เนื้อหาสำคัญจากบทความ “Right of Death and Power over Life” ของ มิแชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) ซึ่งปรากฏใน The History of Sexuality, Vol. I (Part V) ให้เป็นภาษาไทย ดังนี้ครับ:
1. จาก “สิทธิที่จะมีชีวิต” สู่ “อำนาจเหนือชีวิต”
-
ในอดีต ซอฟวีเรน (sovereign) มีอำนาจเหนือชีวิตและความตายของประชาชน (“สิทธิที่จะเรียกใช้ชีวิตหรือเอาชีวิต”) อำนาจนี้สะท้อนจากแนวคิดโรมันโบราณ patria potestas ซึ่งหัวหน้าครอบครัวมีสิทธิในการให้ชีวิตและเอาชีวิตของสมาชิกในบ้าน caring labor: an archiveGradeSaver
-
ในยุคสมัยคลาสสิก อำนาจแบบนี้ยังคงอยู่แต่มีข้อจำกัด เช่น เมื่ออธิปไตยถูกคุกคาม จึงใช้อำนาจนั้น (เช่น ประหาร) เพื่อปกป้องรัฐ caring labor: an archiveGradeSaver
2. ปรากฏการณ์ “Biopower” หรือ "อำนาจเหนือชีวิต" ในยุคใหม่
-
ฟูโกต์ชี้ว่าในยุคสมัยใหม่ ความหมายของอำนาจเปลี่ยนจาก “อำนาจที่จะฆ่าหรือปล่อยให้มีชีวิต” ไปเป็น “อำนาจที่จะทำให้มีชีวิตและปล่อยให้ตาย” (to make live and let die) ScribdTaylor & Francis
-
แม้สงครามยุคใหม่จะโหดร้ายกว่าเดิม แต่มันถูกทำเพื่อ “ปกป้องประชากร” ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของกษัตริย์หรือซอฟวีเรนอีกต่อไป GradeSaverSparkNotescaring labor: an archive
3. การพัฒนาอำนาจเหนือชีวิตผ่านสองกลไกหลัก
ฟูโกต์พูดถึงสองรูปแบบหลักของ Biopower ที่ผงาดขึ้นในสังคมสมัยใหม่:
-
Anatomo-politics of the human body
-
เน้นที่ร่างกายมนุษย์ในฐานะ “เครื่องจักร” ที่ต้องถูกควบคุม ฝึกฝน ปรับปรุงให้เชื่อฟังและใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด เช่น ผ่านการศึกษา, โรงพยาบาล, โรงงาน ฯลฯ caring labor: an archiveGradeSaverStudocu
-
-
Biopolitics of the population
-
มองถึง “ร่างของสายพันธุ์” หรือประชากรโดยรวม เช่น การควบคุมการเกิด-ตาย, สุขภาพ, อัตราการคงอยู่ของประชากร โดยใช้เครื่องมือสถิติ การประเมินทรัพยากร ฯลฯ caring labor: an archiveGradeSaverStudocu
-
4. ผลลัพธ์ในทางสังคมและรัฐ
-
ปรากฏการณ์นี้นำมาซึ่ง “สังคมแบบ normalization” (เน้นปกติ) มากกว่าการลงโทษทางกฎหมาย เช่น ระบบกฎหมายหรือศาลจะถูกรวมเข้ากับระบบทางการแพทย์หรือการบริหาร เช่น การฟื้นฟู (rehabilitation) แทนการลงโทษอย่างรุนแรง GradeSaver+1
-
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายการสนับสนุนระบบทุนนิยม—ร่างกายต้องพร้อมทำงาน ประชากรต้องขยายตัวและมีสุขภาพดี เพื่อสร้างผลผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ caring labor: an archiveGradeSaver
5. การแทรกเข้ามาของ “ความปกติ” (Norm) แทนกฎหมาย (Law)
-
กฎหมายแบบเดิมที่ใช้อำนาจในแบบลงโทษ (เช่น ประหาร) ถูกแทนที่ด้วย “norm” หรือบรรทัดฐานที่ถูกสร้างโดยสถาบันต่างๆ เพื่อควบคุมพฤติกรรม เช่น การให้คนปฏิบัติตามสุขอนามัย การศึกษา การทำงาน ฯลฯ GradeSaver+1
6. สรุปภาพรวม
| ประเด็นสำคัญ | ข้อสรุป |
|---|---|
| อำนาจแบบดั้งเดิม | ใช้ความตายเป็นเครื่องมือควบคุม (“take life or let live”) |
| อำนาจยุคใหม่ (biopower) | ส่งเสริมชีวิต ควบคุมร่างกาย และจัดระบบประชากร (“make live and let die”) |
| กลไก biopower | (1) ฝึกฝนร่างกาย (body discipline) (2) ควบคุมประชากร (population regulation) |
| ผลกระทบ | สังคมเน้นบรรทัดฐานและการควบคุมผ่านชีวิต มากกว่าการลงโทษทางกฎหมาย |
| บริบทเชื่อมกับทุนนิยม | ความสามารถในการควบคุมชีวิตช่วยสนับสนุนการผลิตและขยายตัวทางเศรษฐกิจ |
บทความนี้เน้นว่าอำนาจสมัยใหม่มีเป้าหมายหลักคือ “การจัดการชีวิต” ไม่ใช่การ “ลงโทษด้วยความตาย” การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงวิธีที่รัฐและสังคมสมัยใหม่กำหนดและควบคุมร่างกายและประชากร ผ่านการฝึกฝน การดูแลสุขภาพ และระบบบรรทัดฐาน ซึ่งแนวคิดนี้เองที่ฟูโกต์เรียกว่า Biopower ครับ
Modern man is not the man who goes off to discover himself, his secrets, and his hidden truth; he is a man who tries to invest himself.
ฟูโกต์ไม่ได้เชื่อว่ามนุษย์สมัยใหม่ต้อง “ค้นหาความจริงแท้ในตัวเอง” แบบนักจิตวิเคราะห์หรือมนุษยนิยม แต่เขาเสนอว่าเราเป็น ผลผลิตของกระบวนการที่เราสร้างตัวเองขึ้นมา ผ่านสิ่งที่เขาเรียกว่า “เทคนิคของตนเอง” (technologies of the self)
🔧 คำว่า "ลงทุนในตัวเอง" (invest himself) ของฟูโกต์ หมายถึงอะไร?
หมายถึงว่า เรา ไม่ใช่สิ่งที่เราค้นพบ
แต่เป็น สิ่งที่เราสร้างขึ้น
เราสามารถ "ลงทุนในตัวเอง" ในความหมายของฟูโกต์ได้หลายแบบดังนี้ครับ:
✅ 1. การฝึกวินัยตนเอง (Self-discipline)
-
ในสังคมยุคใหม่ เราเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง เช่น ตื่นเช้า, ทำงาน, ดูแลสุขภาพ ฯลฯ
-
ไม่ใช่เพราะมีคนสั่ง แต่เพราะเราดูดซับบรรทัดฐานสังคมเข้าไปแล้ว
-
ฟูโกต์มองว่านี่คืออำนาจแบบใหม่ — เราลงทุนในตัวเองเพื่อเป็น “ประชากรที่ดี” “พลเมืองที่มีคุณภาพ” ฯลฯ
📌 ลงทุนด้วย: เวลา, ความพยายาม, การควบคุมตนเอง
✅ 2. การดูแลจิตวิญญาณ/จิตใจ (Care of the Self)
-
ในยุคกรีกโบราณ คนให้ความสำคัญกับการ “ฝึกจิตใจ” เช่น การทำสมาธิ, การใคร่ครวญ, การพูดกับตัวเอง (dialogue)
-
ฟูโกต์มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการ “ปฏิบัติต่อตัวเอง” (practices of the self) เพื่อสร้างตัวตนที่มีคุณธรรม
📌 ลงทุนด้วย: การไตร่ตรอง, การตั้งคำถามกับตนเอง, การตัดสินใจอย่างมีคุณค่า
✅ 3. การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ (Creating the Self)
-
ฟูโกต์เสนอว่า เรามีเสรีภาพในการสร้างตัวตนที่แตกต่างจากบรรทัดฐาน
-
เช่น คนอาจเลือกไม่แต่งงาน, ไม่ยึดติดกับเพศสภาพแบบใดแบบหนึ่ง, หรือสร้างชีวิตแบบ “ไม่ปกติ” — และนี่คือการลงทุนสร้างชีวิตที่เป็นของตัวเอง
📌 ลงทุนด้วย: ความกล้าหาญ, การต่อต้านกระแส, ความคิดสร้างสรรค์
✅ 4. การมีความสัมพันธ์ที่มีความหมาย (Ethical Relations)
-
ฟูโกต์เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน, คู่รัก, หรือกลุ่มคนร่วมอุดมการณ์ — เป็นพื้นที่ที่เราสร้างตัวตนของเรา
-
ใน Friendship as a Way of Life เขาเน้นว่า ความสัมพันธ์คือพื้นที่ที่เราฝึกความเอื้อเฟื้อ, ความเป็นอิสระ, และการประดิษฐ์ชีวิตร่วมกัน
📌 ลงทุนด้วย: เวลา, ความเข้าใจ, การฟัง, การยอมเปลี่ยนแปลง
✅ 5. การต่อต้านและการเลือกเส้นทางของตนเอง (Resistance)
-
สำหรับฟูโกต์ “การต่อต้าน” ไม่จำเป็นต้องเป็นการประท้วงหรือปฏิวัติใหญ่โต
-
แต่มันคือการ ไม่ทำตามแบบแผนที่อำนาจอยากให้เราเป็น เช่น:
-
ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน
-
ไม่ต้องเป็น “คนดี” แบบที่โรงเรียนหรือรัฐต้องการ
-
ไม่ต้องยอมรับอัตลักษณ์ที่ถูกยัดใส่ให้เรา
-
📌 ลงทุนด้วย: ความเข้าใจโครงสร้างสังคม, ความกล้าทางจริยธรรม, การสร้างแนวคิดของตนเอง
🧭 สรุป: “การลงทุนในตัวเอง” ของฟูโกต์ หมายถึง...
การเป็นผู้ปฏิบัติต่อตัวเอง ด้วยความรู้สึกตัว, ด้วยจริยธรรม, และด้วยเสรีภาพในการสร้างตัวตนที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
✨ ถามตัวเองแบบฟูโกต์:
-
ฉันกำลังลงทุนในตัวเองแบบที่ “สังคมคาดหวัง” หรือ “แบบที่ฉันเลือกสร้างขึ้น?”
-
ตัวตนของฉันตอนนี้ถูกกำหนดโดยใคร?
-
ฉันสามารถจินตนาการตัวตนในแบบที่ต่างจากนี้ได้ไหม?
หากคุณสนใจแนวทางปฏิบัติเชิงลึกแบบ "เทคนิคของตนเอง" (technologies of the self) ที่ฟูโกต์พูดถึงในการบรรยายที่ UC Berkeley ปี 1982
“อำนาจ…ส่งอิทธิพลเชิงบวกต่อชีวิต พยายามที่จะบริหาร เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มพูนชีวิต โดยควบคุมชีวิตอย่างแม่นยำและควบคุมอย่างครอบคลุม” (137) ฟูโกต์ได้เน้นย้ำถึงการที่สงครามไม่ได้เกิดขึ้นในนามของอำนาจอธิปไตยของปัจเจกบุคคลอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นเพื่อปกป้องและอยู่รอดของประชากรทั้งหมด เขาเน้นย้ำว่ารัฐสมัยใหม่ใช้อำนาจในลักษณะนี้ โดยเน้นย้ำถึงชีวิตแม้ในขณะที่พวกเขาทำให้ประชาชนต้องเผชิญความตาย ฟูโกต์ยืนยันว่า “สิทธิโบราณในการพรากชีวิตหรือปล่อยให้ชีวิตได้ถูกแทนที่ด้วยอำนาจที่จะส่งเสริมชีวิตหรือปฏิเสธชีวิตจนถึงขั้นความตาย (138) เขาตั้งข้อสังเกตว่าเนื่องจากอำนาจสามารถมีอิทธิพลเหนือชีวิตได้เท่านั้น “ความตายจึงเป็นขีดจำกัดของอำนาจ” (138) ฟูโกต์อธิบายว่าการฆ่าตัวตายในฐานะการกระทำส่วนบุคคลเป็นการบ่อนทำลายอำนาจ และการจัดให้อำนาจเป็นอาชญากรรมเป็นความพยายามที่ฉวยโอกาสของอำนาจในการจัดการชีวิต
เขาอธิบายต่อไปว่า “อำนาจเหนือชีวิตวิวัฒนาการมาในรูปแบบพื้นฐานสองรูปแบบ” นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 (139) ฟูโกต์อธิบายว่ารูปแบบแรก “มีศูนย์กลางอยู่ที่ร่างกายในฐานะเครื่องจักร ได้แก่ การควบคุม การเพิ่มขีดความสามารถสูงสุด…การเพิ่มประโยชน์ใช้สอยและความอ่อนน้อมถ่อมตนไปพร้อมๆ กัน [และ] การบูรณาการเข้ากับระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพและประหยัด” (139) เขาจัดกลุ่มกลไกอำนาจทั้งหมดนี้ภายใต้หัวข้อ “ สาขาวิชา : การเมืองเชิงกายวิภาคของร่างกายมนุษย์ ” (139) ฟูโกต์ยืนยันว่ารูปแบบที่สอง “มุ่งเน้นไปที่ร่างกายของเผ่าพันธุ์ ร่างกายที่ซึมซับกลไกของชีวิตและเป็นพื้นฐานของกระบวนการทางชีววิทยา ได้แก่ การขยายพันธุ์ การเกิดและการตาย…อายุขัยและอายุยืน” (139) เขาจัดกลุ่มกลไกเหล่านี้ภายใต้หัวข้อ “ การควบคุมเชิงกฎระเบียบ: การเมืองเชิงชีวะของประชากร ” (139) ฟูโกต์เน้นย้ำว่าอำนาจจะถูกระดมเพื่อควบคุมร่างกายมนุษย์และควบคุมประชากร ทำให้เกิด “เทคโนโลยีสองขั้วที่ยิ่งใหญ่ ทั้งทางกายวิภาคและชีวภาพ” ที่ทำงานเพื่อ “ใช้ชีวิตอย่างเต็มตัว” (139)
นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตว่า “พลังชีวภาพ” นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการก้าวขึ้นและขยายตัวของระบบทุนนิยม ฟูโกต์ยืนยันว่าความสำเร็จของระบบเศรษฐกิจนี้ “คงเป็นไปไม่ได้หากปราศจากการแทรกซึมของร่างกายเข้าสู่กลไกการผลิตอย่างมีการควบคุม และการปรับปรากฏการณ์ของประชากรให้เข้ากับกระบวนการทางเศรษฐกิจ” (141) ระบบทุนนิยมซึ่งต้องการการเติบโต เช่น การสร้างตลาดใหม่ การผลิตสินค้าและทุนเพิ่มขึ้น ฯลฯ ท้ายที่สุดแล้ว ย่อมต้องพึ่งพาอำนาจที่สามารถส่งเสริม เพิ่มประสิทธิภาพ และควบคุมชีวิต แทนที่จะเป็นความตาย (141)
ฟูโกต์โต้แย้งว่าความทันสมัยนั้นโดดเด่นด้วยพัฒนาการของมนุษยชาติในการใช้มาตรการทางการเมืองเพื่อรักษาและสืบสานการดำรงอยู่ของตนไว้โดยเฉพาะ แต่เขาเสนอว่าผลลัพธ์ที่สำคัญประการหนึ่งของ “อำนาจชีวภาพ” คือการทำให้อำนาจเป็นปกตินอกเหนือจากระบบกฎหมายอย่างเป็นทางการ เขายืนยันว่า “กฎหมายทำงานเป็นบรรทัดฐานมากขึ้นเรื่อยๆ และสถาบันทางกฎหมายก็ถูกผนวกเข้ากับกลไกต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ (ทางการแพทย์ การบริหาร และอื่นๆ) ซึ่งหน้าที่ส่วนใหญ่คือการควบคุม” (144) ฟูโกต์ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าสิทธิในการมีชีวิตได้กลายเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญของการต่อสู้ทางการเมืองส่วนใหญ่
ในที่สุด เขาสรุปเรียงความของเขาด้วยการอภิปรายว่าเหตุใดเรื่องเพศจึงมีความสำคัญทางการเมืองอย่างมากภายใต้กรอบอำนาจนี้ เพราะมันเชื่อมโยงกับทั้ง “วินัยของร่างกาย” และ “การควบคุมประชากร” ซึ่งเป็น “วิธีการเข้าถึงทั้งชีวิตของร่างกายและชีวิตของเผ่าพันธุ์” (145, 146) ฟูโกต์เสนอข้อโต้แย้งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดการเรื่องเพศและการใช้เรื่องเพศด้วน
ฟูโกต์ (Michel Foucault) มีแนวคิดเรื่อง “อำนาจ” (Power) ที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ซึ่งแตกต่างจากมุมมองดั้งเดิมของนักปรัชญาหรือรัฐศาสตร์ก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เราสามารถสรุปแนวคิดของเขาเกี่ยวกับ "อำนาจในความสัมพันธ์" (Power Relations) ได้ดังนี้ครับ:
🔍 1. อำนาจไม่ใช่สิ่งที่ "ใครบางคนมี" แต่เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นในความสัมพันธ์"
-
ฟูโกต์ไม่มองอำนาจว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวบุคคล สถาบัน หรือกลไกรัฐ แต่เขาเห็นว่า อำนาจเป็นพลวัตที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคล
-
เขาใช้คำว่า "relations of power" หรือ "ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ" ที่ดำรงอยู่ในทุกระดับของชีวิตประจำวัน: ครอบครัว, โรงเรียน, สถานพยาบาล, ความสัมพันธ์ระหว่างครู-นักเรียน, หมอ-คนไข้, หัวหน้า-ลูกน้อง ฯลฯ
“อำนาจไม่ใช่สิ่งของที่สามารถถือครองได้ หรือส่งต่อได้ แต่เป็นบางสิ่งที่กระทำและใช้งานอยู่ตลอดเวลา” — ฟูโกต์
🕸️ 2. อำนาจแทรกอยู่ในทุกหนแห่ง (Power is everywhere)
-
อำนาจไม่ได้มีเพียงแค่ในรัฐบาลหรือกฎหมาย แต่ แฝงอยู่ในระบบความรู้ ค่านิยม ภาษา กฎเกณฑ์ และบรรทัดฐานของสังคม
-
เขาเสนอแนวคิดว่า “อำนาจและความรู้” (Power/Knowledge) เป็นสิ่งที่ผลิตกันและกัน — ความรู้ไม่เคยเป็นกลาง แต่มีหน้าที่ควบคุม-กำหนดความเป็นจริง
ตัวอย่าง: ความรู้ทางการแพทย์ถูกใช้ควบคุมร่างกายและความประพฤติของผู้คน เช่น การวินิจฉัยโรคจิต, การควบคุมเพศสภาพ, หรือการจัดประเภทพฤติกรรม "ผิดปกติ"
🏗️ 3. อำนาจทำงานผ่าน "การปกครองตนเอง" (Governmentality)
-
ฟูโกต์อธิบายว่าในสังคมสมัยใหม่ อำนาจไม่จำเป็นต้องกดขี่หรือใช้กำลังแบบตรงๆ
-
ผู้คนถูกทำให้ "ควบคุมตัวเอง" ผ่านกลไกของวินัย (discipline), การตรวจสอบ, การเปรียบเทียบ และบรรทัดฐาน
-
เช่น คนเราพยายามลดน้ำหนัก, ตั้งเป้าเรียนดี, ทำงานหนัก ฯลฯ — ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่เพราะ "รู้สึกว่าควรทำ" ภายใต้มาตรฐานที่สังคมกำหนดไว้
🎭 4. อำนาจไม่เท่ากับการกดขี่เสมอไป
-
ฟูโกต์มองว่าอำนาจไม่ได้มีแค่ด้านลบ (oppression) เท่านั้น
-
อำนาจสามารถ ผลิต ความรู้, ตัวตน, เพศสภาพ, รูปแบบการดำรงชีวิต — ตัวอย่างเช่น ระบบการศึกษาสร้าง “นักเรียนดี”, ระบบแพทย์สร้าง “คนไข้”
เขาไม่ได้ถามว่า “อำนาจคืออะไร?” แต่ถามว่า “อำนาจทำงานอย่างไร?”
🔁 5. ทุกอำนาจเปิดโอกาสให้มี "แรงต้าน" (Resistance)
-
ฟูโกต์ย้ำว่า "ที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน" (Where there is power, there is resistance)
-
แต่การต่อต้านนี้อาจไม่ใช่การปฏิวัติแบบฮีโร่ อาจมาในรูปของการเบี่ยงเบน, การตั้งคำถาม, การไม่ทำตาม, การตั้งอัตลักษณ์ใหม่ๆ ฯลฯ
📌 สรุปแนวคิดเรื่องอำนาจของฟูโกต์
| มุมมองดั้งเดิม | ฟูโกต์เสนอใหม่ |
|---|---|
| อำนาจเป็นของผู้ปกครอง | อำนาจเกิดจากความสัมพันธ์ |
| อำนาจกดขี่-ใช้กำลัง | อำนาจทำให้คน “ปกครองตัวเอง” |
| อำนาจอยู่ที่รัฐบาล/กฎหมาย | อำนาจแฝงอยู่ในสถาบันและวาทกรรม |
| อำนาจคือการออกคำสั่ง | อำนาจคือการสร้างบรรทัดฐาน |
| อำนาจต่อต้านไม่ได้ | อำนาจสามารถถูกต่อต้านได้ในระดับต่างๆ |
อำนาจในความสัมพันธ์รัก (โดยเฉพาะความรักแบบโรแมนติกหรือความรักเชิงเพศ) อย่างไรบ้าง
🔍 สาระสำคัญ: ฟูโกต์มองความรักว่าเป็นพื้นที่ของอำนาจที่ละเอียดอ่อน
1. ความรักไม่พ้นจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
-
ฟูโกต์เชื่อว่า ไม่มีความสัมพันธ์ใดในโลกที่ “ปราศจากอำนาจ”
-
แม้แต่ความสัมพันธ์ที่ดูใกล้ชิดที่สุด เช่น “คู่รัก” ก็เป็นพื้นที่ที่อำนาจทำงานอยู่เสมอ เช่น:
-
ใครเป็นฝ่ายที่ “ให้” หรือ “ต้องการ” มากกว่า
-
ใครเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ หรือคาดหวังบางอย่างจากอีกฝ่าย
-
ใครเป็นฝ่ายที่ “ต้องเปลี่ยนตัวเอง” เพื่อความรัก
-
อำนาจในความรักไม่ได้แปลว่า “บังคับ” เสมอไป แต่คือกระบวนการที่เราทั้ง “มอบ” และ “ยอมรับ” อำนาจซึ่งกันและกัน
2. ความรักเกี่ยวพันกับวาทกรรมและบรรทัดฐานทางสังคม
-
ฟูโกต์เสนอว่า ความรักและความปรารถนาไม่ได้เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างเดียว แต่มันถูกกำหนดผ่านวาทกรรมของสังคม เช่น:
-
สังคมสอนว่า “รักที่แท้จริง” ควรเป็นแบบไหน
-
ใครควรคู่กับใคร (ชายกับหญิง? เพศเดียวกัน?)
-
การรักใครสักคน “อย่างเหมาะสม” ควรเป็นอย่างไร
-
ตัวอย่าง: คนอาจรู้สึกผิดถ้ารักคนที่ “ไม่เหมาะสม” ในสายตาสังคม เช่น อายุต่างกันมาก / ต่างสถานะ ฯลฯ — นี่คืออำนาจของวาทกรรมที่สร้างขอบเขตของความรัก
3. อำนาจในความรักมักผูกกับเรื่องเพศ (sexuality)
-
ฟูโกต์ศึกษาเรื่อง “sexuality” อย่างลึกซึ้งใน The History of Sexuality
-
เขาเสนอว่าเพศวิถีถูกควบคุมผ่าน “ความรู้” และ “สถาบัน” เช่น การแพทย์ ศาสนา ครอบครัว
-
ความรักในฐานะที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์จึงกลายเป็นเรื่องที่ต้อง “ถูกควบคุม” — ผ่านค่านิยม เช่น รักเดียว, ความบริสุทธิ์, ความเหมาะสมทางศีลธรรม ฯลฯ
ตัวอย่าง: คนอาจรู้สึกผิดถ้ามีความต้องการทางเพศในความรักมากเกินไป หรือไม่มีเลย — ทั้งหมดนี้สะท้อนอำนาจที่เข้ามานิยาม "ความรักที่ดี"
4. อำนาจในความรักอาจนำไปสู่การปกครองตนเอง (self-governance)
-
คนในความสัมพันธ์รักมัก “ควบคุมตัวเอง” เพื่อให้เป็นคนที่อีกฝ่ายรักได้ หรือเป็น “คู่ที่ดี”
-
เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรม ลดตัวตนบางอย่าง หรือปรับตามค่านิยมความรักที่สังคมสอนมา
-
ฟูโกต์จะมองว่านี่คือการ “ผลิตตัวตน” ผ่านอำนาจ ไม่ใช่แค่การถูกกดขี่ แต่เป็นการ สร้างตัวเราเอง ภายใต้แรงกดจากอุดมคติของความรัก
5. ฟูโกต์เองกับความรัก – ตัวอย่างจากชีวิตส่วนตัว
-
แม้ฟูโกต์จะไม่เขียนเชิงทฤษฎีเรื่อง “ความรักโรแมนติก” มากนัก แต่จากชีวประวัติของเขา เรารู้ว่าเขาเป็นเกย์ และใช้ชีวิตอยู่กับความรักที่ถูกมองว่า “ผิดปกติ” ในสายตาสังคมยุคของเขา
-
งานเขียนของเขาหลายชิ้น เช่น Friendship as a Way of Life หรือ The Use of Pleasure ก็เสนอทางเลือกของความสัมพันธ์ที่ ไม่ขึ้นกับบรรทัดฐานความรักแบบคู่รักชาย-หญิง และเสนอว่ามิตรภาพ, ความใกล้ชิดทางกาย และความสัมพันธ์ทางเพศอาจเป็น “ความรัก” ได้ แม้จะไม่ถูกเรียกแบบนั้น
💬 สรุป: ฟูโกต์มองความรักเป็นพื้นที่ที่อำนาจแทรกซึมอยู่เสมอ
| ประเด็น | มุมมองของฟูโกต์ |
|---|---|
| ความรักคืออะไร | สนามของอำนาจ ไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจ |
| อำนาจทำงานอย่างไร | ผ่านบทบาท, การเปลี่ยนแปลงตัวเอง, ความคาดหวัง |
| บทบาทของวาทกรรม | สังคมผลิตนิยามของ “รักที่ดี” หรือ “ความสัมพันธ์ที่เหมาะสม” |
| ความเป็นตัวตนในความรัก | ตัวเราถูกสร้างขึ้นภายใต้แรงกดจากบรรทัดฐานความรัก |
| การต่อต้าน | ความรักที่ “อยู่นอกบรรทัดฐาน” อาจเป็นรูปแบบของแรงต้านต่ออำนาจ เช่น ความรักระหว่างเพศเดียวกัน, ความรักแบบไม่ผูกมัด ฯลฯ |
แม้ว่าฟูโกต์ (Michel Foucault) จะไม่ได้เขียนงานหลักเกี่ยวกับ “มิตรภาพ” จำนวนมากนัก แต่แนวคิดของเขาเรื่อง "Friendship as a Way of Life" — ที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์ปี 1981 — เป็นประเด็นที่ลึกซึ้งและทรงพลังมาก โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ครับ:
ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์ Friendship as a Way of Life
1. มิตรภาพในฐานะ "รูปแบบของชีวิต" มากกว่าความสัมพันธ์ทางเพศหรือคู่รัก
ฟูโกต์มองว่า “ความเป็นเกย์” ไม่ใช่การระบุตัวตนทางจิตวิทยาหรือเพศสภาพ แต่เป็น วิถีชีวิต (way of life) ที่เปิดโอกาสให้เกิดความสัมพันธ์หลากหลาย เขากล่าวว่า:
“to try and define and develop a way of life”
— ไม่ใช่การค้นหาความจริงในเพศของตน แต่เป็นการใช้เพศของเราเพื่อสร้าง “ความสัมพันธ์หลายหลาก” pagingdrlesbian.comGoodreads
2. มิตรภาพเป็นพื้นที่ของการประดิษฐ์วิถีชีวิตใหม่
ฟูโกต์ตั้งคำถามว่า “มันเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชายจะอยู่ร่วมกัน โดยไม่อยู่ในกรอบของครอบครัวหรืออาชีพ?”
“to live together, to share their time, their meals, their room … outside institutional relations … They have to invent, from A to Z, a relationship that is still formless, which is friendship”
— มิตรภาพจึงเป็นการ “คิดค้น” รูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่มีรูปแบบตายตัว caring labor: an archive
3. มิตรภาพสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบสถาบันเดิม
ฟูโกต์เน้นว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อน (โดยเฉพาะในสังคมที่มีการกีดกันเพศหลากหลาย) ทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ที่สถาบันกำหนดไว้อยู่—เช่น ครอบครัว, กฎหมาย, หรืองาน—เกิดความสั่นคลอน
“But that individuals are beginning to love one another — there’s the problem.”
— สิ่งที่สร้างความไม่มั่นคงไม่ใช่เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปกติเท่านั้น แต่คือ การเริ่มรักกันในรูปแบบใดก็ได้ โดยไม่มีกรอบตายตัว pagingdrlesbian.comcaring labor: an archive
4. มิตรภาพในฐานะ “งานแห่งชีวิต” และ “การปฏิบัติของตัวตน”
หลายคนตีความว่า มิตรภาพที่ฟูโกต์ว่ามานั้นเป็นเหมือนการฝึกฝน (ascesis) เพื่อสร้างตัวตนใหม่—การปฏิเสธแบบแผนและเปิดพื้นที่ให้ “ความใกล้ชิดแบบอื่น” เกิดขึ้น
"The problem of homosexuality … is the problem of friendship" — มิตรภาพคือคำตอบที่อยู่นอกช่องทางปกติ Hypocrite ReaderThe Free Library
5. บทบาททางการเมืองและวัฒนธรรมของมิตรภาพ
Tom Roach ได้นำแนวคิดของฟูโกต์มาใช้วิเคราะห์บทบาทของมิตรภาพในบริบทของวิกฤติ AIDS และการเคลื่อนไหว LGBTQ ซึ่งเขาเรียกว่า “politics of shared estrangement” หรือ การเมืองของความเป็นอื่นที่ร่วมกัน — มิตรภาพในที่นี้เป็นพื้นที่สร้างความเป็นพลวัตในการต่อต้านอำนาจและคำจำกัดความทางสังคม sunypress.eduDe Gruyter Brillpagingdrlesbian.com
สรุปภาพรวม (ตารางเปรียบเทียบ)
| ประเด็น | สาระสำคัญ |
|---|---|
| มิตรภาพ = วิถีชีวิต | มากกว่าคู่รัก เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่อิสระ |
| การประดิษฐ์ความสัมพันธ์ | ต้อง “คิดค้น” มิตรภาพจากศูนย์ โดยไม่ต้องตามกรอบใด |
| สั่นคลอนสถาบัน | มิตรภาพท้าทายโครงสร้างครอบครัวและสถาบันทางสังคม |
| มิตรภาพ = ปฏิบัติของตัวตน | เป็นงานสร้างตัวตนผ่านความใกล้ชิดที่ไม่ถูกนิยาม |
| บริบทการเมืองวัฒนธรรม | มิตรภาพใน LGBTQ และวิกฤติ AIDS สอดคล้องกับแนวคิดฟูโกต์ |
🔍 1. เพศคือพื้นที่ที่อำนาจทำงาน
Foucault เสนอว่า sexuality (เพศวิถี) ไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติ” หรือ “เรื่องส่วนตัว” อย่างที่คนมักคิด
แต่ตรงกันข้าม — มันคือ หนึ่งในพื้นที่สำคัญที่สุดที่อำนาจของรัฐ, ศาสนา, แพทย์, กฎหมาย ฯลฯ เข้ามาควบคุม
❝ Sexuality is not repressed — it is produced. ❞
– Michel Foucault, The History of Sexuality Vol. 1
-
ตัวอย่างเช่น:
-
การแพทย์สร้างนิยามว่าใคร “ผิดปกติทางเพศ”
-
โรงเรียนกำหนดว่าเพศต้องแต่งกายแบบใด
-
กฎหมายจำกัดว่าใครควรมีเพศสัมพันธ์กับใคร
-
ศาสนาชี้ว่าพฤติกรรมทางเพศใด “บริสุทธิ์” หรือ “บาป”
-
ทั้งหมดนี้แสดงว่า “เพศ” คือ พื้นที่ของอำนาจ ที่ถูกจัดการผ่าน วาทกรรม (discourse) อย่างเข้มข้น
🏛️ 2. เพศช่วยจัดระเบียบและสร้างโครงสร้างของสังคม
-
เพศไม่ใช่แค่ลักษณะทางชีววิทยา แต่เป็น บทบาททางสังคม (gender roles) ที่สังคมกำหนดไว้
-
เราถูกฝึกให้เป็น "ชาย" หรือ "หญิง" ผ่านระบบโรงเรียน, ครอบครัว, ศาสนา, สื่อ ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นกลไกที่ควบคุมพฤติกรรม
-
การแยกชาย-หญิงแบบเข้มงวด ช่วยจัดระบบครอบครัว, การสืบพันธุ์, ความสัมพันธ์ และแรงงาน
❝ There is no gender identity behind the expressions of gender … identity is performatively constituted. ❞
— Judith Butler, Gender Trouble
นั่นคือ เพศไม่ใช่สิ่งที่ “เรามีอยู่ก่อน” แต่เป็นสิ่งที่ เราทำ (perform) ตามบรรทัดฐานที่อำนาจสร้างขึ้น
⚙️ 3. อำนาจใช้เพศเป็นเครื่องมือควบคุมและทำให้เรายอมรับ
-
อำนาจยุคใหม่ไม่ได้ใช้การบังคับแบบโจ่งแจ้งเสมอไป แต่ใช้ การทำให้เรา “อยาก” เป็นไปตามเพศแบบที่สังคมยอมรับ
-
อยากแต่งตัวให้ “เหมาะสมกับเพศ”
-
อยากเป็นแฟนที่ดีในแบบที่เพศควรเป็น
-
อยากดูเป็น “ผู้ชายแท้” หรือ “หญิงแท้”
-
-
การลงทุนในตัวเองแบบนี้ เป็นการ ควบคุมตนเอง ที่ลึกยิ่งกว่าการถูกควบคุมจากภายนอก (ดูแนวคิด "biopower" ของฟูโกต์)
🧱 4. สังคมแบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ใช้เพศเพื่อสถาปนาอำนาจ
-
เพศชายมักถูกสังคมให้คุณค่าเหนือกว่าเพศหญิงหรือเพศทางเลือก
-
ความเป็นชายกลายเป็นตัวแบบของ “ผู้นำ”, “ผู้รู้”, “ผู้ควบคุม”
-
ความเป็นหญิงหรือเพศอื่นๆ ถูกลดทอนอำนาจ ถูกควบคุม หรือถูกทำให้หายไปจากพื้นที่สาธารณะ
ความไม่เท่าเทียมทางเพศจึง ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ถูกผลิตขึ้นผ่านอำนาจเชิงวัฒนธรรมและสถาบัน
🔥 5. เพศสามารถเป็นพื้นที่ของการต่อต้านและสร้างสังคมใหม่
-
กลุ่ม LGBTQ+, ขบวนการเฟมินิสต์ และ queer theorists เช่น Butler, Sedgwick, Halberin เสนอว่า:
-
การท้าทายเพศสภาพแบบตายตัว (gender nonconformity) คือการต่อต้านอำนาจ
-
ความรัก, ความสัมพันธ์, การแต่งกาย หรือบทบาททางเพศที่ไม่ปกติ — เป็นการ “ทำลายขอบเขตที่อำนาจวางไว้”
-
-
เช่น การแสดงออกของ drag, nonbinary, polyamory ฯลฯ คือ การรื้อถอนระบบเดิม และสร้างพื้นที่ใหม่ของความเป็นไปได้
🧭 สรุปสั้น ๆ: “เพศ - อำนาจ - สังคม” ทำงานร่วมกันอย่างไร?
| คำหลัก | ความหมายในเชิงอำนาจ |
|---|---|
| เพศ (Gender) | ไม่ใช่สิ่งธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างโดยวัฒนธรรมและอำนาจ |
| เพศวิถี (Sexuality) | ถูกควบคุมผ่านสถาบันและวาทกรรม เช่น แพทย์ ศาสนา กฎหมาย |
| อำนาจ (Power) | แทรกซึมผ่านเพศและทำให้คนควบคุมตัวเองตามบรรทัดฐาน |
| สังคม | สร้างโครงสร้างผ่านเพศ เช่น ครอบครัว ชาติ ศีลธรรม |
| การต่อต้าน | การไม่ทำตามบทบาทเพศที่กำหนดไว้ เป็นการต่อต้านอำนาจเชิงสร้างสรรค์ |
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์
Michel Foucault และ Jacques Derrida (ที่อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา มักอ้างอิงทั้งคู่) มอง “ความสุข” ในฐานะ concept ต่างกันพอสมควร และอ.ธเนศก็มักใช้เพื่อวิพากษ์สังคมไทยและโลกสมัยใหม่เชิงการเมือง–วัฒนธรรม
🌀 1. ฟูโกต์ (Foucault) : ความสุข = สิ่งที่ถูกประกอบสร้างและถูกจัดการด้วยอำนาจ
-
ฟูโกต์จะไม่พูดว่า “ความสุขคืออะไร” แบบนิยามตายตัว แต่สนใจว่า ใครนิยามความสุข และใช้อำนาจอย่างไรในการควบคุมเรา
-
ความสุขจึงไม่เป็นกลาง แต่มักถูกกำหนดโดย ชีวอำนาจ (biopower) เช่น รัฐ ตลาด แพทย์ ระบบการศึกษา
-
ความสุขในสายตาฟูโกต์ = “ผลผลิตของระเบียบวินัยและบรรทัดฐาน” เช่น ร่างกายที่แข็งแรง การทำงานเต็มเวลา ครอบครัวนิวเคลียร์ที่ดี → สิ่งเหล่านี้ถูกยัดเยียดว่าเป็นชีวิตที่ “ดี” และ “มีความสุข”
-
แต่ฟูโกต์ยังชี้ว่า มีพื้นที่ให้ ต่อต้าน/สร้างตนเอง (technologies of the self) เช่น การเลือกวิถีชีวิตที่แตกต่างจากบรรทัดฐาน เช่น queer politics, lifestyle alternative, spiritual practices
👉 ในสายตาธเนศ:
“ความสุข” ที่รัฐหรือสังคมประกาศใช้จริง ๆ คือ เครื่องมือควบคุมชีวิตเรา มากกว่าการให้เสรีภาพ
🌀 2. เดอริด้า (Derrida) : ความสุข = สิ่งที่ “ไม่เคยเสร็จสิ้น” และอยู่ในความแตกต่าง (différance)
-
เดอริด้าไม่ได้มองความสุขเป็นเป้าหมายชัดเจน แต่เป็น สิ่งที่เลื่อนไหล ไม่อาจนิยามลงหลักปักฐานได้
-
เช่นเดียวกับที่เขาพูดถึง “ความยุติธรรม” หรือ “ประชาธิปไตย” → มันไม่เคยเสร็จสิ้น (never finished) ต้องถูก สร้างซ้ำ (iterability) และรื้อสร้าง (deconstruction) ตลอดเวลา
-
ความสุขของเดอริด้า จึงอยู่ใน การเปิดพื้นที่ให้สิ่งที่แตกต่าง/สิ่งที่ยังมาไม่ถึง (the à venir – the “to come”)
-
ไม่ใช่ “มีงาน มีบ้าน มีครอบครัว” แบบฟูโกต์วิเคราะห์ แต่คือการยอมรับว่า ความสุขไม่มีคำตอบสุดท้าย มันต้องถูกสร้าง–รื้อ–สร้างใหม่เสมอ
👉 ในสายตาธเนศ:
เดอริด้าช่วยให้เราเห็นว่า อย่าหลงคิดว่า “ความสุข” มีสูตรสำเร็จ แต่ต้องเปิดพื้นที่ต่อความหลากหลาย ความแตกต่าง และการตีความใหม่ ๆ
🌀 3. ถ้าเปรียบเทียบแบบชัด ๆ
| มุมมอง | Foucault (ผ่านธเนศ) | Derrida (ผ่านธเนศ) |
|---|---|---|
| ธรรมชาติของความสุข | เป็นสิ่งที่ถูก “ประกอบสร้าง” โดยอำนาจ (รัฐ ตลาด วินัย) | เป็นสิ่งที่ “เลื่อนไหล ไม่เคยเสร็จสิ้น” ต้องรื้อสร้างเสมอ |
| บทบาทอำนาจ | ความสุขถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมชีวิต (biopower) | ความสุขไม่อาจถูกผูกขาดโดยอำนาจใด เพราะมันเปิดสู่สิ่งที่แตกต่าง |
| วิธีเข้าถึง | การตระหนักรู้และสร้าง “พื้นที่ต่อต้าน” ผ่านเทคโนโลยีแห่งตนเอง | การยอมรับความไม่ตายตัวของความสุข และสร้างซ้ำอย่างวิพากษ์ |
| ภาพรวม | ความสุข = กลไกทางสังคม–การเมือง | ความสุข = โครงการที่ยังมาไม่ถึง (to come) ไม่มีจบสิ้น |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น