
"ความสุขที่บริโภคไม่ได้" เป็นแนวคิดจากหนังสือ On Happiness (ว่าด้วยความสุข) ของ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ซึ่งตั้งคำถามถึงความหมายของความสุขในยุคสมัยใหม่ และวิเคราะห์ว่า สภาวะสมัยใหม่ที่เน้นการบริโภคทำให้ความสุขกลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกแสวงหาและบริโภคไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็น "ความสุขที่บริโภคไม่ได้" ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน. แนวคิดหลัก:
- ความสุขแบบบริโภคได้:ในยุคปัจจุบันที่เน้นการบริโภค ความสุขมักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เราต้องซื้อ หา หรือแสวงหาอย่างต่อเนื่อง เช่น การซื้อของ การเสพสุขจากวัตถุ.
ในบท “On Happiness” ของศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา เขาหยิบแนวคิดของ Epicureanism (ลัทธิเอพิคิวเรียน) และโดยเฉพาะตัวแทนอย่าง ปิแอร์ เกสซองดิ (Pierre Gassendi) มาใช้เป็นกรอบวิพากษ์เพื่อชวนคิดใหม่เกี่ยวกับความสุข ดังนั้น ผมขอสรุปว่า ธเนศอธิบาย Epicureanism อย่างไรในเล่มนี้ ดังนี้ครับ:
จุดประสงค์เขียนบท Epicureanism
จากสารบัญของ On Happiness มีบทชื่อว่า:
-
"ปิแอร์ เกสซองดิ กับการรื้อฟื้นความคิดแบบอิพิคูเรียน"
-
"ความสุขของ ปิแอร์ เกสซองดิ" sm-thaipublishing.com
แสดงว่า ธเนศใช้แนวคิดของ Gassendi (ซึ่งพาแนว Epicurean มาปรับใช้ในยุคใหม่) มาเป็นตัวอย่างของ “ทางเลือกปรัชญา” สำหรับความสุขที่ไม่ถูกผลิตโดยอำนาจ แต่เรียบง่ายและภาวนาสงบ
1. นิยามความสุขตาม Epicureanism (และ Gassendi)
-
Epicurus มองว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตคือความสุข (pleasure) ซึ่งควรเป็นความสุขที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความสุขชั่วคราวทางกาย แต่เป็นความสุขภายในจิตใจ เช่น ความสงบ (ataraxia) และการปราศจากความเจ็บปวดทั้งกายและใจ (aponia) AnyFlipthaicadet.orgวิกิพีเดีย
-
ธเนศจึงนำแนวคิดนี้มาใช้เพื่อท้าทายแนวคิดความสุขที่เน้น “การบริโภค โชว์ หรือความสำเร็จภายนอก” ที่สังคมสมัยใหม่มักยัดเยียดให้เรา
2. ความสุขที่ “บริโภคไม่ได้” vs. ความสุขแบบบริโภคนิยม
-
ธเนศบอกว่า “ความสุขที่บริโภคไม่ได้” คือแบบที่ ไม่ถูกสร้างหรือถูกเรียกร้องจากภายนอก เช่น โลโก้ แบรนด์เนม หรือตัวชนะในสนามสังคม sm-thaipublishing.comมติชนออนไลน์
-
Epicureanism ในเลนของธเนสนี้เสนอแนวคิดว่า ความสุขที่แท้จริงคือการอยู่สายกลาง, มีมิตรภาพ, และสติปัญญา, ไม่ใช่การครอบครองหรูหรา
3. ความสุขทางใจ (Ataraxia) และทางกาย (Aponia)
-
Epicurus แบ่งความสุขออกเป็นสองประเภท คือ ความสุขทางกาย (e.g. การกินอร่อย ๆ แต่เฉพาะขณะนั้น) และ ความสุขทางใจ (e.g. ความสงบ ความไร้กังวล) โดยเขาเห็นว่าความสุขทางใจมีค่ามากกว่าเพราะคงทนและไม่เจือปนด้วยความทุกข์ AnyFlipวิกิพีเดีย
-
ธเนศจึงใช้แนวคิดนี้ส่งเสริมว่า ความสุขแบบภายในเช่น ความสันโดษ หรือ ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มีคุณค่าที่เหนือกว่าความสุขภายนอก
4. ฝึกชีวิตแบบสมดุล (Prudence and Moderation)
-
Epicurus และ Gassendi เน้นการควบคุมความปรารถนา:
มีเพียง "ธรรมชาติและจำเป็น" เท่านั้นที่ต้องเติม ส่วนที่ไม่จำเป็นหรือลวงตาก็ให้หลีกเลี่ยง วิกิพีเดีย -
ธเนศจะให้ภาพว่า การใช้ชีวิต "พอเหมาะ พอเพียง" เปลี่ยนความสุขให้มีคุณภาพ, แตกต่างจากแนวทางสังคมที่เร่งให้เราบริโภคและแสวงหามากขึ้นเสมอ
สรุปภาพใหญ่ (ตามสายตาธเนศ)
| หัวข้อ | Epicurean (ผ่าน Gassendi) | ธเนศตีความ |
|---|---|---|
| ความสุขคืออะไร | ความสงบภายใน ปราศจากทรมาน | ความสุขที่ไม่ถูกผลิตหรือแสดงให้คนอื่นเห็น |
| รากฐาน | ลดทอนความปรารถนา | ยืนหยัดในความเรียบง่าย-สัมพันธ์ลึก |
| มุมมอง | สนใจใจ > กาย | ชี้วิธีสร้างชีวิตให้สอดคล้องกับตัวเรา |
| วัตถุสาธารณะ | ไม่เน้นร่างกายหรือวัตถุ | วิพากษ์สังคมบริโภคนิยมด้วยกรอบนี้ |
ธเนศมักชี้ว่า Postmodernism ไม่ได้เกิดขึ้นแบบลอย ๆ แต่เกิดจาก “วิกฤติศรัทธา” ต่อ Modernism ซึ่งเคยเชื่อว่า
-
วิทยาศาสตร์จะนำความเจริญ
-
เหตุผลจะทำให้มนุษย์มีเสรีภาพ
-
ความก้าวหน้าจะนำไปสู่ความสุข
แต่สงครามโลก การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฮิโรชิมา-นางาซากิ ทำให้โลกตั้งคำถามว่า เหตุผลและวิทยาศาสตร์อาจไม่ใช่คำตอบของมนุษย์เสมอไป
🧩 2. เส้นทางยุโรป – จากโครงสร้างนิยมสู่หลังโครงสร้าง (Structuralism → Post-structuralism)
-
ธเนศเล่าว่า Postmodernism เกิดจากการ แตกหักกับโครงสร้างนิยม (structuralism) ที่เชื่อว่าภาษามีโครงสร้างตายตัว
-
นักคิดอย่าง Derrida, Foucault, Lyotard, Deleuze พากันรื้อว่า ภาษากับสังคมไม่ได้มี “ความหมายตายตัว” แต่ผันแปรตามอำนาจและการตีความ
-
โดยเฉพาะ Derrida กับ Foucault → เป็นสองเสาหลักที่ธเนศหยิบมาใช้บ่อย
🧩 3. Jean-François Lyotard – คำว่า “Postmodern Condition”
-
ธเนศชี้ว่า จุดประกาศอย่างเป็นทางการ ของ Postmodernism มาจาก Lyotard (1979) ที่บอกว่า “postmodern คือการไม่ไว้ใจ grand narratives”
-
ซึ่งธเนศตีความว่า ไม่เชื่อคำอธิบายใหญ่ที่ครอบงำ เช่น ศาสนา วิทยาศาสตร์ อุดมการณ์ทางการเมือง
-
สำหรับสังคมไทย → ก็แปลว่าไม่ควรเชื่อ “เรื่องเล่าแบบไทยแท้” โดยไม่ตั้งคำถาม
🧩 4. Michel Foucault – ประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์
-
ธเนศมักเล่าว่า Foucault สำรวจประวัติศาสตร์โดยไม่เล่าตาม “เรื่องเล่าแบบผู้ชนะ” แต่ไปขุดด้านมืด เช่น การลงทัณฑ์ บ้า คุก โรงพยาบาล
-
ทำให้เห็นว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็น “ความรู้” แท้จริงคือ เครือข่ายอำนาจ
-
ในแง่นี้ ธเนศบอกว่า Postmodernism คือ การเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ในฐานะการต่อสู้ของเรื่องเล่า
🧩 5. Derrida – การรื้อสร้างประวัติศาสตร์ความคิดตะวันตก
-
ธเนศเล่าว่า Derrida พยายามรื้อ “คู่ตรงข้าม” ที่ประวัติศาสตร์ตะวันตกสร้างขึ้น เช่น เหตุผล/อารมณ์, การพูด/การเขียน, ศูนย์กลาง/ชายขอบ
-
ทำให้เห็นว่า สิ่งที่เคยถูกทำให้เป็นรอง ก็มีพลังที่จะกลับมาสั่นคลอนความจริง
-
ในสายตาธเนศ นี่คือ “วิธีอ่านประวัติศาสตร์” แบบไม่ให้ผู้ชนะผูกขาดความหมาย
🧩 6. การเชื่อมกับโลกการเมืองร่วมสมัย
-
ธเนศไม่เล่า Postmodernism แค่ในเชิง “ความคิดตะวันตก” แต่จะโยงเข้ากับ
-
สงครามเย็น → ที่ทำให้ความจริงถูกแบ่งขั้ว
-
โลกาภิวัตน์ → ที่ทำให้ความจริงไม่ถูกผูกกับชาติเดียว
-
สังคมไทย → ที่ยังเต็มไปด้วย “grand narrative” เช่น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
-
📌 สรุป: ธเนศสำรวจประวัติศาสตร์ Postmodernism อย่างไร
-
เริ่มจากวิกฤติของโมเดิร์น (เหตุผล-วิทยาศาสตร์ล้มเหลวในการทำให้โลกดีขึ้น)
-
ผ่านโครงสร้างนิยม → สู่ หลังโครงสร้างนิยม
-
ใช้ Lyotard อธิบายการปฏิเสธ grand narrative
-
ใช้ Foucault อ่านประวัติศาสตร์ในฐานะการเมืองของอำนาจ
-
ใช้ Derrida รื้อคู่ตรงข้ามและความหมายที่มั่นคง
-
เชื่อมโยงกลับมาที่ สังคมไทย ว่าเรายังติดอยู่กับ grand narrative ที่ไม่ถูกตั้งคำถาม
ศ. ธเนศ วงศ์ยานนาวา เข้าใจและใช้แนวคิด โพสต์โมเดิร์น (Postmodernism) อย่างไร ซึ่งต่างจากการอธิบายทั่วไปที่เน้นทฤษฎีเพียว ๆ เพราะธเนศมักดึงมาเชื่อมกับสังคมไทย ประชาธิปไตย วัฒนธรรม และการเมืองโลก
🌀 1. Postmodernism = การ “ไม่ไว้ใจ” ความจริงแบบเบ็ดเสร็จ
-
ธเนศอธิบายว่า โลกยุคโมเดิร์น มักเชื่อใน เหตุผล สติปัญญา ความก้าวหน้า และความจริงสากล (universal truth) → มันผลิตสิ่งที่เรียกว่า grand narrative เช่น วิทยาศาสตร์จะนำพาความเจริญ, เสรีนิยมจะทำให้มนุษย์เสรี
-
แต่ โพสต์โมเดิร์น มาตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ → ไม่มี “ความจริงใหญ่” ที่ไม่อาจถูกท้าทาย
-
ในมุมธเนศ: การมองแบบโพสต์โมเดิร์นช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เราเรียกว่า “ความจริง/ความสุข/ความยุติธรรม/ประชาธิปไตย” ล้วนถูกประกอบสร้างทางสังคม
🌀 2. การรื้อสร้าง (Deconstruction) – รับจาก Derrida
-
ธเนศหยิบแนวคิด deconstruction ของ Jacques Derrida มาบ่อย
-
ใช้อธิบายว่า แนวคิดที่เราคิดว่า “มั่นคง” เช่น ชาติ ศาสนา ความดี ความสุข แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยรอยปริ แตก และความไม่ลงรอย
-
ดังนั้น การใช้โพสต์โมเดิร์นคือ การไม่ยอมรับคำอธิบายใด ๆ ว่าเป็นที่สุด แต่ต้องเปิดให้รื้อและอ่านใหม่เสมอ
🌀 3. อำนาจ–ความรู้ (Power/Knowledge) – รับจาก Foucault
-
ธเนศชอบฟูโกต์มาก และใช้เพื่ออธิบายโลกยุคโพสต์โมเดิร์นว่า อำนาจไม่ได้อยู่แค่รัฐหรือกฎหมาย แต่แทรกซึมในวิถีชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ครอบครัว สื่อ
-
สิ่งที่เราเชื่อว่า “ปกติ” เช่น ความรักแบบชาย–หญิง ครอบครัวนิวเคลียร์ การมีการงานมั่นคง → จริง ๆ แล้วเป็น อำนาจเชิงบรรทัดฐาน (normative power)
-
ในสายตาโพสต์โมเดิร์นแบบธเนศ: เราต้องรู้ตัวว่า “ชีวิตเรา” ถูกประกอบสร้างโดยเครือข่ายอำนาจอย่างไร
🌀 4. ความหมายที่ไม่เสร็จสิ้น (Meaning is never finished)
-
ธเนศอธิบายว่า Postmodernism ปฏิเสธ “คำตอบสุดท้าย” → ความจริง ความสุข ประชาธิปไตย เสรีภาพ ไม่เคยปิดฉาก ไม่เคยเสร็จสิ้น
-
ทั้งหมดต้อง ถูกสร้างซ้ำ (iterability) และเปิดรับการตีความใหม่
-
นี่คือการมองโลกในเชิง “ความไม่เสร็จสิ้น” (unfinished project)
🌀 5. นำมาสู่การวิพากษ์สังคมไทย
-
ธเนศใช้ Postmodernism ไม่ใช่ในเชิงทฤษฎีล้วน ๆ แต่เพื่อชี้ว่า สังคมไทยก็เต็มไปด้วย grand narrative เช่น “ชาติไทยคือสิ่งบริสุทธิ์”, “ความสุขอยู่ที่ความพอเพียง”, “ประชาธิปไตยแบบไทยแท้”
-
ในมุมโพสต์โมเดิร์น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริงสากล แต่เป็น เรื่องเล่าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อค้ำจุนอำนาจ
-
เขาจึงชี้ว่า ถ้าเราเอา Derrida และ Foucault มาใช้ → จะทำให้เห็นว่า “ความจริง” ที่เราเชื่ออยู่นั้น จริง ๆ แล้วเป็นเพียง การเมืองของความหมาย
📌 สรุป: Postmodernism ในมุมของธเนศ
-
ไม่ไว้ใจความจริงใหญ่ (grand narrative)
-
รื้อสร้าง แนวคิดที่ถูกทำให้ดูมั่นคง
-
เห็นว่า อำนาจแทรกซึมในชีวิตประจำวัน
-
ยอมรับว่า ความหมายและความสุขไม่มีวันเสร็จสิ้น
-
ใช้เป็นเครื่องมือวิพากษ์ การเมืองและสังคมไทย ที่มักอ้างความจริงแบบผูกขาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น