้ยาวขึ้นและซึมลง) — ซึ่งเป็นขั้นตอน Enrich+Absorb ของ HEAL — และแยกระหว่าง “liking” กับ “wanting” (ชอบโดยไม่ต้องอยากได้เพิ่ม). Greater Good+1
-
กับระบบผูกพัน: ฝึก self-compassion / metta (ส่งความปรารถนาดีให้ตัวเองและผู้อื่น), ตั้งคำพูดปลอบใจเมื่อรู้สึกถูกทิ้ง/อับอาย, และใช้การเชื่อมโยง (link step) เพื่อลดพลังของความทรงจำเจ็บปวดเมื่อเชื่อมกับประสบการณ์ปลอดภัยใหม่ ๆ. rickhanson.com+1
สรุปสั้น ๆ ที่ใช้งานได้เลย
-
ระบุว่าความทุกข์ของคุณมาจากช่องทางไหน (ภัย / อยาก / ผูกพัน) — พอรู้ต้นตอ จะจัดวิธีได้ตรงประเด็น. rickhanson.com
-
หยุดการตอบสนองอัตโนมัติ: ตั้งชื่ออารมณ์ หายใจ ขยับร่างกาย — ลดพลังของ "ลูกธนูที่สอง". rickhanson.com
-
ฝึก HEAL (Have → Enrich → Absorb → Link) เป็นประจำ (แม้วันละไม่กี่นาที) เพื่อ “hardwire” ปฏิกิริยาที่สงบและยืดหยุ่นมากขึ้น. rickhanson.com
Rick Hanson ย้ำตลอดว่า “ความสุขฝึกได้” (Happiness is a skill) — เพราะสมองเรามี neuroplasticity หรือความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต
🔎 ทำไมความสุขถึงฝึกได้?
-
Negativity bias ไม่ใช่ชะตากรรม
-
สมองถูกออกแบบมาให้โฟกัสสิ่งลบ แต่เราสามารถ “ฝึกสมอง” ให้เก็บสิ่งดี ๆ ได้มากขึ้น
-
การฝึกนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนโครงข่ายประสาท → ทำให้มองโลกแบบสมดุลกว่าเดิม
-
-
Neuroplasticity = คุณซึมซับอะไรก็กลายเป็นคุณ
-
ประสบการณ์แต่ละวันหล่อหลอมวงจรประสาท
-
ถ้าซึมซับความสงบ เมตตา ความสำเร็จเล็ก ๆ → สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็น “ทุนภายใน” (inner strengths)
-
-
ความสุขไม่ใช่เรื่องโชค แต่คือการฝึกเล็ก ๆ ทุกวัน
-
เช่นเดียวกับการเล่นดนตรีหรือออกกำลังกาย → ต้องมี “การฝึกซ้ำ”
-
การฝึกสั้น ๆ (10–30 วินาทีต่อครั้ง) แต่ทำบ่อย ๆ จะสร้างผลลัพธ์ใหญ่ในระยะยาว
-
🌱 วิธีฝึกความสุข (แนว Rick Hanson)
-
HEAL Process
-
Have: สังเกตสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นจริง
-
Enrich: อยู่กับมันให้นานขึ้น
-
Absorb: ปล่อยให้มันซึมเข้าสู่ใจ
-
Link: เชื่อมสิ่งดีเข้ากับความทรงจำที่ลบ (ถ้าต้องการ)
-
-
ฝึก gratitude → เขียนหรือระลึกถึงสิ่งที่ดีทุกวัน
-
ฝึก self-compassion → พูดดีกับตัวเองแทนที่จะตำหนิตัวเอง
-
ฝึกเมตตา (loving-kindness) → ส่งคำอธิษฐานให้ตัวเองและผู้อื่น
-
ฝึกอยู่กับปัจจุบัน (mindfulness) → สังเกตร่างกาย ลมหายใจ ความรู้สึก
🔑 สรุป
-
ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ “รอให้เกิด” แต่คือสิ่งที่ ฝึกสร้าง ได้
-
ทุกครั้งที่เราจงใจซึมซับสิ่งดี ๆ = เรากำลัง “hardwire happiness” เข้าไปในสมอง
-
การฝึกเล็ก ๆ แต่บ่อย ๆ คือกุญแจ → ทำให้สมองสร้างความสุขที่ มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมชาติ
สิ่งที่เขาแนะนำเป็น วิธีฝึกที่ง่ายและทำได้ทุกวัน (super practical) ได้แก่:
🌱 หลักการฝึกใจ-ฝึกสมองแบบ Hanson
-
Notice the Good → Enrich → Absorb → Link (HEAL process)
-
Notice: สังเกตสิ่งดี ๆ เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น รอยยิ้ม เสียงนก ความสำเร็จเล็กน้อย
-
Enrich: อยู่กับมันนานขึ้น 10–30 วินาที ให้รู้สึกเต็ม ๆ ในกายใจ
-
Absorb: จงใจให้ประสบการณ์นั้นซึมลึก เช่น หายใจเข้ารับมัน หายใจออกปล่อยกังวล
-
Link (optional): เชื่อมสิ่งดีเข้ากับความทรงจำที่ลบ เพื่อให้บรรเทาและปรับสมดุล
-
-
Micro-practices ระหว่างวัน
-
หยุด 3 ลมหายใจลึก ๆ ก่อนตอบใคร
-
ยิ้มเล็ก ๆ เพื่อให้สมองหลั่งโดพามีน
-
นึกขอบคุณสิ่งเล็ก ๆ 3 อย่างก่อนนอน
-
-
Grow Inner Strengths (สร้างทุนภายใน)
-
Self-worth: ทบทวนความสำเร็จเล็ก ๆ ที่คุณทำได้ทุกวัน
-
Calm: ใช้การหายใจช้า ๆ + โฟกัสที่ร่างกายเพื่อลดความตึงเครียด
-
Compassion: ตั้งใจส่งความปรารถนาดีให้ตัวเองและคนอื่น (may you be safe, happy, strong)
-
🧩 การนำไปใช้กับประเด็นเฉพาะ
-
Children → ฝึก “noticing the good” เช่น ถามลูกว่า วันนี้มีอะไรเล็ก ๆ ที่ทำให้ยิ้มได้
-
Motivation → ใช้การซึมซับความสำเร็จเล็ก ๆ เป็นเชื้อเพลิงให้ก้าวต่อไป
-
Relationships → เก็บโมเมนต์ดี ๆ ของคู่/เพื่อน แล้วจงใจจำมันให้อบอุ่นในใจ
-
Trauma → ใช้ HEAL ค่อย ๆ เสริมความรู้สึกปลอดภัยและค่าของตัวเองทีละน้อย
-
Spiritual practice → ระลึกถึงความสงบหรือความเชื่อมโยงกับสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวตน
🛠 ตัวอย่างฝึกง่าย ๆ (ทำได้เลยวันนี้)
-
ระหว่างกินข้าว: จงใจรับรู้รสชาติ อาหารที่อร่อย → ซึมซับ 15 วินาที
-
ระหว่างเดิน: สังเกตความรู้สึกดีในก้าวที่มั่นคง → อยู่กับมันสักครู่
-
ก่อนนอน: เขียน gratitude journal สั้น ๆ 3 ข้อ แล้วหายใจเข้ารับความรู้สึกดี
Rick Hanson พูดเรื่อง “ทำไมเราต้องมีสติ (mindfulness)” ไว้ชัดเจนหลายที่ เพราะสติคือหัวใจของการ “ฝึกสมองใหม่” (rewire the brain) เพื่อลดทุกข์จาก negativity bias และระบบก่อทุกข์ทั้ง 3 แบบที่ผมสรุปให้ก่อนหน้านี้
🔎 ทำไมสติสำคัญในมุมของ Rick Hanson
-
สติ = ช่องทางเข้าสู่การเรียนรู้ของสมอง
-
สมองจะเปลี่ยนแปลงได้ (neuroplasticity) ก็ต่อเมื่อเรามี “ประสบการณ์ที่ตระหนักรู้ชัดเจน”
-
ถ้าไม่มีสติ เราจะอยู่บน autopilot → สมองซึมซับแต่สิ่งลบ ๆ โดยไม่รู้ตัว
-
แต่เมื่อมีสติ เราเลือกได้ว่าจะ “ซึมซับ” สิ่งไหนเข้าสมอง (เช่น ความอบอุ่น ความสงบ ความสำเร็จเล็ก ๆ)
-
-
สติช่วยแยกระหว่าง “ลูกธนูดอกแรก” กับ “ลูกธนูดอกที่สอง”
-
ลูกธนูดอกแรก = ความเจ็บปวดที่เลี่ยงไม่ได้ (pain)
-
ลูกธนูดอกที่สอง = ความทุกข์ที่เราสร้างเพิ่ม เช่น โทษตัวเอง ฟุ้งซ่าน กังวล
-
การมีสติทำให้ “เห็นทัน” ก่อนจะยิงลูกธนูที่สองซ้ำ ๆ
-
-
สติทำให้เกิดช่องว่าง (space) ระหว่างสิ่งกระตุ้นกับการตอบสนอง
-
เช่น มีคนพูดแรง ๆ → ถ้าไม่มีสติจะโต้กลับหรือเก็บมาคิดวน
-
ถ้ามีสติ จะเห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้น รู้ว่า “โกรธกำลังเกิด” และเลือกตอบสนองอย่างสงบ
-
-
สติเป็นฐานของการฝึก HEAL
-
ขั้นตอน Have–Enrich–Absorb–Link ต้องอาศัยการตระหนักรู้กับประสบการณ์ขณะนั้น
-
โดยเฉพาะ “Absorb” (ปล่อยให้ความดีซึมลึก) ถ้าไม่มีสติ สมองจะพลาดโอกาสบันทึกสิ่งดี ๆ
-
🧠 Rick สรุปไว้ (ใจความ)
-
สติไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็น เงื่อนไขพื้นฐาน ของการเปลี่ยนแปลงในสมอง
-
เราต้องใช้สติ “จับภาพ” ประสบการณ์ที่ดีเล็ก ๆ แล้วจงใจ “เก็บ” ไว้
การมีสติบ่อย ๆ = ลดการหมกมุ่นกับอดีต/อนาคต → อยู่กับปัจจุบันที่มีความสุขง่ายขึ้น
ความเมตตากับสมอง ตาม Rick Hanson
-
ระบบการดูแล (Care System) ของสมอง
-
ในสมองมีเครือข่ายประสาทที่วิวัฒน์มาเพื่อเลี้ยงดูลูกและสร้างความร่วมมือในสังคม
-
เมื่อเรารู้สึกเมตตา/กรุณา ระบบนี้จะทำงาน → หลั่ง ออกซิโทซิน (oxytocin) และกระตุ้น ventromedial prefrontal cortex, anterior cingulate cortex และ insula
-
ผลคือ ความรู้สึกอบอุ่น ความปลอดภัย และการเชื่อมโยงกับผู้อื่น
-
-
ความเมตตาลดโหมดภัย (threat system)
-
ปกติสมองเรามี negativity bias → โฟกัสสิ่งที่คุกคาม
-
แต่การฝึกเมตตาจะ “ลดไฟ” ที่ amygdala ทำงานเกิน → สมองเข้าสู่โหมดสงบและเปิดกว้างมากขึ้น
-
-
เมตตาเชื่อมโยงกับการหลั่งสารสุข
-
การคิดปรารถนาดีต่อผู้อื่น/ตัวเอง กระตุ้นสาร โดพามีน (dopamine) และ เซโรโทนิน (serotonin) → ทำให้เกิดความพอใจและสงบ
-
ทำให้สมอง “บันทึก” ประสบการณ์ที่ดีได้ง่ายขึ้น (hardwiring happiness)
-
-
การฝึกเมตตาเป็น “ยาที่ต้านความโดดเดี่ยว”
-
ความโดดเดี่ยวทำให้สมองมองโลกเป็นภัยมากขึ้น
-
แต่ความเมตตา (แม้เพียงคิดเงียบ ๆ ว่า “ขอให้เธอมีความสุข”) จะลดความรู้สึกแยกขาด → สมองปรับเข้าสู่โหมดเชื่อมโยง (connection mode)
-
🌱 ตัวอย่างการฝึก (Rick Hanson แนะนำ)
-
เมตตาต่อตนเอง (self-compassion) → เมื่อผิดพลาด ให้พูดกับตัวเองเหมือนปลอบเพื่อน (“มันโอเคนะ ทุกคนก็พลาดได้”)
-
เมตตาต่อผู้อื่น (loving-kindness) → ส่งคำอธิษฐานสั้น ๆ เช่น “ขอให้คุณปลอดภัย ขอให้คุณมีความสุข”
-
เมตตาในร่างกาย → หายใจเข้าลึก ๆ และนึกถึงความอบอุ่นในหน้าอก เหมือนกอดตัวเอง
-
เมตตาแบบเงียบ ๆ ในชีวิตประจำวัน → เวลาผ่านใคร ให้ลองอธิษฐานเบา ๆ ในใจ (“ขอให้เขามีวันที่ดี”)
🔑 สรุป
Rick Hanson มองว่า ความเมตตาเป็น “ปุ่มรีเซ็ตสมอง” ที่ทำให้เราหลุดออกจากโหมดภัย/อยาก/โดดเดี่ยว → แล้วเข้าสู่โหมดปลอดภัย/พอใจ/เชื่อมโยง ซึ่งเป็นรากฐานของ ความสงบภายใน (inner peace) และ ความสุขที่ยั่งยืน (resilient happiness)
Rick Hanson เชื่อมโยง การให้อภัย (forgiveness) และ ความกตัญญู/การขอบคุณ (gratitude) เข้ากับ สมองและระบบประสาท อย่างชัดเจน เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็น “ตัวฝึกสมอง” ที่ช่วยปรับโหมดจาก threat → reward/connection system
🧠 1. การให้อภัย (Forgiveness) กับสมอง
-
กลไกสมอง
-
เมื่อเราโกรธ/เกลียด: amygdala และ insula ทำงานหนัก → ทำให้เกิดความเครียด วนคิดซ้ำ
-
เมื่อ “ให้อภัย”: สมองส่วน prefrontal cortex (เหตุผล, การมองภาพกว้าง) และ anterior cingulate cortex (การควบคุมอารมณ์) เข้ามา “ปิดไฟ” อารมณ์รุนแรง
-
ยังเพิ่มการทำงานใน ventromedial prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวกับ empathy และ compassion
-
-
ผลลัพธ์
-
ลดความดันโลหิต, ลดฮอร์โมนความเครียด (cortisol)
-
ลดการหมกมุ่นกับอดีต และช่วยให้สมองมีทรัพยากรทางปัญญาและอารมณ์ไปใช้ในสิ่งอื่น
-
Rick Hanson มักจะสอนว่า การให้อภัยไม่ใช่การลืม หรือยอมรับสิ่งที่ผิด แต่คือการ “ปล่อย” (release) เพื่อคืนอิสรภาพให้สมองของเราเอง
🧠 2. การขอบคุณ (Gratitude) กับสมอง
-
กลไกสมอง
-
การรู้สึกขอบคุณเปิดใช้งาน ventral tegmental area (VTA) และ nucleus accumbens → ระบบรางวัล (dopamine pathway)
-
เพิ่มกิจกรรมใน hypothalamus → เกี่ยวกับการควบคุมความเครียดและการนอน
-
กระตุ้น prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และการคิดเชิงบวก
-
-
ผลลัพธ์
-
ทำให้สมอง “จำ” สิ่งดี ๆ ได้ง่ายขึ้น แก้ negativity bias
-
เพิ่ม serotonin และ dopamine → ความสุขสงบที่มั่นคงขึ้น
-
เสริมความสัมพันธ์ (เพราะ gratitude กระตุ้นวงจรเดียวกับการผูกพัน/connection system)
-
Rick Hanson บอกไว้ว่า การขอบคุณคือ “taking in the good” ขั้นสูง → เมื่อเราขอบคุณ สมองกำลัง hardwire ความรู้สึกปลอดภัย, พอใจ และเชื่อมโยงเข้าสู่โครงสร้างสมอง
🌱 3. การบูรณาการ (Forgiveness + Gratitude)
-
การให้อภัย → ปล่อยความหนัก ออกจากระบบภัย (threat)
-
การขอบคุณ → เติมสิ่งดีเข้าสู่ระบบรางวัลและการเชื่อมโยง (reward + affiliation)
-
ทั้งสองอย่างทำงานเป็น คู่สมดุล: ปล่อยของหนัก → เติมของดี → สมองจะ rewire เข้าสู่ความสงบและสุขภายใน
🛠 วิธีฝึกง่าย ๆ ตามแนว Rick Hanson
-
ให้อภัย: เขียนจดหมาย (ไม่จำเป็นต้องส่ง) ถึงคนที่เคยทำให้เจ็บ → ยอมรับความรู้สึก และปิดท้ายด้วยการเลือกปล่อย
-
ขอบคุณ: ก่อนนอนเขียน gratitude journal อย่างน้อย 3 สิ่งเล็ก ๆ ที่ดีในวันนั้น → ใช้เวลา 20–30 วินาที “ซึมซับ” ความรู้สึกนั้นลงในร่างกายและหัวใจ
🔑 สรุป:
-
การให้อภัย = ลดพลังของ amygdala, ปล่อยความทุกข์ออก
-
การขอบคุณ = เปิดวงจรรางวัลและการเชื่อมโยง เติมความสุขเข้า
-
ทั้งคู่คือ “neural training” ที่ Rick Hanson เรียกว่า hardwiring happiness
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น