สรุป 74 ข้อคิด จากหนังสือ “8 กฎทองของคนอยากเข้าใจรัก (8 Rules of Love)”
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์
8 Rules of Love : 8 กฎทองของคนเข้าใจรัก
"ความรักที่ดี" คือหนึ่งในยอดปรารถนาของมนุษย์ เราอยากเป็นที่รัก อยากมีคนรัก และอยากครองรักไปชั่วชีวิต มีสื่อมากมายเล่าเรื่องความรัก แต่น้อยคนจะตีแผ่ทุกแง่มุมออกมาให้เข้าใจง่าย เป็นธรรมชาติ และปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์รัก หนังสือเล่มนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อให้คุณได้เข้าใจรักและเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรัก
ครั้งหนึ่ง “Jay Shetty” เป็นเพียงชายหนุ่มแสนธรรมดา จนกระทั่งเขาได้ออกบวชและเพียรศึกษาคัมภีร์พระเวทนานกว่า 16 ปี เขาจึงได้ผสมผสานศาสตร์โบราณนี้ให้เข้ากับความคิดยุคใหม่จนตกผลึกเป็นแนวคิดด้านความรักที่คอยแนะนำผู้คนที่หลงทาง ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเขียนชื่อดังติดอันดับขายดีจาก New York Times เป็นนักจัดพอดแคสต์มือรางวัล และมีครอบครัวอันแสนสุข
Jay Shetty จะไม่เขียนถึงเทคนิคเพื่อเอาชนะใจใคร ไม่แนะนำคำพูดโปรยเสน่ห์ไว้จีบใคร และไม่มีวิธีตามหาคนที่ใช่ แต่เขาจะเขียนถึงวิธีสร้างความรักของคุณเองขึ้นมา เล่าวิธีรับมือปัญหาบนเส้นทางแห่งรัก และบอกวิธีเลิกคาดหวัง เพื่อให้คุณได้เติบโตไปพร้อมกับคนรักของคุณในทุกวัน
"เราไม่รู้หรอกว่าจะเจอความรักที่ไหนและเมื่อไหร่ แต่เราเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะมีรักได้เสมอ"" "
"8 Rules of Love : 8 กฎทองของคนเข้าใจรัก" เป็นหนังสือที่เขียนโดย เจย์ เชตตี (Jay Shetty) ซึ่งรวบรวมหลักการ 8 ข้อในการสร้างความรักที่ยั่งยืนและมีความหมาย โดยเน้นที่การพัฒนาตนเอง การเข้าใจธรรมชาติของความสัมพันธ์ และการเยียวยาจิตใจ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความสุขได้. ภาพรวมของหนังสือ(ตัวอย่างภาษาไทย)
- ผู้เขียน:เจย์ เชตตี (Jay Shetty) เป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณ อดีตนักบวช และผู้จัดพอดแคสต์ที่มีชื่อเสียง.
- กฎที่ 1: ให้ตัวเองได้อยู่คนเดียวบ้าง พรหมจริยา
- "Atma Prema" เป็นคำในภาษาสันสกฤตที่หมายถึง "ความรักอันไม่มีเงื่อนไขต่อตนเอง"
หรือ "การยอมรับในแก่นแท้ของตนเอง"
ความหมายนี้หมายถึงความรักที่ไม่ใช่การรัก "อัตตา" หรือ "ตัวตนที่หลงยึด"
แต่เป็นการรัก "จิตวิญญาณ" หรือ "ตัวตนสูงสุด"
ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ คำว่า "Atma Prema" ยังถูกนำไปใช้ในบริบทอื่น ๆ เช่น:
- แบรนด์เครื่องประดับ:มีแบรนด์เครื่องประดับชื่อ Atma Prema ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติและความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับโลกใบนี้
- การทำสมาธิและเยียวยา:มีโปรแกรมการทำสมาธิและการเยียวยาที่ใช้แนวคิด Atma Prema เพื่อส่งเสริมการดูแลตนเองและความรักต่อตนเอง เช่น การฝึกทำสมาธิโดยการโฟกัสที่ลมหายใจและการรับรู้แสงสว่างในหัวใจSpending time alone is important for our well-being. การใช้เวลาอยู่คนเดียวเป็นสิ่งสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเรา
ในหนังสือ Flow: The Psychology of Optimal Experience มิฮาลี ชิกเซนท์มิฮาลี เขียนว่า “งานวิจัยปัจจุบันของเราเกี่ยวกับวัยรุ่นที่มีพรสวรรค์แสดงให้เห็นว่าหลายคนล้มเหลวในการพัฒนาทักษะ ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความบกพร่องทางสติปัญญา แต่เพราะพวกเขาทนอยู่คนเดียวไม่ได้”
- กฎที่ 2: อย่าเมินเฉยกรรมของคุณ
- ตอนที่ 2 ความเข้ากันได้ (Compatibility):
- กฎที่ 3: รู้ความหมายของคำว่ารัก ก่อนที่คุณจะคิดรู้สึก หรือพูดมันออกไป
- กฎที่ 4: คู่รักคือครู
- กฎที่ 5: เป้าหมายในชีวิตมาก่อน
- ตอนที่ 3 การเยียวยา (Healing):
- กฎที่ 6: ชนะหรือแพ้ไปด้วยกัน
- กฎที่ 7: คุณไม่ตกแตกเพราะความสัมพันธ์แตกสลาย
- ตอนที่ 4 การเชื่อมต่อ (Connection):
- กฎที่ 8: รักแล้วรักอีก
ไม่มีใครมาสอนเราให้รู้จักความรัก ความรักอยู่รอบตัวเรา แต่การเรียนรู้จากเพื่อนและครอบครัวที่ปล่อยให้ความรักพาไปนั้นเป็นเรื่องยาก บางคนมองหาความรัก บางคนเปี่ยมล้นด้วยความรักและความหวัง บางคนอาจจะเมินเฉยหรือชักจูงกันไป บางคนอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้รัก บางคนเลิกรากันเพราะคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้ความรักไปต่อได้ และบางคนก็ดูมีความสุขกับความสัมพันธ์ที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ทุกคนมีคำแนะนำสำหรับเรา ความรักคือสิ่งเดียวที่คุณต้องการ เมื่อคุณได้พบกับเนื้อคู่ คุณจะรู้เอง คุณสามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ ความสัมพันธ์ควรจะรู้สึกง่ายดาย สิ่งตรงข้ามดึงดูดกัน แต่มันยากที่จะรู้ว่าควรทำตามคำแนะนำใดและควรเริ่มต้นอย่างไร เราไม่สามารถคาดหวังความรักที่ถูกต้องได้หากเราไม่เคยได้รับการศึกษาว่าควรให้หรือรับมันอย่างไร วิธีจัดการอารมณ์ของเราเมื่อต้องเชื่อมโยงกับผู้อื่น วิธีทำความเข้าใจผู้อื่น(Empathy & Perspective-taking) วิธีสร้างและบ่มเพาะความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่จะเจริญรุ่งเรือง
วิธีสร้างและบ่มเพาะความสัมพันธ์
เป้าหมาย: จากการเชื่อมโยงชั่วคราว → สู่ความไว้วางใจระยะยาว
วิธีปฏิบัติ
-
Consistency (ความสม่ำเสมอ)
-
ทำสิ่งเล็ก ๆ ซ้ำ ๆ → เช่น ทักทาย, ขอบคุณ, ตรงต่อเวลา
-
ความสัมพันธ์เติบโตจากความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ gesture ใหญ่ครั้งเดียว
-
-
Vulnerability (กล้าเปิดเผย)
-
แบ่งปันความรู้สึก/ความเปราะบางเล็ก ๆ ให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นมนุษย์จริง ๆ
-
ตัวอย่าง: “จริง ๆ ฉันกังวลเวลาต้องพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ”
-
-
Appreciation (การขอบคุณและยอมรับคุณค่า)
-
พูดคำ “ขอบคุณ” หรือ “ฉันดีใจที่มีคุณอยู่” อย่างสม่ำเสมอ
-
งานวิจัย Gottman พบว่าความสัมพันธ์ยั่งยืนมักมีอัตรา Positive:Negative interactions = 5:1
-
-
Shared Rituals (พิธีเล็ก ๆ ร่วมกัน)
-
คู่รัก: กอดกันทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน
-
เพื่อนร่วมงาน: ทานกาแฟเช้าด้วยกันทุกวันศุกร์
-
Rituals สร้าง “ราก” ให้ความสัมพันธ์
-
-
Conflict Repair (ซ่อมแซมหลังขัดแย้ง)
-
ไม่มีความสัมพันธ์ไหนไร้ความขัดแย้ง
-
สำคัญคือ “การซ่อมแซม”: เช่น “ฉันเสียใจที่พูดแรงไป มาคุยกันใหม่นะ”
-
We think of feeling appreciated, respected, and loved as core needs in a relationship, but when we attend to these needs for ourselves in small ways every day, then we don’t have to wait for our partner to deliver them through a grand gesture. เราคิดว่าความรู้สึกที่ได้รับการชื่นชม เคารพ และเป็นที่รักคือความต้องการพื้นฐานในความสัมพันธ์ แต่เมื่อเราใส่ใจความต้องการเหล่านี้ด้วยตัวเองในทุกๆ วัน เราก็ไม่จำเป็นต้องรอให้คู่ของเรามอบความรู้สึกเหล่านั้นให้ด้วยท่าทางที่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป
- แนวคิด: ฝึกการอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข เพื่อรู้จักและเข้าใจตัวเองก่อนที่จะไปรักคนอื่น
- แนวคิด: ยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี
One of the translators of the Bhagavad Gita, Eknath Easwaran, said, “Love grows by practice, there’s no other way.” ความรักเติบโตได้ด้วยการฝึกฝน ไม่มีทางอื่น
- แนวคิด: ต้องเข้าใจความหมายของความรักอย่างแท้จริง ก่อนที่จะให้คำว่า "รัก" หลุดออกจากปาก
Love does not consist of gazing at each other, but in looking outward together in the same direction.
—ANTOINE DE SAINT-EXUPÉRY
ความรักไม่ได้ประกอบด้วยการจ้องมองกันและกัน แต่คือการมองออกไปข้างนอกด้วยกันในทิศทางเดียวกัน — อองตวน เดอ แซงเตกซูเปรี
The meaning of life is to find your gift. The purpose of life is to give it away.
—DAVID VISCOTT
ความหมายของชีวิตคือการค้นพบของขวัญของคุณ จุดประสงค์ของชีวิตคือการมอบมันให้คนอื่น
—เดวิด วิสคอตต์
- แนวคิด: การมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความรัก และเป็นพื้นฐานให้รักกันได้อย่างมั่นคง
- แนวคิด: ความสัมพันธ์ต้องเติบโตไปพร้อมๆ กัน โดยสนับสนุนกันในทุกสถานการณ์ ทั้งยามสุขและยามทุกข์
- แนวคิด: ความสัมพันธ์ที่จบลง ไม่ได้หมายความว่าตัวตนของเราจะแตกสลาย แต่คือโอกาสในการเยียวยาและเติบโต
แก่นการประยุกต์ใช้ The Hindu Ashrama system ในความรัก
-
Brahmacharya → รู้จักตนเองก่อน
-
Grihastha → สร้างความสัมพันธ์ด้วยความรับผิดชอบ
-
Vanaprastha → เปลี่ยนความรักเป็นการเติบโตร่วมกัน ฝึกฝน
การให้อภัย และแสวงหาการเยียวยา แก้ไขความขัด
แย้งและรู้จักปล่อยวาง -
Sannyasa → รักด้วยการปล่อยวางและกรุณา มองข้ามตัวตนของเราเพื่อดูว่าเราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร
หลักของ The Bhagavad Gita ภควัทคีตาในความรัก
-
รักอย่างไม่หวังผล – ให้โดยไม่คาดหวัง Nishkama Karma
-
เคารพหน้าที่และความแตกต่าง – ยอมรับบทบาทซึ่งกันและกัน Svadharma เสมอภาค Samatvam , Bhakti – ความรักและความศรัทธาต่อสิ่งสูงกว่า ,Detachment (Vairagya) – ความรักที่ไม่ยึดติด , Jnana – ปัญญาและการมองเห็นความจริง
-
รักษาสมดุลใจ – ไม่หวั่นไหวกับสุข-ทุกข์
-
มีศูนย์กลางทางจิตวิญญาณร่วมกัน – ร่วมกันทำสิ่งที่สูงกว่าตัวตน
-
รักด้วยปัญญาและการปล่อยวาง – ให้พื้นที่และเสรีภาพแก่กัน
- ถ่ายทอดความรู้ผ่านการผสมผสานศาสตร์โบราณกับความคิดยุคใหม่.
-
8 Rules of Love – Jay Shetty
1. Let Yourself Be Alone
-
ก่อนจะรักใคร ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองให้ได้
-
ความเหงาไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่คือช่วงเวลาในการพัฒนาตัวเอง
-
การรักตัวเองเป็นรากฐานของทุกความสัมพันธ์
นำไปใช้: ฝึกอยู่กับตัวเอง เช่น เขียนบันทึก ทำกิจกรรมที่ชอบคนเดียว พัฒนาความมั่นใจและคุณค่าในตัวเอง ความสันโดษ (Solitude) ไม่ใช่ “ความเหงา” แต่คือการสร้างพื้นที่ให้เราได้ รู้จัก เข้าใจ และเชื่อมโยงกับตัวเองอย่างลึกซึ้ง
วิธีปรับปรุงความสัมพันธ์กับตัวเองผ่านความสันโดษ
1. ฟังเสียงภายใน (Self-Reflection)
-
เวลาที่อยู่ลำพังช่วยให้เราได้ยินเสียงความคิด ความรู้สึกของตัวเองชัดขึ้น
-
เป็นโอกาสถามตัวเองว่า “ฉันต้องการอะไรจริงๆ?” หรือ “อะไรที่ทำให้ฉันมีชีวิตชีวา?”
👉 วิธีทำ: จัดเวลาเขียนบันทึกประจำวัน (journaling) หรือทำสมาธิวันละ 10–15 นาที
2. ยอมรับตัวเอง (Self-Acceptance)
-
การอยู่คนเดียวทำให้เราเจอทั้งข้อดีและข้อบกพร่องของตัวเอง
-
ถ้าเราฝึกยอมรับได้ ก็ไม่ต้องวิ่งหาการยอมรับจากคนอื่นอย่างสิ้นหวัง
👉 วิธีทำ: ฝึกขอบคุณตัวเองในสิ่งเล็กๆ เช่น “วันนี้ฉันพยายามเต็มที่แล้ว”
3. พัฒนาความสนใจส่วนตัว (Self-Discovery)
-
ความสันโดษคือพื้นที่ทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องกังวลสายตาคนอื่น
-
ทำให้เราเข้าใจว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไรจริงๆ
👉 วิธีทำ: ใช้เวลาเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น วาดรูป เล่นดนตรี ทำอาหาร หรืออ่านหนังสือ
4. เสริมพลังภายใน (Resilience)
-
เมื่ออยู่คนเดียว เราเรียนรู้ที่จะจัดการอารมณ์ ความเหงา และความกลัว
-
สิ่งนี้ทำให้เราไม่ “พึ่งพิง” ความรักจากคนอื่นจนเกินไป
👉 วิธีทำ: ฝึกหากิจกรรมที่ทำให้ใจสงบได้ด้วยตัวเอง เช่น เดินเล่น ออกกำลังกาย หรืออยู่กับธรรมชาติ
5. สร้างความรักที่ไม่ขึ้นกับเงื่อนไข (Unconditional Self-Love)
-
ถ้าเรารักตัวเองได้แม้ไม่มีใครอยู่ด้วย เราจะไม่ยอมลดคุณค่าตัวเองเพื่อให้ใครรัก
-
ความสันโดษจึงเป็นบทเรียนของการ “อยู่ได้ด้วยตัวเองก่อน แล้วค่อยแบ่งปันรักกับคนอื่น”
👉 วิธีทำ: พูดกับตัวเองอย่างอ่อนโยน (self-compassion) แทนที่จะดุด่าตัวเองเวลาเจอความผิดพลาด
🌿 สรุป
ความสันโดษไม่ใช่ความเหงา แต่คือ สนามฝึกความสัมพันธ์กับตัวเอง
-
ฟัง → ยอมรับ → พัฒนา → เสริมพลัง → รักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับตัวเองแล้ว ความรักกับคนอื่นก็จะ ไม่ใช่การเติมเต็มช่องว่าง แต่คือ การแบ่งปันความอิ่มเต็ม
การอยู่คนเดียวอย่างมีคุณภาพ ช่วยเรา:
-
รู้จักตัวเอง (awareness)
-
เมตตาต่อตัวเอง (compassion)
-
เห็นคุณค่าในตัวเอง (self-worth)
-
สัมผัสปัจจุบัน (mindfulness)
-
พึ่งพิงอารมณ์ตัวเองได้ (independence)
เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตนเองแล้ว เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้อื่นได้ด้วย
Self-awareness → Self-expression → Healthy communication
-
รู้จักตัวเอง (อารมณ์, ความต้องการ, ขอบเขต, จุดแข็ง)
-
แปลงเป็นภาษาที่ชัดเจน (“ฉันรู้สึก... เมื่อ... ฉันต้องการ...”)
-
สื่อสารอย่างเคารพและฟังอีกฝ่ายด้วย
2. Don’t Ignore Your Karma
-
ความรักไม่ใช่แค่เรื่องของปัจจุบัน แต่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ ความเชื่อ และบาดแผลในอดีต
-
ต้องเข้าใจ “pattern” ของตัวเอง ไม่ทำผิดซ้ำๆ
-
ความรักสะท้อนการเรียนรู้และการเติบโตทางจิตใจ
นำไปใช้: ทบทวนความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เรียนรู้ว่าตัวเองเลือกคู่รักแบบไหน และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
3. Define Love Before You Think It, Feel It, or Say It
-
หลายคนสับสนระหว่างความใคร่ ความหลง และความรัก
-
ต้องเข้าใจว่า “รัก” ในความหมายของเราคืออะไร
-
ความรักที่แท้คือการเห็นค่าและยอมรับอีกฝ่าย ไม่ใช่แค่การตอบสนองความต้องการ
นำไปใช้: เขียนนิยามความรักของตนเอง ว่าต้องการแบบไหน และจะให้ความรักอย่างไร
4 ระยะของความรักตาม Jay Shetty
-
Attraction (แรงดึงดูด – สายฟ้าฟาดแรกพบ)
-
เป็นช่วงเริ่มต้นที่เรา “รู้สึกสนใจ” หรือ “ถูกใจ” ใครสักคน มีประกายความสงสัย ความตื่นเต้น หรือความคิดว่า “เธอคนนั้นน่าสนใจจัง” jayshetty.meomny.fmApple Podcasts
-
-
Dreams (ความฝันร่วมกัน – ภาพอนาคตในใจ)
-
ช่วงที่เราจินตนาการร่วมกัน ฝันถึงอนาคต คาดหวังสิ่งดี ๆ จากอีกฝ่าย แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ตกหลุม “รายการคุณสมบัติในฝัน” ที่ไม่จริงมากเกินไป ต้องเห็นความเป็นจริงผ่านกิจวัตรและการใช้ชีวิตร่วมกัน jayshetty.meomny.fmApple Podcasts
-
-
Struggle and Growth (ความขัดแย้งและการเติบโต)
-
เมื่อความสัมพันธ์เริ่มท้าทาย คุณจะเจอความต่าง ความผิดหวัง หรือความไม่ลงรอย จากนั้นจะต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน พัฒนาและเติบโตเป็นคู่รักที่แข็งแกร่งขึ้น jayshetty.meomny.fmApple Podcasts
-
-
Trust (ความไว้วางใจ – รากฐานมั่นคง)
-
เมื่อผ่านการเติบโตร่วมกันมา ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปสู่ความไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง เห็นกันในความไม่สมบูรณ์ แต่ยังรู้ว่าเชื่อใจและยืนอยู่เคียงข้างกันได้ jayshetty.meomny.fmApple Podcasts
-
| ระยะ (Stage) | ความหมายสั้น ๆ |
|---|---|
| Attraction | ถูกใจในครั้งแรก มีแรงดึงดูด |
| Dreams | สร้างภาพอนาคตร่วมกัน มีความฝันแต่ต้องเรียลลิสต์ |
| Struggle & Growth | มีความขัดแย้ง แต่ใช้เพื่อเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน |
| Trust | วางใจในกันและกัน เติบโตสู่ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมั่นคง |
4. Your Partner Is Your Guru
-
คู่รักคือครูผู้สอนของเรา
-
เขา/เธอสะท้อนสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ เช่น ความอดทน ความเมตตา การให้อภัย
-
ความสัมพันธ์ไม่ใช่เวทีแข่งขัน แต่คือพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน
นำไปใช้: เวลามีความขัดแย้ง ให้ถามว่า “สิ่งนี้กำลังสอนอะไรฉัน?” แทนที่จะมองเป็นการต่อสู้
🔑 วิธีสร้างความไว้วางใจในความสัมพันธ์
1. ความซื่อสัตย์ (Honesty)
-
พูดความจริง แม้ในเรื่องเล็ก ๆ
-
การโกหกเล็ก ๆ บ่อยครั้งบั่นทอน trust ได้มากกว่าที่คิด
👉 ตัวอย่าง: ถ้าทำผิดพลาด ควรยอมรับ แทนที่จะปิดบัง
2. ความสม่ำเสมอ (Consistency)
-
คำพูดและการกระทำต้องไปในทิศทางเดียวกัน
-
คนเราจะไว้ใจได้ก็ต่อเมื่อเรามีความน่าเชื่อถือ และพึ่งพาได้ในระยะยาว
👉 ตัวอย่าง: ถ้าบอกว่าจะโทรกลับ ก็ควรทำจริงตามนั้น
3. การฟังอย่างแท้จริง (Active Listening)
-
ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่รีบแก้ปัญหาทันที
-
แสดงออกว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายมีค่าและได้รับการรับฟัง
👉 ตัวอย่าง: พูดซ้ำสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึก เพื่อยืนยันว่าเราเข้าใจจริง
4. การรักษาสัญญา (Keeping Promises)
-
ทำตามที่พูด ไม่ผิดนัดบ่อย ๆ
-
ถ้าสัญญาไม่ได้ อย่าสัญญา เพราะทุกการผิดคำพูดคือลบคะแนน trust
👉 ตัวอย่าง: ถ้าบอกว่าจะช่วยงานบ้าน ควรลงมือทำจริง ไม่เลื่อนเรื่อย ๆ
5. ความโปร่งใส (Transparency)
-
เปิดเผยเรื่องสำคัญ เช่น การเงิน แผนชีวิต ความกังวล
-
ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกเรื่องเล็ก ๆ แต่ไม่ควรปิดบังสิ่งที่กระทบต่อความสัมพันธ์
👉 ตัวอย่าง: แชร์ความกังวลเรื่องงานหรืออนาคต แทนที่จะเก็บไว้คนเดียวจนอีกฝ่ายรู้สึกถูกกันออก
6. การให้อภัยและการซ่อมแซม (Forgiveness & Repair)
-
ไม่มีคู่รักไหนที่ไม่ทำผิดพลาด
-
Trust สร้างขึ้นได้ด้วยการ “ซ่อมแซม” หลังความขัดแย้ง แทนที่จะปล่อยบาดแผลค้างคา
👉 ตัวอย่าง: หลังทะเลาะกัน ให้พูดว่า “ฉันเสียใจที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น มาคุยหาทางแก้ด้วยกันนะ”
7. การเปิดเผยความเปราะบาง (Vulnerability)
-
ยอมรับว่าตัวเองมีจุดอ่อน และกล้าแสดงออก
-
เมื่อคู่รักเห็น “ความจริงแท้” ของเรา และเราก็ยอมรับความจริงแท้ของเขา ความไว้วางใจจะลึกขึ้น
👉 ตัวอย่าง: กล้าพูดว่า “ฉันกลัวถูกทิ้ง” แทนที่จะเก็บไว้จนกลายเป็นการควบคุม
✨ สรุป
Trust = ความซื่อสัตย์ + ความสม่ำเสมอ + การเปิดใจ
-
พูดจริง → ทำจริง
-
ฟังและเข้าใจอีกฝ่าย
-
เปิดเผยทั้งความแข็งแรงและความเปราะบาง
-
ซ่อมแซมเมื่อมีรอยร้าว
5. Purpose Comes First
-
การมีเป้าหมายชีวิตสำคัญกว่าการมีคู่รัก
-
ถ้าเรายังไม่รู้จักเส้นทางของตัวเอง อาจพึ่งพาความรักจนกลายเป็นภาระ
-
คู่รักที่ดีควรช่วยสนับสนุนเส้นทางชีวิตของเรา และเราก็ทำแบบเดียวกันกับเขา
นำไปใช้: กำหนดเป้าหมายชีวิตส่วนตัวก่อน แล้วค่อยดูว่าความสัมพันธ์จะเสริมกันได้อย่างไร
แนวคิด “ปุรุษารถะ (Purushārtha)” คือ “สี่เป้าหมายพื้นฐานของชีวิตมนุษย์” ในคัมภีร์ฮินดู ซึ่งมักสรุปว่าได้แก่
1) Dharma 2) Artha 3) Kāma 4) Mokṣa — ไม่ได้ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นระบบนิเวศที่ต้อง “จัดสมดุล” ตลอดชีวิต
1) Dharma (ธรรมะ/หน้าที่–ความถูกต้อง–ความหมายของชีวิต)
ใจความ: หลักการ/คุณค่าที่ค้ำจุนระเบียบของโลกและสังคม และบทบาทที่ควรทำในฐานะ “ฉันคนนี้” (svadharma)
ในชีวิตจริง: จริยธรรม ความซื่อสัตย์ การรับผิดชอบ บทบาทต่อครอบครัว งาน ชุมชน
เครื่องมือปฏิบัติ
-
นิยาม “คุณค่าหลัก 3–5 ข้อ” ของตน (เช่น ความจริงใจ เมตตา ความรับผิดชอบ)
-
เช็คอินรายสัปดาห์: การตัดสินใจที่ผ่านมา “สอดคล้องคุณค่าไหม?”
-
สร้างพิธีกรรมเล็ก ๆ (ritual) เช่น ขอบคุณ/ทบทวนก่อนนอน 3 นาที
หลุมพราง: ยึดกฎแข็งทื่อจนขาดเมตตา, แบกภาระคนเดียว, สับสน “หน้าที่ของคนอื่น” กับของเรา
2) Artha (อรรถะ/ทรัพยากร–งานอาชีพ–ฐานะการเงิน)
ใจความ: “เครื่องมือ/ปัจจัยยังชีพ” เพื่อทำ Dharma ให้สำเร็จ (งาน รายได้ ความมั่นคง ทักษะ)
ในชีวิตจริง: วางแผนอาชีพ การเงิน การออม/ลงทุน ระบบสนับสนุน (เครือข่าย ความรู้)
เครื่องมือปฏิบัติ
-
กำหนดเป้าหมายการเงิน 3 ระดับ: ความมั่นคง (safety) → เติบโต (growth) → ใจบุญ/คืนกลับ (giving)
-
กฎ 50–30–20 หรือรูปแบบที่เหมาะกับคุณค่า (จำเป็น–พึงใจ–ออม/ลงทุน)
-
แผนพัฒนาทักษะรายไตรมาส (skills ที่เพิ่มอำนาจต่อรองอย่างมีศีลธรรม)
หลุมพราง: เอาเงินนำหน้าคุณค่า, เปรียบเทียบสถานะ, ใช้ทรัพยากรเพื่อภาพลักษณ์มากกว่าความหมาย
3) Kāma (กามะ/ความพึงพอใจ–ความสุข–ความสัมพันธ์)
ใจความ: ความรื่นรมย์ทางชีวิต ศิลป์ ความรัก ความใกล้ชิด ความงาม—ไม่ใช่ “ปล่อยตามใจ” แต่เป็น “ความสุขที่กล่อมเกลาจิตใจ” ภายใต้ Dharma
ในชีวิตจริง: ความรักคู่ครอง มิตรภาพ เวลาพัก จิตนิยม/ศิลปะ เพศสัมพันธ์อย่างมีสติ
เครื่องมือปฏิบัติ
-
เวลาคุณภาพ (quality time) ที่ไม่มีหน้าจอ สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง
-
กติกาความสัมพันธ์: ความยินยอม (consent), การสื่อสาร “ฉันรู้สึก…/ฉันต้องการ…”
-
บันทึกความสุขเล็ก ๆ วันละ 3 อย่าง เพื่อฝึกสังเกตความรื่นรมย์แบบเรียบง่าย
หลุมพราง: เสพติดสิ่งเร้า, ใช้ความสุขเพื่อกลบอารมณ์ยาก, ละเมิดขอบเขตผู้อื่น
4) Mokṣa (โมกษะ/ความหลุดพ้น–อิสรภาพทางจิตวิญญาณ)
ใจความ: การรู้ตื่น–เห็นจริง เป็นอิสรภาพจากความยึดติดและอวิชชา เชื่อมต่อกับสิ่งสูงสุด
ในชีวิตจริง: สมาธิ/โยคะ/สวดภาวนา การใคร่ครวญตน (self-inquiry) การปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่
เครื่องมือปฏิบัติ
-
สมาธิ/กำหนดลมหายใจ 10–20 นาทีต่อวัน
-
“หยุด–ดู–รู้สึก–เลือก” เมื่ออารมณ์รุนแรง ก่อนตอบสนอง
-
การทำความดีไร้เงื่อนไข (seva) เป็นประจำ
หลุมพราง: ใช้ “ธรรมะ” หลบปัญหา (spiritual bypassing), ดูแคลนโลกียสุข/ความรับผิดชอบ
บาลานซ์อย่างไรให้ทั้ง 4 ทำงานร่วมกัน
-
ลำดับอ้างอิง: เมื่อขัดกัน มักให้ Dharma เป็นกรอบ, Mokṣa เป็นทิศทางสูงสุด, แล้วออกแบบ Artha (ทรัพยากร) เพื่อรองรับ Kāma (ความสุข) อย่างมีคุณค่า
-
วงจรชีวิต (อาศรม):
-
Brahmacharya → เน้น Dharma/ทักษะ (Artha)
-
Gṛhastha → บ่ม Artha–Kāma ภายใต้ Dharma
-
Vānaprastha → ขยับสู่ Dharma–Mokṣa
-
Sannyāsa → Mokṣa เด่นชัดขึ้น
-
-
เกณฑ์เช็คสมดุล (สัปดาห์ละครั้ง): ให้คะแนน 1–5
-
Dharma: การตัดสินใจสอดคล้องคุณค่าหลักไหม?
-
Artha: รายรับ–ออม–ทักษะ เดินตามแผนไหม?
-
Kāma: ได้เติมความสุข/ความใกล้ชิดอย่างเคารพขอบเขตไหม?
-
Mokṣa: ได้ฝึกภาวนา/ปล่อยวางทุกวันไหม?
→ ตัวไหนต่ำสุด คือ “จุดปรับ” ของสัปดาห์ถัดไป
-
ประยุกต์กับ “ความสัมพันธ์รัก”
-
Dharma (ค่านิยมร่วม): นิยาม 3 คุณค่าที่เรายึดร่วม (เช่น ซื่อสัตย์ เมตตา การเติบโต) และใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจคู่
-
Artha (ฐานะร่วม): วางแผนการเงินโปร่งใส เป้าหมายสั้น–ยาว บทบาทรับผิดชอบที่ชัดเจน
-
Kāma (ความสุข/ใกล้ชิด): นัด “เดทปลอดหน้าจอ” ประจำ สื่อสารความต้องการ/ขอบเขตอย่างเป็นมิตร
-
Mokṣa (มิติจิตวิญญาณ): ฝึกเงียบ/ภาวนาร่วมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เรียนรู้การปล่อยวางอัตตาและให้อภัย
แผน “7 วันรีเซ็ตปุรุษารถะ” (ทำได้จริง)
-
Dharma: เขียนคุณค่าหลัก 5 ข้อ + ตัวอย่างพฤติกรรมของแต่ละข้อ
-
Artha: ทำงบประมาณ 50–30–20 และรายการทักษะที่ต้องอัปสกิล
-
Kāma: วางแพลนกิจกรรมเติมใจ (เดท/ศิลปะ/ธรรมชาติ) ที่สอดคล้องคุณค่า
-
Mokṣa: เริ่มสมาธิ 12 นาที + บันทึกความคิดที่ยึดติดและสิ่งที่ยอมปล่อย
-
ความสัมพันธ์: สนทนา “ค่านิยม–การเงิน–ขอบเขต–ความสุข–ภาวนา” กับคู่
-
ทบทวน: ดูคะแนนทั้ง 4 มิติ ปรับแผนจุดที่ต่ำสุด
-
ลงหลัก: ตั้งพิธีกรรมรายวันสั้น ๆ (เช้า: ตั้งเจตนา / เย็น: ทบทวน)
สรุปสั้น
-
Dharma ให้ “ทิศทางและความหมาย”
-
Artha ให้ “ทรัพยากรและความมั่นคง”
-
Kāma ให้ “ความสุขและความอบอุ่นของความเป็นมนุษย์”
-
Mokṣa ให้ “อิสรภาพและสันติภายใน”
ชีวิตที่ดีไม่ใช่แค่ไล่ตามหนึ่งเป้าหมาย แต่คือ ศิลปะของการบูรณาการทั้งสี่ อย่างมีสติและเมตตา
6. Win or Lose Together
-
ในความสัมพันธ์ที่แท้จริง ไม่มีคำว่า “ฉันชนะ เธอแพ้”
-
ต้องคิดแบบ “เราชนะด้วยกัน เราแพ้ด้วยกัน”
-
ความรักคือการร่วมมือ ไม่ใช่การแข่งขัน
นำไปใช้: เวลาเถียงกัน หลีกเลี่ยงการโต้เถียงว่าใครถูกใครผิด แต่หันมาโฟกัส “เราจะหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนได้ยังไง” สุข-ทุกข์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางร่วมกัน
7. You Don’t Break in a Breakup
-
การเลิกราไม่ใช่การล้มเหลว แต่เป็นการเรียนรู้
-
ไม่ได้หมายความว่าเราพังหรือไม่มีค่า
-
ความรักที่ไม่ใช่ก็คือบทเรียนที่ช่วยให้เราเติบโต
นำไปใช้: หลังการเลิกกัน เขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความสัมพันธ์นั้น แทนที่จะโฟกัสแต่ความสูญเสีย
8. Love Again and Again
-
อย่าปิดหัวใจตลอดไปเพราะบาดแผลจากอดีต
-
ความรักคือการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
-
การรักซ้ำอีกครั้ง ไม่ได้ทำลายคุณค่า แต่แสดงถึงความกล้าหาญและความเป็นมนุษย์
นำไปใช้: เมื่อพร้อม ลองเปิดใจใหม่อีกครั้ง โดยไม่เอาอดีตมาปิดกั้นอนาคต
สรุปใจความสำคัญ
-
ความรักเริ่มต้นจากการรักตัวเอง
-
คู่รักคือกระจกสะท้อนการเติบโตของเรา
-
เป้าหมายชีวิตสำคัญพอๆ กับความสัมพันธ์
-
การเลิกราไม่ใช่จุดจบ แต่คือการเรียนรู้
-
ความรักคือการเปิดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะเคยเจ็บปวด
8 rules of love
Let’s begin with Rule 1
Let yourself be alone ปล่อยให้ตัวเองอยู่คนเดียว
I think a lot of people fail to realise this, but I’m really glad that the author brought it up, is to enjoy solitude and not be afraid of loneliness and emptiness. If you are, you might jump into inappropriate relationships. Not just that, being alone also make you focus more on yourself and understanding yourself more. การมีความสุขกับการอยู่คนเดียวและไม่กลัวความเหงาและความว่างเปล่า ถ้าคุณกลัว คุณอาจกระโดดเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้น การอยู่คนเดียวยังทำให้คุณโฟกัสที่ตัวเองและเข้าใจตัวเองมากขึ้นอีกด้วย
You want to go on a journey with someone, not to make them your journey คุณอยากออกเดินทางกับใครสักคน ไม่ใช่ให้เขาเป็นเส้นทางของคุณ
Rule 2
Don’t ignore your karma
Your choice is affected by impression and therefore you also had to bear the consequences of your choice. Sometimes our choices are influenced by how we grow up and all our past experiences. It is important to see and understand them so that we can attract what we truly want. ทางเลือกของคุณขึ้นอยู่กับความประทับใจ ดังนั้นคุณจึงต้องรับผลที่ตามมา บางครั้งทางเลือกของเราก็ขึ้นอยู่กับการเติบโตและประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด การมองเห็นและเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เราจะสามารถดึงดูดสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง
Rule 3
Define Love Before You Think It, Feel It, or Say It นิยามความรักก่อนที่คุณจะคิด รู้สึกถึงมัน หรือพูดมันออกมา
There are 4 stages of love and the author walks you through all the way from initial attraction to eventually growing trust. He also listed a lot of exercises that can be done and I actually really liked the 3 date rule idea to understanding more about the potential partner. ความรักมี 4 ขั้นตอน และผู้เขียนจะพาคุณผ่านทุกขั้นตอน ตั้งแต่ความรู้สึกดึงดูดใจในช่วงแรกไปจนถึงความไว้วางใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในที่สุด เขายังได้ระบุแบบฝึกหัดมากมายที่สามารถทำได้ และฉันชอบแนวคิดของกฎ 3 เดทนี้มาก ซึ่งช่วยให้เข้าใจคู่ครองของคุณได้มากยิ่งขึ้น
Also this is my favourite from the book, I think many people fail to see this when they are looking for a partner
How you handle your differences is more important than finding your similarities การที่คุณจัดการกับความแตกต่างนั้นสำคัญกว่าการหาความคล้ายคลึงกัน
Rule 4
Your partner is your guru
This chapter suggest how you should grow together with your partner to become better people. One of the things that I really look for now is that if I’m a better person in a relationship, and if I’m not, then maybe this isn’t for me.
While he suggested being supportive and how to help, he also did mention that it is important to not forget your ownself and own goals while growing together.
Rule 5
Purpose comes first เป้าหมายต้องมาก่อน
He suggest that everyone has their own purposes and we should also support our goals and growth while supporting our partner’s. Things can be relocated and even discussed and couples can even set goals together. Also be patient through the whole process and take turns to prioritise each other’s purposes.
Your purpose has to come first for you, and your partner’s purpose has to come first for them เป้าหมายของคุณต้องมาก่อนสำหรับคุณ และเป้าหมายของคู่ของคุณต้องมาก่อนสำหรับพวกเขา
Rule 6
Win or lose together
Of course there will come to a time when couples will fight, and the thing is, they should to talk out matters. The author suggested shifting arguments to a shared goal. The end goal should be fight to love and not to win an argument. In couples, there’s no won arguments. Both party lose. แน่นอนว่าต้องมีสักวันที่คู่รักจะทะเลาะกัน และสิ่งสำคัญคือพวกเขาควรจะพูดคุยกัน ผู้เขียนแนะนำให้เปลี่ยนการโต้เถียงไปสู่เป้าหมายร่วมกัน เป้าหมายสุดท้ายควรเป็นการต่อสู้เพื่อความรัก ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อชัยชนะในการโต้เถียง ในคู่รัก ไม่มีการโต้เถียงที่ชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างพ่ายแพ้
He has a PEACE step that help you deal with fights better.
Rule 7
You don’t break in a breakup
First, the top reasons for breakup is listed out and what could be done with them. While we can try our best to save it; and some relationships are saveable; others simply had to move on. เหตุผลหลักๆ ของการเลิกราจะถูกระบุไว้ และสิ่งที่สามารถทำได้ แม้ว่าเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ และบางความสัมพันธ์ก็สามารถรักษาไว้ได้ แต่บางความสัมพันธ์ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
There’s no perfect breakup and no right words to say but it is important that things are made clear and certain lines are cut. ไม่มีการเลิกราที่สมบูรณ์แบบและไม่มีคำพูดที่เหมาะสม แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดและตัดเส้นแบ่งบางอย่างออกไป
It is important to give yourself closure and learn from the relationship as well. And do remember we are alone before we met our partner. สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ตัวเองจบความสัมพันธ์และเรียนรู้จากความสัมพันธ์นี้ด้วย และอย่าลืมว่าเราเคยอยู่คนเดียวก่อนที่เราจะได้พบกับคนรัก
Rule 8
Love and love again
This chapter explores more about how you can love more by connecting more with the world beyond just yourself, your family and your partner.
Overall I find this book worth a read, plus it’s not really very long and you don’t need a lot of time. I think some of the practices listed inside also give you real steps on what to do next so that you actually have a action plan โดยรวมแล้ว ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้คุ้มค่าแก่การอ่าน แถมยังไม่ยาวมาก และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากมาย ฉันคิดว่าแนวทางปฏิบัติบางอย่างที่ระบุไว้ข้างในยังให้ขั้นตอนจริงแก่คุณเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำต่อไปเพื่อให้คุณมีแผนดำเนินการจริง
เนื้อหา:

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น