วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Postmodernism

 Postmodernism Explained - Owlcation

 "ความสุขที่บริโภคไม่ได้" เป็นแนวคิดจากหนังสือ On Happiness (ว่าด้วยความสุข) ของ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ซึ่งตั้งคำถามถึงความหมายของความสุขในยุคสมัยใหม่ และวิเคราะห์ว่า สภาวะสมัยใหม่ที่เน้นการบริโภคทำให้ความสุขกลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกแสวงหาและบริโภคไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็น "ความสุขที่บริโภคไม่ได้" ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน. แนวคิดหลัก:

  • ความสุขแบบบริโภคได้:
    ในยุคปัจจุบันที่เน้นการบริโภค ความสุขมักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เราต้องซื้อ หา หรือแสวงหาอย่างต่อเนื่อง เช่น การซื้อของ การเสพสุขจากวัตถุ. 
โดยรวมแล้ว "ความสุขที่บริโภคไม่ได้" เป็นแนวคิดเชิงปรัชญาที่วิพากษ์วิจารณ์แนวทางการแสวงหาความสุขในยุคปัจจุบัน ซึ่งมักติดอยู่กับการบริโภควัตถุ จนทำให้ความสุขกลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง. 
  • ความสุขที่บริโภคไม่ได้:
    เป็นความสุขที่เกินกว่าการบริโภควัตถุ เป็นความสุขที่อยู่เหนือการแสวงหาแบบปัจเจกชน และถูกตีความว่าเกี่ยวข้องกับกลไกอำนาจที่สั่งให้คนมีความสุข. 
     อำนาจอธิปไตยสั่งให้มีความสุข:
  • ผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงกลไกอำนาจที่บีบบังคับให้สังคมต้องมีความสุขตามที่กำหนด ทำให้ความสุขกลายเป็นภาระที่ต้องแสวงหา. 
  • การรื้อฟื้นความคิดแบบ อีพิคูเรียน:
    แนวคิดนี้ยังได้อ้างอิงถึงปรัชญาอีพิคูเรียน โดยเฉพาะความคิดของปิแอร์ เกสซองดิ ที่พยายามนำเสนอแนวคิดเรื่องความสุขที่แตกต่างออกไป. 
     ความสุขกับสภาวะสมัยใหม่:
  • หนังสือเล่มนี้สำรวจว่า ในสภาพสังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการบริโภค มนุษย์จะสามารถแสวงหาความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนได้อย่างไร. 
     

     

    ในบท “On Happiness” ของศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา เขาหยิบแนวคิดของ Epicureanism (ลัทธิเอพิคิวเรียน) และโดยเฉพาะตัวแทนอย่าง ปิแอร์ เกสซองดิ (Pierre Gassendi) มาใช้เป็นกรอบวิพากษ์เพื่อชวนคิดใหม่เกี่ยวกับความสุข ดังนั้น ผมขอสรุปว่า ธเนศอธิบาย Epicureanism อย่างไรในเล่มนี้ ดังนี้ครับ:


    จุดประสงค์เขียนบท Epicureanism

    จากสารบัญของ On Happiness มีบทชื่อว่า:

    • "ปิแอร์ เกสซองดิ กับการรื้อฟื้นความคิดแบบอิพิคูเรียน"

    • "ความสุขของ ปิแอร์ เกสซองดิ" sm-thaipublishing.com

    แสดงว่า ธเนศใช้แนวคิดของ Gassendi (ซึ่งพาแนว Epicurean มาปรับใช้ในยุคใหม่) มาเป็นตัวอย่างของ “ทางเลือกปรัชญา” สำหรับความสุขที่ไม่ถูกผลิตโดยอำนาจ แต่เรียบง่ายและภาวนาสงบ


    1. นิยามความสุขตาม Epicureanism (และ Gassendi)

    • Epicurus มองว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตคือความสุข (pleasure) ซึ่งควรเป็นความสุขที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความสุขชั่วคราวทางกาย แต่เป็นความสุขภายในจิตใจ เช่น ความสงบ (ataraxia) และการปราศจากความเจ็บปวดทั้งกายและใจ (aponia) AnyFlipthaicadet.orgวิกิพีเดีย

    • ธเนศจึงนำแนวคิดนี้มาใช้เพื่อท้าทายแนวคิดความสุขที่เน้น “การบริโภค โชว์ หรือความสำเร็จภายนอก” ที่สังคมสมัยใหม่มักยัดเยียดให้เรา


    2. ความสุขที่ “บริโภคไม่ได้” vs. ความสุขแบบบริโภคนิยม

    • ธเนศบอกว่า “ความสุขที่บริโภคไม่ได้” คือแบบที่ ไม่ถูกสร้างหรือถูกเรียกร้องจากภายนอก เช่น โลโก้ แบรนด์เนม หรือตัวชนะในสนามสังคม sm-thaipublishing.comมติชนออนไลน์

    • Epicureanism ในเลนของธเนสนี้เสนอแนวคิดว่า ความสุขที่แท้จริงคือการอยู่สายกลาง, มีมิตรภาพ, และสติปัญญา, ไม่ใช่การครอบครองหรูหรา


    3. ความสุขทางใจ (Ataraxia) และทางกาย (Aponia)

    • Epicurus แบ่งความสุขออกเป็นสองประเภท คือ ความสุขทางกาย (e.g. การกินอร่อย ๆ แต่เฉพาะขณะนั้น) และ ความสุขทางใจ (e.g. ความสงบ ความไร้กังวล) โดยเขาเห็นว่าความสุขทางใจมีค่ามากกว่าเพราะคงทนและไม่เจือปนด้วยความทุกข์ AnyFlipวิกิพีเดีย

    • ธเนศจึงใช้แนวคิดนี้ส่งเสริมว่า ความสุขแบบภายในเช่น ความสันโดษ หรือ ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีคุณค่าที่เหนือกว่าความสุขภายนอก


    4. ฝึกชีวิตแบบสมดุล (Prudence and Moderation)

    • Epicurus และ Gassendi เน้นการควบคุมความปรารถนา:
      มีเพียง "ธรรมชาติและจำเป็น" เท่านั้นที่ต้องเติม ส่วนที่ไม่จำเป็นหรือลวงตาก็ให้หลีกเลี่ยง วิกิพีเดีย

    • ธเนศจะให้ภาพว่า การใช้ชีวิต "พอเหมาะ พอเพียง" เปลี่ยนความสุขให้มีคุณภาพ, แตกต่างจากแนวทางสังคมที่เร่งให้เราบริโภคและแสวงหามากขึ้นเสมอ


    สรุปภาพใหญ่ (ตามสายตาธเนศ)

    หัวข้อEpicurean (ผ่าน Gassendi)ธเนศตีความ
    ความสุขคืออะไรความสงบภายใน ปราศจากทรมานความสุขที่ไม่ถูกผลิตหรือแสดงให้คนอื่นเห็น
    รากฐานลดทอนความปรารถนายืนหยัดในความเรียบง่าย-สัมพันธ์ลึก
    มุมมองสนใจใจ > กายชี้วิธีสร้างชีวิตให้สอดคล้องกับตัวเรา
    วัตถุสาธารณะไม่เน้นร่างกายหรือวัตถุวิพากษ์สังคมบริโภคนิยมด้วยกรอบนี้
     
     
     🧩 1. จุดเริ่ม: ความวิกฤติของโมเดิร์น (Modernity Crisis)
  • ธเนศมักชี้ว่า Postmodernism ไม่ได้เกิดขึ้นแบบลอย ๆ แต่เกิดจาก “วิกฤติศรัทธา” ต่อ Modernism ซึ่งเคยเชื่อว่า

    • วิทยาศาสตร์จะนำความเจริญ

    • เหตุผลจะทำให้มนุษย์มีเสรีภาพ

    • ความก้าวหน้าจะนำไปสู่ความสุข

    แต่สงครามโลก การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฮิโรชิมา-นางาซากิ ทำให้โลกตั้งคำถามว่า เหตุผลและวิทยาศาสตร์อาจไม่ใช่คำตอบของมนุษย์เสมอไป


    🧩 2. เส้นทางยุโรป – จากโครงสร้างนิยมสู่หลังโครงสร้าง (Structuralism → Post-structuralism)

    • ธเนศเล่าว่า Postmodernism เกิดจากการ แตกหักกับโครงสร้างนิยม (structuralism) ที่เชื่อว่าภาษามีโครงสร้างตายตัว

    • นักคิดอย่าง Derrida, Foucault, Lyotard, Deleuze พากันรื้อว่า ภาษากับสังคมไม่ได้มี “ความหมายตายตัว” แต่ผันแปรตามอำนาจและการตีความ

    • โดยเฉพาะ Derrida กับ Foucault → เป็นสองเสาหลักที่ธเนศหยิบมาใช้บ่อย


    🧩 3. Jean-François Lyotard – คำว่า “Postmodern Condition”

    • ธเนศชี้ว่า จุดประกาศอย่างเป็นทางการ ของ Postmodernism มาจาก Lyotard (1979) ที่บอกว่า “postmodern คือการไม่ไว้ใจ grand narratives”

    • ซึ่งธเนศตีความว่า ไม่เชื่อคำอธิบายใหญ่ที่ครอบงำ เช่น ศาสนา วิทยาศาสตร์ อุดมการณ์ทางการเมือง

    • สำหรับสังคมไทย → ก็แปลว่าไม่ควรเชื่อ “เรื่องเล่าแบบไทยแท้” โดยไม่ตั้งคำถาม


    🧩 4. Michel Foucault – ประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์

    • ธเนศมักเล่าว่า Foucault สำรวจประวัติศาสตร์โดยไม่เล่าตาม “เรื่องเล่าแบบผู้ชนะ” แต่ไปขุดด้านมืด เช่น การลงทัณฑ์ บ้า คุก โรงพยาบาล

    • ทำให้เห็นว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็น “ความรู้” แท้จริงคือ เครือข่ายอำนาจ

    • ในแง่นี้ ธเนศบอกว่า Postmodernism คือ การเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ในฐานะการต่อสู้ของเรื่องเล่า


    🧩 5. Derrida – การรื้อสร้างประวัติศาสตร์ความคิดตะวันตก

    • ธเนศเล่าว่า Derrida พยายามรื้อ “คู่ตรงข้าม” ที่ประวัติศาสตร์ตะวันตกสร้างขึ้น เช่น เหตุผล/อารมณ์, การพูด/การเขียน, ศูนย์กลาง/ชายขอบ

    • ทำให้เห็นว่า สิ่งที่เคยถูกทำให้เป็นรอง ก็มีพลังที่จะกลับมาสั่นคลอนความจริง

    • ในสายตาธเนศ นี่คือ “วิธีอ่านประวัติศาสตร์” แบบไม่ให้ผู้ชนะผูกขาดความหมาย


    🧩 6. การเชื่อมกับโลกการเมืองร่วมสมัย

    • ธเนศไม่เล่า Postmodernism แค่ในเชิง “ความคิดตะวันตก” แต่จะโยงเข้ากับ

      • สงครามเย็น → ที่ทำให้ความจริงถูกแบ่งขั้ว

      • โลกาภิวัตน์ → ที่ทำให้ความจริงไม่ถูกผูกกับชาติเดียว

      • สังคมไทย → ที่ยังเต็มไปด้วย “grand narrative” เช่น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์


    📌 สรุป: ธเนศสำรวจประวัติศาสตร์ Postmodernism อย่างไร

    1. เริ่มจากวิกฤติของโมเดิร์น (เหตุผล-วิทยาศาสตร์ล้มเหลวในการทำให้โลกดีขึ้น)

    2. ผ่านโครงสร้างนิยม → สู่ หลังโครงสร้างนิยม

    3. ใช้ Lyotard อธิบายการปฏิเสธ grand narrative

    4. ใช้ Foucault อ่านประวัติศาสตร์ในฐานะการเมืองของอำนาจ

    5. ใช้ Derrida รื้อคู่ตรงข้ามและความหมายที่มั่นคง

    6. เชื่อมโยงกลับมาที่ สังคมไทย ว่าเรายังติดอยู่กับ grand narrative ที่ไม่ถูกตั้งคำถาม

    ศ. ธเนศ วงศ์ยานนาวา เข้าใจและใช้แนวคิด โพสต์โมเดิร์น (Postmodernism) อย่างไร ซึ่งต่างจากการอธิบายทั่วไปที่เน้นทฤษฎีเพียว ๆ เพราะธเนศมักดึงมาเชื่อมกับสังคมไทย ประชาธิปไตย วัฒนธรรม และการเมืองโลก


    🌀 1. Postmodernism = การ “ไม่ไว้ใจ” ความจริงแบบเบ็ดเสร็จ

    • ธเนศอธิบายว่า โลกยุคโมเดิร์น มักเชื่อใน เหตุผล สติปัญญา ความก้าวหน้า และความจริงสากล (universal truth) → มันผลิตสิ่งที่เรียกว่า grand narrative เช่น วิทยาศาสตร์จะนำพาความเจริญ, เสรีนิยมจะทำให้มนุษย์เสรี

    • แต่ โพสต์โมเดิร์น มาตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ → ไม่มี “ความจริงใหญ่” ที่ไม่อาจถูกท้าทาย

    • ในมุมธเนศ: การมองแบบโพสต์โมเดิร์นช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เราเรียกว่า “ความจริง/ความสุข/ความยุติธรรม/ประชาธิปไตย” ล้วนถูกประกอบสร้างทางสังคม


    🌀 2. การรื้อสร้าง (Deconstruction) – รับจาก Derrida

    • ธเนศหยิบแนวคิด deconstruction ของ Jacques Derrida มาบ่อย

    • ใช้อธิบายว่า แนวคิดที่เราคิดว่า “มั่นคง” เช่น ชาติ ศาสนา ความดี ความสุข แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยรอยปริ แตก และความไม่ลงรอย

    • ดังนั้น การใช้โพสต์โมเดิร์นคือ การไม่ยอมรับคำอธิบายใด ๆ ว่าเป็นที่สุด แต่ต้องเปิดให้รื้อและอ่านใหม่เสมอ


    🌀 3. อำนาจ–ความรู้ (Power/Knowledge) – รับจาก Foucault

    • ธเนศชอบฟูโกต์มาก และใช้เพื่ออธิบายโลกยุคโพสต์โมเดิร์นว่า อำนาจไม่ได้อยู่แค่รัฐหรือกฎหมาย แต่แทรกซึมในวิถีชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ครอบครัว สื่อ

    • สิ่งที่เราเชื่อว่า “ปกติ” เช่น ความรักแบบชาย–หญิง ครอบครัวนิวเคลียร์ การมีการงานมั่นคง → จริง ๆ แล้วเป็น อำนาจเชิงบรรทัดฐาน (normative power)

    • ในสายตาโพสต์โมเดิร์นแบบธเนศ: เราต้องรู้ตัวว่า “ชีวิตเรา” ถูกประกอบสร้างโดยเครือข่ายอำนาจอย่างไร


    🌀 4. ความหมายที่ไม่เสร็จสิ้น (Meaning is never finished)

    • ธเนศอธิบายว่า Postmodernism ปฏิเสธ “คำตอบสุดท้าย” → ความจริง ความสุข ประชาธิปไตย เสรีภาพ ไม่เคยปิดฉาก ไม่เคยเสร็จสิ้น

    • ทั้งหมดต้อง ถูกสร้างซ้ำ (iterability) และเปิดรับการตีความใหม่

    • นี่คือการมองโลกในเชิง “ความไม่เสร็จสิ้น” (unfinished project)


    🌀 5. นำมาสู่การวิพากษ์สังคมไทย

    • ธเนศใช้ Postmodernism ไม่ใช่ในเชิงทฤษฎีล้วน ๆ แต่เพื่อชี้ว่า สังคมไทยก็เต็มไปด้วย grand narrative เช่น “ชาติไทยคือสิ่งบริสุทธิ์”, “ความสุขอยู่ที่ความพอเพียง”, “ประชาธิปไตยแบบไทยแท้”

    • ในมุมโพสต์โมเดิร์น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริงสากล แต่เป็น เรื่องเล่าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อค้ำจุนอำนาจ

    • เขาจึงชี้ว่า ถ้าเราเอา Derrida และ Foucault มาใช้ → จะทำให้เห็นว่า “ความจริง” ที่เราเชื่ออยู่นั้น จริง ๆ แล้วเป็นเพียง การเมืองของความหมาย


    📌 สรุป: Postmodernism ในมุมของธเนศ

    1. ไม่ไว้ใจความจริงใหญ่ (grand narrative)

    2. รื้อสร้าง แนวคิดที่ถูกทำให้ดูมั่นคง

    3. เห็นว่า อำนาจแทรกซึมในชีวิตประจำวัน

    4. ยอมรับว่า ความหมายและความสุขไม่มีวันเสร็จสิ้น

    5. ใช้เป็นเครื่องมือวิพากษ์ การเมืองและสังคมไทย ที่มักอ้างความจริงแบบผูกขาด

       

       

    ไม่มีความคิดเห็น: