วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Right of Death and Power over Life

 เนื้อหาสำคัญจากบทความ “Right of Death and Power over Life” ของ มิแชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) ซึ่งปรากฏใน The History of Sexuality, Vol. I (Part V) ให้เป็นภาษาไทย ดังนี้ครับ:


1. จาก “สิทธิที่จะมีชีวิต” สู่ “อำนาจเหนือชีวิต”

  • ในอดีต ซอฟวีเรน (sovereign) มีอำนาจเหนือชีวิตและความตายของประชาชน (“สิทธิที่จะเรียกใช้ชีวิตหรือเอาชีวิต”) อำนาจนี้สะท้อนจากแนวคิดโรมันโบราณ patria potestas ซึ่งหัวหน้าครอบครัวมีสิทธิในการให้ชีวิตและเอาชีวิตของสมาชิกในบ้าน caring labor: an archiveGradeSaver

  • ในยุคสมัยคลาสสิก อำนาจแบบนี้ยังคงอยู่แต่มีข้อจำกัด เช่น เมื่ออธิปไตยถูกคุกคาม จึงใช้อำนาจนั้น (เช่น ประหาร) เพื่อปกป้องรัฐ caring labor: an archiveGradeSaver

2. ปรากฏการณ์ “Biopower” หรือ "อำนาจเหนือชีวิต" ในยุคใหม่

  • ฟูโกต์ชี้ว่าในยุคสมัยใหม่ ความหมายของอำนาจเปลี่ยนจาก “อำนาจที่จะฆ่าหรือปล่อยให้มีชีวิต” ไปเป็น “อำนาจที่จะทำให้มีชีวิตและปล่อยให้ตาย” (to make live and let die) ScribdTaylor & Francis

  • แม้สงครามยุคใหม่จะโหดร้ายกว่าเดิม แต่มันถูกทำเพื่อ “ปกป้องประชากร” ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของกษัตริย์หรือซอฟวีเรนอีกต่อไป GradeSaverSparkNotescaring labor: an archive

3. การพัฒนาอำนาจเหนือชีวิตผ่านสองกลไกหลัก

ฟูโกต์พูดถึงสองรูปแบบหลักของ Biopower ที่ผงาดขึ้นในสังคมสมัยใหม่:

  1. Anatomo-politics of the human body

    • เน้นที่ร่างกายมนุษย์ในฐานะ “เครื่องจักร” ที่ต้องถูกควบคุม ฝึกฝน ปรับปรุงให้เชื่อฟังและใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด เช่น ผ่านการศึกษา, โรงพยาบาล, โรงงาน ฯลฯ caring labor: an archiveGradeSaverStudocu

  2. Biopolitics of the population

    • มองถึง “ร่างของสายพันธุ์” หรือประชากรโดยรวม เช่น การควบคุมการเกิด-ตาย, สุขภาพ, อัตราการคงอยู่ของประชากร โดยใช้เครื่องมือสถิติ การประเมินทรัพยากร ฯลฯ caring labor: an archiveGradeSaverStudocu

4. ผลลัพธ์ในทางสังคมและรัฐ

  • ปรากฏการณ์นี้นำมาซึ่ง “สังคมแบบ normalization” (เน้นปกติ) มากกว่าการลงโทษทางกฎหมาย เช่น ระบบกฎหมายหรือศาลจะถูกรวมเข้ากับระบบทางการแพทย์หรือการบริหาร เช่น การฟื้นฟู (rehabilitation) แทนการลงโทษอย่างรุนแรง GradeSaver+1

  • นี่เป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายการสนับสนุนระบบทุนนิยม—ร่างกายต้องพร้อมทำงาน ประชากรต้องขยายตัวและมีสุขภาพดี เพื่อสร้างผลผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ caring labor: an archiveGradeSaver

5. การแทรกเข้ามาของ “ความปกติ” (Norm) แทนกฎหมาย (Law)

  • กฎหมายแบบเดิมที่ใช้อำนาจในแบบลงโทษ (เช่น ประหาร) ถูกแทนที่ด้วย “norm” หรือบรรทัดฐานที่ถูกสร้างโดยสถาบันต่างๆ เพื่อควบคุมพฤติกรรม เช่น การให้คนปฏิบัติตามสุขอนามัย การศึกษา การทำงาน ฯลฯ GradeSaver+1

6. สรุปภาพรวม

ประเด็นสำคัญข้อสรุป
อำนาจแบบดั้งเดิมใช้ความตายเป็นเครื่องมือควบคุม (“take life or let live”)
อำนาจยุคใหม่ (biopower)ส่งเสริมชีวิต ควบคุมร่างกาย และจัดระบบประชากร (“make live and let die”)
กลไก biopower(1) ฝึกฝนร่างกาย (body discipline) (2) ควบคุมประชากร (population regulation)
ผลกระทบสังคมเน้นบรรทัดฐานและการควบคุมผ่านชีวิต มากกว่าการลงโทษทางกฎหมาย
บริบทเชื่อมกับทุนนิยมความสามารถในการควบคุมชีวิตช่วยสนับสนุนการผลิตและขยายตัวทางเศรษฐกิจ

บทความนี้เน้นว่าอำนาจสมัยใหม่มีเป้าหมายหลักคือ “การจัดการชีวิต” ไม่ใช่การ “ลงโทษด้วยความตาย” การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงวิธีที่รัฐและสังคมสมัยใหม่กำหนดและควบคุมร่างกายและประชากร ผ่านการฝึกฝน การดูแลสุขภาพ และระบบบรรทัดฐาน ซึ่งแนวคิดนี้เองที่ฟูโกต์เรียกว่า Biopower ครับ

Modern man is not the man who goes off to discover himself, his secrets, and his hidden truth; he is a man who tries to invest himself.
— Michel Foucault

ฟูโกต์ไม่ได้เชื่อว่ามนุษย์สมัยใหม่ต้อง “ค้นหาความจริงแท้ในตัวเอง” แบบนักจิตวิเคราะห์หรือมนุษยนิยม แต่เขาเสนอว่าเราเป็น ผลผลิตของกระบวนการที่เราสร้างตัวเองขึ้นมา ผ่านสิ่งที่เขาเรียกว่า “เทคนิคของตนเอง” (technologies of the self)


🔧 คำว่า "ลงทุนในตัวเอง" (invest himself) ของฟูโกต์ หมายถึงอะไร?

หมายถึงว่า เรา ไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ
แต่เป็น สิ่งที่เราสร้างขึ้น

เราสามารถ "ลงทุนในตัวเอง" ในความหมายของฟูโกต์ได้หลายแบบดังนี้ครับ:


✅ 1. การฝึกวินัยตนเอง (Self-discipline)

  • ในสังคมยุคใหม่ เราเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง เช่น ตื่นเช้า, ทำงาน, ดูแลสุขภาพ ฯลฯ

  • ไม่ใช่เพราะมีคนสั่ง แต่เพราะเราดูดซับบรรทัดฐานสังคมเข้าไปแล้ว

  • ฟูโกต์มองว่านี่คืออำนาจแบบใหม่ — เราลงทุนในตัวเองเพื่อเป็น “ประชากรที่ดี” “พลเมืองที่มีคุณภาพ” ฯลฯ

📌 ลงทุนด้วย: เวลา, ความพยายาม, การควบคุมตนเอง


✅ 2. การดูแลจิตวิญญาณ/จิตใจ (Care of the Self)

  • ในยุคกรีกโบราณ คนให้ความสำคัญกับการ “ฝึกจิตใจ” เช่น การทำสมาธิ, การใคร่ครวญ, การพูดกับตัวเอง (dialogue)

  • ฟูโกต์มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการ “ปฏิบัติต่อตัวเอง” (practices of the self) เพื่อสร้างตัวตนที่มีคุณธรรม

📌 ลงทุนด้วย: การไตร่ตรอง, การตั้งคำถามกับตนเอง, การตัดสินใจอย่างมีคุณค่า


✅ 3. การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ (Creating the Self)

  • ฟูโกต์เสนอว่า เรามีเสรีภาพในการสร้างตัวตนที่แตกต่างจากบรรทัดฐาน

  • เช่น คนอาจเลือกไม่แต่งงาน, ไม่ยึดติดกับเพศสภาพแบบใดแบบหนึ่ง, หรือสร้างชีวิตแบบ “ไม่ปกติ” — และนี่คือการลงทุนสร้างชีวิตที่เป็นของตัวเอง

📌 ลงทุนด้วย: ความกล้าหาญ, การต่อต้านกระแส, ความคิดสร้างสรรค์


✅ 4. การมีความสัมพันธ์ที่มีความหมาย (Ethical Relations)

  • ฟูโกต์เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน, คู่รัก, หรือกลุ่มคนร่วมอุดมการณ์ — เป็นพื้นที่ที่เราสร้างตัวตนของเรา

  • ใน Friendship as a Way of Life เขาเน้นว่า ความสัมพันธ์คือพื้นที่ที่เราฝึกความเอื้อเฟื้อ, ความเป็นอิสระ, และการประดิษฐ์ชีวิตร่วมกัน

📌 ลงทุนด้วย: เวลา, ความเข้าใจ, การฟัง, การยอมเปลี่ยนแปลง


✅ 5. การต่อต้านและการเลือกเส้นทางของตนเอง (Resistance)

  • สำหรับฟูโกต์ “การต่อต้าน” ไม่จำเป็นต้องเป็นการประท้วงหรือปฏิวัติใหญ่โต

  • แต่มันคือการ ไม่ทำตามแบบแผนที่อำนาจอยากให้เราเป็น เช่น:

    • ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน

    • ไม่ต้องเป็น “คนดี” แบบที่โรงเรียนหรือรัฐต้องการ

    • ไม่ต้องยอมรับอัตลักษณ์ที่ถูกยัดใส่ให้เรา

📌 ลงทุนด้วย: ความเข้าใจโครงสร้างสังคม, ความกล้าทางจริยธรรม, การสร้างแนวคิดของตนเอง


🧭 สรุป: “การลงทุนในตัวเอง” ของฟูโกต์ หมายถึง...

การเป็นผู้ปฏิบัติต่อตัวเอง ด้วยความรู้สึกตัว, ด้วยจริยธรรม, และด้วยเสรีภาพในการสร้างตัวตนที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร


✨ ถามตัวเองแบบฟูโกต์:

  • ฉันกำลังลงทุนในตัวเองแบบที่ “สังคมคาดหวัง” หรือ “แบบที่ฉันเลือกสร้างขึ้น?”

  • ตัวตนของฉันตอนนี้ถูกกำหนดโดยใคร?

  • ฉันสามารถจินตนาการตัวตนในแบบที่ต่างจากนี้ได้ไหม?


หากคุณสนใจแนวทางปฏิบัติเชิงลึกแบบ "เทคนิคของตนเอง" (technologies of the self) ที่ฟูโกต์พูดถึงในการบรรยายที่ UC Berkeley ปี 1982

“อำนาจ…ส่งอิทธิพลเชิงบวกต่อชีวิต พยายามที่จะบริหาร เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มพูนชีวิต โดยควบคุมชีวิตอย่างแม่นยำและควบคุมอย่างครอบคลุม” (137) ฟูโกต์ได้เน้นย้ำถึงการที่สงครามไม่ได้เกิดขึ้นในนามของอำนาจอธิปไตยของปัจเจกบุคคลอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นเพื่อปกป้องและอยู่รอดของประชากรทั้งหมด เขาเน้นย้ำว่ารัฐสมัยใหม่ใช้อำนาจในลักษณะนี้ โดยเน้นย้ำถึงชีวิตแม้ในขณะที่พวกเขาทำให้ประชาชนต้องเผชิญความตาย ฟูโกต์ยืนยันว่า “สิทธิโบราณในการพรากชีวิตหรือปล่อยให้ชีวิตได้ถูกแทนที่ด้วยอำนาจที่จะส่งเสริมชีวิตหรือปฏิเสธชีวิตจนถึงขั้นความตาย (138) เขาตั้งข้อสังเกตว่าเนื่องจากอำนาจสามารถมีอิทธิพลเหนือชีวิตได้เท่านั้น “ความตายจึงเป็นขีดจำกัดของอำนาจ” (138) ฟูโกต์อธิบายว่าการฆ่าตัวตายในฐานะการกระทำส่วนบุคคลเป็นการบ่อนทำลายอำนาจ และการจัดให้อำนาจเป็นอาชญากรรมเป็นความพยายามที่ฉวยโอกาสของอำนาจในการจัดการชีวิต

เขาอธิบายต่อไปว่า “อำนาจเหนือชีวิตวิวัฒนาการมาในรูปแบบพื้นฐานสองรูปแบบ” นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 (139) ฟูโกต์อธิบายว่ารูปแบบแรก “มีศูนย์กลางอยู่ที่ร่างกายในฐานะเครื่องจักร ได้แก่ การควบคุม การเพิ่มขีดความสามารถสูงสุด…การเพิ่มประโยชน์ใช้สอยและความอ่อนน้อมถ่อมตนไปพร้อมๆ กัน [และ] การบูรณาการเข้ากับระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพและประหยัด” (139) เขาจัดกลุ่มกลไกอำนาจทั้งหมดนี้ภายใต้หัวข้อ “ สาขาวิชา : การเมืองเชิงกายวิภาคของร่างกายมนุษย์ ” (139) ฟูโกต์ยืนยันว่ารูปแบบที่สอง “มุ่งเน้นไปที่ร่างกายของเผ่าพันธุ์ ร่างกายที่ซึมซับกลไกของชีวิตและเป็นพื้นฐานของกระบวนการทางชีววิทยา ได้แก่ การขยายพันธุ์ การเกิดและการตาย…อายุขัยและอายุยืน” (139) เขาจัดกลุ่มกลไกเหล่านี้ภายใต้หัวข้อ “ การควบคุมเชิงกฎระเบียบ: การเมืองเชิงชีวะของประชากร ” (139) ฟูโกต์เน้นย้ำว่าอำนาจจะถูกระดมเพื่อควบคุมร่างกายมนุษย์และควบคุมประชากร ทำให้เกิด “เทคโนโลยีสองขั้วที่ยิ่งใหญ่ ทั้งทางกายวิภาคและชีวภาพ” ที่ทำงานเพื่อ “ใช้ชีวิตอย่างเต็มตัว” (139)

นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตว่า “พลังชีวภาพ” นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการก้าวขึ้นและขยายตัวของระบบทุนนิยม ฟูโกต์ยืนยันว่าความสำเร็จของระบบเศรษฐกิจนี้ “คงเป็นไปไม่ได้หากปราศจากการแทรกซึมของร่างกายเข้าสู่กลไกการผลิตอย่างมีการควบคุม และการปรับปรากฏการณ์ของประชากรให้เข้ากับกระบวนการทางเศรษฐกิจ” (141) ระบบทุนนิยมซึ่งต้องการการเติบโต เช่น การสร้างตลาดใหม่ การผลิตสินค้าและทุนเพิ่มขึ้น ฯลฯ ท้ายที่สุดแล้ว ย่อมต้องพึ่งพาอำนาจที่สามารถส่งเสริม เพิ่มประสิทธิภาพ และควบคุมชีวิต แทนที่จะเป็นความตาย (141)

ฟูโกต์โต้แย้งว่าความทันสมัยนั้นโดดเด่นด้วยพัฒนาการของมนุษยชาติในการใช้มาตรการทางการเมืองเพื่อรักษาและสืบสานการดำรงอยู่ของตนไว้โดยเฉพาะ แต่เขาเสนอว่าผลลัพธ์ที่สำคัญประการหนึ่งของ “อำนาจชีวภาพ” คือการทำให้อำนาจเป็นปกตินอกเหนือจากระบบกฎหมายอย่างเป็นทางการ เขายืนยันว่า “กฎหมายทำงานเป็นบรรทัดฐานมากขึ้นเรื่อยๆ และสถาบันทางกฎหมายก็ถูกผนวกเข้ากับกลไกต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ (ทางการแพทย์ การบริหาร และอื่นๆ) ซึ่งหน้าที่ส่วนใหญ่คือการควบคุม” (144) ฟูโกต์ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าสิทธิในการมีชีวิตได้กลายเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญของการต่อสู้ทางการเมืองส่วนใหญ่

ในที่สุด เขาสรุปเรียงความของเขาด้วยการอภิปรายว่าเหตุใดเรื่องเพศจึงมีความสำคัญทางการเมืองอย่างมากภายใต้กรอบอำนาจนี้ เพราะมันเชื่อมโยงกับทั้ง “วินัยของร่างกาย” และ “การควบคุมประชากร” ซึ่งเป็น “วิธีการเข้าถึงทั้งชีวิตของร่างกายและชีวิตของเผ่าพันธุ์” (145, 146) ฟูโกต์เสนอข้อโต้แย้งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดการเรื่องเพศและการใช้เรื่องเพศด้วน

ฟูโกต์ (Michel Foucault) มีแนวคิดเรื่อง “อำนาจ” (Power) ที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ซึ่งแตกต่างจากมุมมองดั้งเดิมของนักปรัชญาหรือรัฐศาสตร์ก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เราสามารถสรุปแนวคิดของเขาเกี่ยวกับ "อำนาจในความสัมพันธ์" (Power Relations) ได้ดังนี้ครับ:


🔍 1. อำนาจไม่ใช่สิ่งที่ "ใครบางคนมี" แต่เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นในความสัมพันธ์"

  • ฟูโกต์ไม่มองอำนาจว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวบุคคล สถาบัน หรือกลไกรัฐ แต่เขาเห็นว่า อำนาจเป็นพลวัตที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคล

  • เขาใช้คำว่า "relations of power" หรือ "ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ" ที่ดำรงอยู่ในทุกระดับของชีวิตประจำวัน: ครอบครัว, โรงเรียน, สถานพยาบาล, ความสัมพันธ์ระหว่างครู-นักเรียน, หมอ-คนไข้, หัวหน้า-ลูกน้อง ฯลฯ

“อำนาจไม่ใช่สิ่งของที่สามารถถือครองได้ หรือส่งต่อได้ แต่เป็นบางสิ่งที่กระทำและใช้งานอยู่ตลอดเวลา” — ฟูโกต์


🕸️ 2. อำนาจแทรกอยู่ในทุกหนแห่ง (Power is everywhere)

  • อำนาจไม่ได้มีเพียงแค่ในรัฐบาลหรือกฎหมาย แต่ แฝงอยู่ในระบบความรู้ ค่านิยม ภาษา กฎเกณฑ์ และบรรทัดฐานของสังคม

  • เขาเสนอแนวคิดว่า “อำนาจและความรู้” (Power/Knowledge) เป็นสิ่งที่ผลิตกันและกัน — ความรู้ไม่เคยเป็นกลาง แต่มีหน้าที่ควบคุม-กำหนดความเป็นจริง

ตัวอย่าง: ความรู้ทางการแพทย์ถูกใช้ควบคุมร่างกายและความประพฤติของผู้คน เช่น การวินิจฉัยโรคจิต, การควบคุมเพศสภาพ, หรือการจัดประเภทพฤติกรรม "ผิดปกติ"


🏗️ 3. อำนาจทำงานผ่าน "การปกครองตนเอง" (Governmentality)

  • ฟูโกต์อธิบายว่าในสังคมสมัยใหม่ อำนาจไม่จำเป็นต้องกดขี่หรือใช้กำลังแบบตรงๆ

  • ผู้คนถูกทำให้ "ควบคุมตัวเอง" ผ่านกลไกของวินัย (discipline), การตรวจสอบ, การเปรียบเทียบ และบรรทัดฐาน

  • เช่น คนเราพยายามลดน้ำหนัก, ตั้งเป้าเรียนดี, ทำงานหนัก ฯลฯ — ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่เพราะ "รู้สึกว่าควรทำ" ภายใต้มาตรฐานที่สังคมกำหนดไว้


🎭 4. อำนาจไม่เท่ากับการกดขี่เสมอไป

  • ฟูโกต์มองว่าอำนาจไม่ได้มีแค่ด้านลบ (oppression) เท่านั้น

  • อำนาจสามารถ ผลิต ความรู้, ตัวตน, เพศสภาพ, รูปแบบการดำรงชีวิต — ตัวอย่างเช่น ระบบการศึกษาสร้าง “นักเรียนดี”, ระบบแพทย์สร้าง “คนไข้”

เขาไม่ได้ถามว่า “อำนาจคืออะไร?” แต่ถามว่า “อำนาจทำงานอย่างไร?”


🔁 5. ทุกอำนาจเปิดโอกาสให้มี "แรงต้าน" (Resistance)

  • ฟูโกต์ย้ำว่า "ที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน" (Where there is power, there is resistance)

  • แต่การต่อต้านนี้อาจไม่ใช่การปฏิวัติแบบฮีโร่ อาจมาในรูปของการเบี่ยงเบน, การตั้งคำถาม, การไม่ทำตาม, การตั้งอัตลักษณ์ใหม่ๆ ฯลฯ


📌 สรุปแนวคิดเรื่องอำนาจของฟูโกต์

มุมมองดั้งเดิมฟูโกต์เสนอใหม่
อำนาจเป็นของผู้ปกครองอำนาจเกิดจากความสัมพันธ์
อำนาจกดขี่-ใช้กำลังอำนาจทำให้คน “ปกครองตัวเอง”
อำนาจอยู่ที่รัฐบาล/กฎหมายอำนาจแฝงอยู่ในสถาบันและวาทกรรม
อำนาจคือการออกคำสั่งอำนาจคือการสร้างบรรทัดฐาน
อำนาจต่อต้านไม่ได้อำนาจสามารถถูกต่อต้านได้ในระดับต่างๆ

อำนาจในความสัมพันธ์รัก (โดยเฉพาะความรักแบบโรแมนติกหรือความรักเชิงเพศ) อย่างไรบ้าง


🔍 สาระสำคัญ: ฟูโกต์มองความรักว่าเป็นพื้นที่ของอำนาจที่ละเอียดอ่อน

1. ความรักไม่พ้นจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจ

  • ฟูโกต์เชื่อว่า ไม่มีความสัมพันธ์ใดในโลกที่ “ปราศจากอำนาจ”

  • แม้แต่ความสัมพันธ์ที่ดูใกล้ชิดที่สุด เช่น “คู่รัก” ก็เป็นพื้นที่ที่อำนาจทำงานอยู่เสมอ เช่น:

    • ใครเป็นฝ่ายที่ “ให้” หรือ “ต้องการ” มากกว่า

    • ใครเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ หรือคาดหวังบางอย่างจากอีกฝ่าย

    • ใครเป็นฝ่ายที่ “ต้องเปลี่ยนตัวเอง” เพื่อความรัก

อำนาจในความรักไม่ได้แปลว่า “บังคับ” เสมอไป แต่คือกระบวนการที่เราทั้ง “มอบ” และ “ยอมรับ” อำนาจซึ่งกันและกัน


2. ความรักเกี่ยวพันกับวาทกรรมและบรรทัดฐานทางสังคม

  • ฟูโกต์เสนอว่า ความรักและความปรารถนาไม่ได้เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างเดียว แต่มันถูกกำหนดผ่านวาทกรรมของสังคม เช่น:

    • สังคมสอนว่า “รักที่แท้จริง” ควรเป็นแบบไหน

    • ใครควรคู่กับใคร (ชายกับหญิง? เพศเดียวกัน?)

    • การรักใครสักคน “อย่างเหมาะสม” ควรเป็นอย่างไร

ตัวอย่าง: คนอาจรู้สึกผิดถ้ารักคนที่ “ไม่เหมาะสม” ในสายตาสังคม เช่น อายุต่างกันมาก / ต่างสถานะ ฯลฯ — นี่คืออำนาจของวาทกรรมที่สร้างขอบเขตของความรัก


3. อำนาจในความรักมักผูกกับเรื่องเพศ (sexuality)

  • ฟูโกต์ศึกษาเรื่อง “sexuality” อย่างลึกซึ้งใน The History of Sexuality

  • เขาเสนอว่าเพศวิถีถูกควบคุมผ่าน “ความรู้” และ “สถาบัน” เช่น การแพทย์ ศาสนา ครอบครัว

  • ความรักในฐานะที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์จึงกลายเป็นเรื่องที่ต้อง “ถูกควบคุม” — ผ่านค่านิยม เช่น รักเดียว, ความบริสุทธิ์, ความเหมาะสมทางศีลธรรม ฯลฯ

ตัวอย่าง: คนอาจรู้สึกผิดถ้ามีความต้องการทางเพศในความรักมากเกินไป หรือไม่มีเลย — ทั้งหมดนี้สะท้อนอำนาจที่เข้ามานิยาม "ความรักที่ดี"


4. อำนาจในความรักอาจนำไปสู่การปกครองตนเอง (self-governance)

  • คนในความสัมพันธ์รักมัก “ควบคุมตัวเอง” เพื่อให้เป็นคนที่อีกฝ่ายรักได้ หรือเป็น “คู่ที่ดี”

  • เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรม ลดตัวตนบางอย่าง หรือปรับตามค่านิยมความรักที่สังคมสอนมา

  • ฟูโกต์จะมองว่านี่คือการ “ผลิตตัวตน” ผ่านอำนาจ ไม่ใช่แค่การถูกกดขี่ แต่เป็นการ สร้างตัวเราเอง ภายใต้แรงกดจากอุดมคติของความรัก


5. ฟูโกต์เองกับความรัก – ตัวอย่างจากชีวิตส่วนตัว

  • แม้ฟูโกต์จะไม่เขียนเชิงทฤษฎีเรื่อง “ความรักโรแมนติก” มากนัก แต่จากชีวประวัติของเขา เรารู้ว่าเขาเป็นเกย์ และใช้ชีวิตอยู่กับความรักที่ถูกมองว่า “ผิดปกติ” ในสายตาสังคมยุคของเขา

  • งานเขียนของเขาหลายชิ้น เช่น Friendship as a Way of Life หรือ The Use of Pleasure ก็เสนอทางเลือกของความสัมพันธ์ที่ ไม่ขึ้นกับบรรทัดฐานความรักแบบคู่รักชาย-หญิง และเสนอว่ามิตรภาพ, ความใกล้ชิดทางกาย และความสัมพันธ์ทางเพศอาจเป็น “ความรัก” ได้ แม้จะไม่ถูกเรียกแบบนั้น


💬 สรุป: ฟูโกต์มองความรักเป็นพื้นที่ที่อำนาจแทรกซึมอยู่เสมอ

ประเด็นมุมมองของฟูโกต์
ความรักคืออะไรสนามของอำนาจ ไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจ
อำนาจทำงานอย่างไรผ่านบทบาท, การเปลี่ยนแปลงตัวเอง, ความคาดหวัง
บทบาทของวาทกรรมสังคมผลิตนิยามของ “รักที่ดี” หรือ “ความสัมพันธ์ที่เหมาะสม”
ความเป็นตัวตนในความรักตัวเราถูกสร้างขึ้นภายใต้แรงกดจากบรรทัดฐานความรัก
การต่อต้านความรักที่ “อยู่นอกบรรทัดฐาน” อาจเป็นรูปแบบของแรงต้านต่ออำนาจ เช่น ความรักระหว่างเพศเดียวกัน, ความรักแบบไม่ผูกมัด ฯลฯ

แม้ว่าฟูโกต์ (Michel Foucault) จะไม่ได้เขียนงานหลักเกี่ยวกับ “มิตรภาพ” จำนวนมากนัก แต่แนวคิดของเขาเรื่อง "Friendship as a Way of Life" — ที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์ปี 1981 — เป็นประเด็นที่ลึกซึ้งและทรงพลังมาก โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ครับ:


ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์ Friendship as a Way of Life

1. มิตรภาพในฐานะ "รูปแบบของชีวิต" มากกว่าความสัมพันธ์ทางเพศหรือคู่รัก

ฟูโกต์มองว่า “ความเป็นเกย์” ไม่ใช่การระบุตัวตนทางจิตวิทยาหรือเพศสภาพ แต่เป็น วิถีชีวิต (way of life) ที่เปิดโอกาสให้เกิดความสัมพันธ์หลากหลาย เขากล่าวว่า:

“to try and define and develop a way of life”
— ไม่ใช่การค้นหาความจริงในเพศของตน แต่เป็นการใช้เพศของเราเพื่อสร้าง “ความสัมพันธ์หลายหลาก” pagingdrlesbian.comGoodreads


2. มิตรภาพเป็นพื้นที่ของการประดิษฐ์วิถีชีวิตใหม่

ฟูโกต์ตั้งคำถามว่า “มันเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชายจะอยู่ร่วมกัน โดยไม่อยู่ในกรอบของครอบครัวหรืออาชีพ?”

“to live together, to share their time, their meals, their room … outside institutional relations … They have to invent, from A to Z, a relationship that is still formless, which is friendship”
— มิตรภาพจึงเป็นการ “คิดค้น” รูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่มีรูปแบบตายตัว caring labor: an archive


3. มิตรภาพสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบสถาบันเดิม

ฟูโกต์เน้นว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อน (โดยเฉพาะในสังคมที่มีการกีดกันเพศหลากหลาย) ทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ที่สถาบันกำหนดไว้อยู่—เช่น ครอบครัว, กฎหมาย, หรืองาน—เกิดความสั่นคลอน

“But that individuals are beginning to love one another — there’s the problem.”
— สิ่งที่สร้างความไม่มั่นคงไม่ใช่เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปกติเท่านั้น แต่คือ การเริ่มรักกันในรูปแบบใดก็ได้ โดยไม่มีกรอบตายตัว pagingdrlesbian.comcaring labor: an archive


4. มิตรภาพในฐานะ “งานแห่งชีวิต” และ “การปฏิบัติของตัวตน”

หลายคนตีความว่า มิตรภาพที่ฟูโกต์ว่ามานั้นเป็นเหมือนการฝึกฝน (ascesis) เพื่อสร้างตัวตนใหม่—การปฏิเสธแบบแผนและเปิดพื้นที่ให้ “ความใกล้ชิดแบบอื่น” เกิดขึ้น

"The problem of homosexuality … is the problem of friendship" — มิตรภาพคือคำตอบที่อยู่นอกช่องทางปกติ Hypocrite ReaderThe Free Library


5. บทบาททางการเมืองและวัฒนธรรมของมิตรภาพ

Tom Roach ได้นำแนวคิดของฟูโกต์มาใช้วิเคราะห์บทบาทของมิตรภาพในบริบทของวิกฤติ AIDS และการเคลื่อนไหว LGBTQ ซึ่งเขาเรียกว่า “politics of shared estrangement” หรือ การเมืองของความเป็นอื่นที่ร่วมกัน — มิตรภาพในที่นี้เป็นพื้นที่สร้างความเป็นพลวัตในการต่อต้านอำนาจและคำจำกัดความทางสังคม sunypress.eduDe Gruyter Brillpagingdrlesbian.com


สรุปภาพรวม (ตารางเปรียบเทียบ)

ประเด็นสาระสำคัญ
มิตรภาพ = วิถีชีวิตมากกว่าคู่รัก เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่อิสระ
การประดิษฐ์ความสัมพันธ์ต้อง “คิดค้น” มิตรภาพจากศูนย์ โดยไม่ต้องตามกรอบใด
สั่นคลอนสถาบันมิตรภาพท้าทายโครงสร้างครอบครัวและสถาบันทางสังคม
มิตรภาพ = ปฏิบัติของตัวตนเป็นงานสร้างตัวตนผ่านความใกล้ชิดที่ไม่ถูกนิยาม
บริบทการเมืองวัฒนธรรมมิตรภาพใน LGBTQ และวิกฤติ AIDS สอดคล้องกับแนวคิดฟูโกต์

🔍 1. เพศคือพื้นที่ที่อำนาจทำงาน

Foucault เสนอว่า sexuality (เพศวิถี) ไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติ” หรือ “เรื่องส่วนตัว” อย่างที่คนมักคิด
แต่ตรงกันข้าม — มันคือ หนึ่งในพื้นที่สำคัญที่สุดที่อำนาจของรัฐ, ศาสนา, แพทย์, กฎหมาย ฯลฯ เข้ามาควบคุม

Sexuality is not repressed — it is produced.
– Michel Foucault, The History of Sexuality Vol. 1

  • ตัวอย่างเช่น:

    • การแพทย์สร้างนิยามว่าใคร “ผิดปกติทางเพศ”

    • โรงเรียนกำหนดว่าเพศต้องแต่งกายแบบใด

    • กฎหมายจำกัดว่าใครควรมีเพศสัมพันธ์กับใคร

    • ศาสนาชี้ว่าพฤติกรรมทางเพศใด “บริสุทธิ์” หรือ “บาป”

ทั้งหมดนี้แสดงว่า “เพศ” คือ พื้นที่ของอำนาจ ที่ถูกจัดการผ่าน วาทกรรม (discourse) อย่างเข้มข้น


🏛️ 2. เพศช่วยจัดระเบียบและสร้างโครงสร้างของสังคม

  • เพศไม่ใช่แค่ลักษณะทางชีววิทยา แต่เป็น บทบาททางสังคม (gender roles) ที่สังคมกำหนดไว้

  • เราถูกฝึกให้เป็น "ชาย" หรือ "หญิง" ผ่านระบบโรงเรียน, ครอบครัว, ศาสนา, สื่อ ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นกลไกที่ควบคุมพฤติกรรม

  • การแยกชาย-หญิงแบบเข้มงวด ช่วยจัดระบบครอบครัว, การสืบพันธุ์, ความสัมพันธ์ และแรงงาน

❝ There is no gender identity behind the expressions of gender … identity is performatively constituted. ❞
— Judith Butler, Gender Trouble

นั่นคือ เพศไม่ใช่สิ่งที่ “เรามีอยู่ก่อน” แต่เป็นสิ่งที่ เราทำ (perform) ตามบรรทัดฐานที่อำนาจสร้างขึ้น


⚙️ 3. อำนาจใช้เพศเป็นเครื่องมือควบคุมและทำให้เรายอมรับ

  • อำนาจยุคใหม่ไม่ได้ใช้การบังคับแบบโจ่งแจ้งเสมอไป แต่ใช้ การทำให้เรา “อยาก” เป็นไปตามเพศแบบที่สังคมยอมรับ

    • อยากแต่งตัวให้ “เหมาะสมกับเพศ”

    • อยากเป็นแฟนที่ดีในแบบที่เพศควรเป็น

    • อยากดูเป็น “ผู้ชายแท้” หรือ “หญิงแท้”

  • การลงทุนในตัวเองแบบนี้ เป็นการ ควบคุมตนเอง ที่ลึกยิ่งกว่าการถูกควบคุมจากภายนอก (ดูแนวคิด "biopower" ของฟูโกต์)


🧱 4. สังคมแบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ใช้เพศเพื่อสถาปนาอำนาจ

  • เพศชายมักถูกสังคมให้คุณค่าเหนือกว่าเพศหญิงหรือเพศทางเลือก

  • ความเป็นชายกลายเป็นตัวแบบของ “ผู้นำ”, “ผู้รู้”, “ผู้ควบคุม”

  • ความเป็นหญิงหรือเพศอื่นๆ ถูกลดทอนอำนาจ ถูกควบคุม หรือถูกทำให้หายไปจากพื้นที่สาธารณะ

ความไม่เท่าเทียมทางเพศจึง ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ถูกผลิตขึ้นผ่านอำนาจเชิงวัฒนธรรมและสถาบัน


🔥 5. เพศสามารถเป็นพื้นที่ของการต่อต้านและสร้างสังคมใหม่

  • กลุ่ม LGBTQ+, ขบวนการเฟมินิสต์ และ queer theorists เช่น Butler, Sedgwick, Halberin เสนอว่า:

    • การท้าทายเพศสภาพแบบตายตัว (gender nonconformity) คือการต่อต้านอำนาจ

    • ความรัก, ความสัมพันธ์, การแต่งกาย หรือบทบาททางเพศที่ไม่ปกติ — เป็นการ “ทำลายขอบเขตที่อำนาจวางไว้”

  • เช่น การแสดงออกของ drag, nonbinary, polyamory ฯลฯ คือ การรื้อถอนระบบเดิม และสร้างพื้นที่ใหม่ของความเป็นไปได้


🧭 สรุปสั้น ๆ: “เพศ - อำนาจ - สังคม” ทำงานร่วมกันอย่างไร?

คำหลักความหมายในเชิงอำนาจ
เพศ (Gender)ไม่ใช่สิ่งธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างโดยวัฒนธรรมและอำนาจ
เพศวิถี (Sexuality)ถูกควบคุมผ่านสถาบันและวาทกรรม เช่น แพทย์ ศาสนา กฎหมาย
อำนาจ (Power)แทรกซึมผ่านเพศและทำให้คนควบคุมตัวเองตามบรรทัดฐาน
สังคมสร้างโครงสร้างผ่านเพศ เช่น ครอบครัว ชาติ ศีลธรรม
การต่อต้านการไม่ทำตามบทบาทเพศที่กำหนดไว้ เป็นการต่อต้านอำนาจเชิงสร้างสรรค์

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

Michel Foucault และ Jacques Derrida (ที่อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา มักอ้างอิงทั้งคู่) มอง “ความสุข” ในฐานะ concept ต่างกันพอสมควร และอ.ธเนศก็มักใช้เพื่อวิพากษ์สังคมไทยและโลกสมัยใหม่เชิงการเมือง–วัฒนธรรม


🌀 1. ฟูโกต์ (Foucault) : ความสุข = สิ่งที่ถูกประกอบสร้างและถูกจัดการด้วยอำนาจ

  • ฟูโกต์จะไม่พูดว่า “ความสุขคืออะไร” แบบนิยามตายตัว แต่สนใจว่า ใครนิยามความสุข และใช้อำนาจอย่างไรในการควบคุมเรา

  • ความสุขจึงไม่เป็นกลาง แต่มักถูกกำหนดโดย ชีวอำนาจ (biopower) เช่น รัฐ ตลาด แพทย์ ระบบการศึกษา

  • ความสุขในสายตาฟูโกต์ = “ผลผลิตของระเบียบวินัยและบรรทัดฐาน” เช่น ร่างกายที่แข็งแรง การทำงานเต็มเวลา ครอบครัวนิวเคลียร์ที่ดี → สิ่งเหล่านี้ถูกยัดเยียดว่าเป็นชีวิตที่ “ดี” และ “มีความสุข”

  • แต่ฟูโกต์ยังชี้ว่า มีพื้นที่ให้ ต่อต้าน/สร้างตนเอง (technologies of the self) เช่น การเลือกวิถีชีวิตที่แตกต่างจากบรรทัดฐาน เช่น queer politics, lifestyle alternative, spiritual practices

👉 ในสายตาธเนศ:
“ความสุข” ที่รัฐหรือสังคมประกาศใช้จริง ๆ คือ เครื่องมือควบคุมชีวิตเรา มากกว่าการให้เสรีภาพ


🌀 2. เดอริด้า (Derrida) : ความสุข = สิ่งที่ “ไม่เคยเสร็จสิ้น” และอยู่ในความแตกต่าง (différance)

  • เดอริด้าไม่ได้มองความสุขเป็นเป้าหมายชัดเจน แต่เป็น สิ่งที่เลื่อนไหล ไม่อาจนิยามลงหลักปักฐานได้

  • เช่นเดียวกับที่เขาพูดถึง “ความยุติธรรม” หรือ “ประชาธิปไตย” → มันไม่เคยเสร็จสิ้น (never finished) ต้องถูก สร้างซ้ำ (iterability) และรื้อสร้าง (deconstruction) ตลอดเวลา

  • ความสุขของเดอริด้า จึงอยู่ใน การเปิดพื้นที่ให้สิ่งที่แตกต่าง/สิ่งที่ยังมาไม่ถึง (the à venir – the “to come”)

  • ไม่ใช่ “มีงาน มีบ้าน มีครอบครัว” แบบฟูโกต์วิเคราะห์ แต่คือการยอมรับว่า ความสุขไม่มีคำตอบสุดท้าย มันต้องถูกสร้าง–รื้อ–สร้างใหม่เสมอ

👉 ในสายตาธเนศ:
เดอริด้าช่วยให้เราเห็นว่า อย่าหลงคิดว่า “ความสุข” มีสูตรสำเร็จ แต่ต้องเปิดพื้นที่ต่อความหลากหลาย ความแตกต่าง และการตีความใหม่ ๆ


🌀 3. ถ้าเปรียบเทียบแบบชัด ๆ

มุมมองFoucault (ผ่านธเนศ)Derrida (ผ่านธเนศ)
ธรรมชาติของความสุขเป็นสิ่งที่ถูก “ประกอบสร้าง” โดยอำนาจ (รัฐ ตลาด วินัย)เป็นสิ่งที่ “เลื่อนไหล ไม่เคยเสร็จสิ้น” ต้องรื้อสร้างเสมอ
บทบาทอำนาจความสุขถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมชีวิต (biopower)ความสุขไม่อาจถูกผูกขาดโดยอำนาจใด เพราะมันเปิดสู่สิ่งที่แตกต่าง
วิธีเข้าถึงการตระหนักรู้และสร้าง “พื้นที่ต่อต้าน” ผ่านเทคโนโลยีแห่งตนเองการยอมรับความไม่ตายตัวของความสุข และสร้างซ้ำอย่างวิพากษ์
ภาพรวมความสุข = กลไกทางสังคม–การเมืองความสุข = โครงการที่ยังมาไม่ถึง (to come) ไม่มีจบสิ้น

 

ไม่มีความคิดเห็น: