วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Peter Singer กับชีวิตที่ดี

 Philosopher Peter Singer: ‘There’s no reason to say humans have more worth  or moral status than animals’

 ผมไปคุยกับ https://www.petersinger.ai/ มาเกี่ยวกับหนังสือ How Are We to Live? Ethics in an Age of Self-Interest ของ Peter Singer พูดถึงความท้าทายของการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรมในยุคที่หลายคนมุ่งเน้นที่ประโยชน์ส่วนตน

  1. การตั้งคำถามถึงชีวิตที่มีความหมาย : Singer ถามว่าชีวิตที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร และเสนอว่าชีวิตที่มีความหมายควรคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
  2. การให้ความสำคัญกับประโยชน์ส่วนรวม : เขาพูดถึงความจำเป็นในการก้าวข้ามความเห็นแก่ตัว และพิจารณาว่าเราสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร
  3. การตัดสินใจทางจริยธรรม : Singer สนับสนุนให้เราตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดความทุกข์ของผู้ที่เดือดร้อน
  4. การใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรมในสังคมปัจจุบัน : เขาเสนอแนวทางในการมีส่วนร่วมในสังคมและการเมือง เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายและการกระทำของเราส่งผลดีต่อส่วนรวม

การนำไปประยุกต์ใช้:

  • การตัดสินใจในการใช้ทรัพยากร : พิจารณาการใช้จ่ายและการบริโภคที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
  • การมีส่วนร่วมในชุมชน : มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ช่วยเหลือผู้อื่นหรือปกป้องสิ่งแวดล้อม
  • การให้การสนับสนุนองค์กรการกุศล : สนับสนุนองค์กรที่มุ่งมั่นในการลดความทุกข์และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ด้อยโอกาส 

ชีวิตที่ดีในมุมมองของ Peter Singer  ควรมีองค์ประกอบเหล่านี้:

  1. การพัฒนาตนเอง : การมีสุขภาพที่ดีและการพัฒนาทักษะหรือความสามารถส่วนบุคคล
  2. ความสัมพันธ์ที่ดี : การมีความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและจริงใจกับผู้อื่น
  3. การทำประโยชน์ต่อผู้อื่น : การใช้ความสามารถของเราเพื่อช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
  4. การมีจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่า : การทำสิ่งที่มีความหมายและสร้างสรรค์ ที่ส่งผลดีต่อโลกและผู้อื่น
  5. ความพึงพอใจในชีวิต : การหาความสุขและความพอใจจากการดำเนินชีวิตที่มีจริยธรรม 

Self-interest หมายถึงการคำนึงถึงผลประโยชน์หรือความต้องการของตนเองเป็นหลัก ซึ่งอาจมีหลายแง่มุม ดังนี้:

  1. การดูแลตนเอง : การใส่ใจสุขภาพและความเป็นอยู่ของตนเอง เช่น การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่ดี
  2. การพัฒนาตนเอง : การเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่สามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในชีวิต
  3. การจัดการทรัพยากรส่วนตัว : การจัดการการเงินและทรัพยากรอื่นๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและความสะดวกสบายในชีวิต
  4. การแสวงหาความสุข : การทำสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขและความพึงพอใจ

วิธีนำไปประยุกต์ใช้:

  • การตั้งเป้าหมายส่วนตัว : ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อพัฒนาตนเองและบรรลุความต้องการส่วนตัว
  • การจัดการเวลา : บริหารเวลาของตนเองเพื่อทำสิ่งที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายส่วนตัว
  • การดูแลสุขภาพ : ใส่ใจสุขภาพกายและใจ เช่น การออกกำลังกายและการทำสมาธิ
  • การสร้างสมดุล : การหาสมดุลระหว่างการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวและการให้ความสำคัญกับผู้อื่น

 That means no privileging yourself. ในบริบทของจริยธรรมและการใช้ชีวิตที่ดี อาจหมายถึง:

  1. การพิจารณาความเท่าเทียม : การให้ความสำคัญกับความต้องการและความสนใจของผู้อื่นเช่นเดียวกับของตนเอง
  2. การตัดสินใจที่เป็นธรรม : การตัดสินใจโดยไม่ยึดติดกับความเห็นแก่ตัว และพิจารณาผลกระทบต่อผู้อื่น
  3. การมีเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ : การใส่ใจและเคารพความรู้สึกและสิทธิของผู้อื่น
  4. การรับผิดชอบต่อสังคม : การมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์แก่สังคมโดยไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก

การนำไปประยุกต์ใช้:

  • การฟังและใส่ใจ : เปิดใจรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้อื่น
  • การแบ่งปันทรัพยากร : แบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
  • การทำงานร่วมกัน : ทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยคำนึงถึงเป้าหมายร่วมกัน
  • การส่งเสริมความเท่าเทียม : สนับสนุนความเสมอภาคในสังคมและต่อต้านการเลือกปฏิบัติ

 ### Peter Singer กับมุมมองเกี่ยวกับ "ชีวิตที่ดี"

Peter Singer เป็นนักปรัชญาด้านจริยธรรม (ethics) ชาวออสเตรเลียที่โด่งดังระดับโลก ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ด้านชีวจริยศาสตร์ (bioethics) ที่มหาวิทยาลัย Princeton เขาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิด utilitarianism (ประโยชน์นิยม) ซึ่งเชื่อว่าการกระทำที่ถูกต้องคือการกระทำที่นำมาซึ่งประโยชน์หรือลดความทุกข์ทรมานสูงสุดให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด Singer มักถูกเรียกว่า "นักปรัชญาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่" โดยผลงานของเขาได้จุดประกายขบวนการ effective altruism (การทำความดีอย่างมีประสิทธิภาพ) และสิทธิสัตว์ (animal rights) สำหรับ Singer "ชีวิตที่ดี" (a good life) ไม่ใช่การแสวงหาความสุขส่วนตัวหรือความสำเร็จทางวัตถุเท่านั้น แต่คือการใช้ชีวิตที่คำนึงถึงผู้อื่น จักรวาลทั้งหมด และการลดความทุกข์ทรมานให้มากที่สุด โดยอาศัยเหตุผล (reason) มากกว่าอารมณ์ (emotion) เพื่อเลือกการกระทำที่มี impact สูงสุด.

ในที่นี้ ผมจะอธิบายโดยละเอียดตามมุมมองของ Singer จากผลงานหลักๆ ของเขา เช่น หนังสือ *How Are We to Live?* (1995), *The Life You Can Save* (2009), และ *The Most Good You Can Do* (2015) รวมถึงบทสัมภาษณ์และการบรรยายต่างๆ โดยแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อความชัดเจน.

### 1. พื้นฐานปรัชญาของ Singer: ท้าทาย "ความเห็นแก่ตัว" และเสนอ "มุมมองของจักรวาล"
Singer เชื่อว่าสังคมสมัยใหม่ โดยเฉพาะทุนนิยม ถูกครอบงำด้วยหลักการ "self-interest" (ความเห็นแก่ตัว) ซึ่งมีรากฐานจากนักปรัชญาอย่าง Thomas Hobbes ที่มองว่ามนุษย์ทุกคนกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แม้แต่การช่วยเหลือผู้อื่นก็อาจเป็นเพียงเพื่อความสุขใจของตัวเอง Singer ท้าทายแนวคิดนี้ โดยชี้ว่ามันนำไปสู่สังคมที่โลภ (greed) และทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ยุค Thatcher-Reagan ที่เน้นทุนนิยมสุดโต่ง ซึ่งคุกคามมนุษยชาติและโลกใบนี้.

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น Singer เสนอว่า "ชีวิตที่ดี" ต้องอยู่บนพื้นฐานของ "universalisability" (หลักการสากล) จากนักปรัชญา R.M. Hare ซึ่งหมายถึงการกระทำที่เรายอมรับได้หากทุกคนทำแบบเดียวกัน และต้องคำนึงถึง "Golden Rule" (กฎทองคำ) ที่พบในหลายศาสนาและปรัชญา เช่น "จงทำต่อผู้อื่นอย่างที่อยากให้เขาทำต่อเรา" (จากพระเยซู, Rabbi Hillel, ขงจื๊อ หรือมหาภารตะ) Singer ขยายหลักนี้ให้กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน แต่รวมถึงศัตรู สัตว์ พืช สิ่งแวดล้อม และคนยากจนทั่วโลก เขาเรียกสิ่งนี้ว่า "การใช้ชีวิตโดยมองจากมุมมองของจักรวาล" (taking the point of view of the universe) ซึ่งหมายถึงการไม่มองแค่ตัวเอง แต่คำนึงถึงความต้องการของผู้อื่นและจักรวาลทั้งหมด เพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างการช่วยเหลือผู้อื่นกับการช่วยเหลือตัวเอง.

ตัวอย่างจากชีวิตจริงที่ Singer ยกคือ ผู้ที่เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือชาวยิวในสมัยนาซี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถทำดีโดยไม่เห็นแก่ตัวได้จริงๆ ทำให้ชีวิตของพวกเขามีความหมายมากขึ้น.

### 2. Thought Experiment ดัง: "เด็กจมน้ำ" และความรับผิดชอบทางศีลธรรม
หนึ่งในเครื่องมือที่ Singer ใช้เพื่ออธิบาย "ชีวิตที่ดี" คือ thought experiment (การทดลองทางความคิด) เรื่อง "เด็กจมน้ำ" (drowning child) จากหนังสือ *The Life You Can Save* ลองนึกภาพ: คุณกำลังเดินผ่านบ่อน้ำและเห็นเด็กเล็กกำลังจมน้ำ คุณสามารถช่วยได้ง่ายๆ โดยลงไปอุ้มขึ้นมา แต่รองเท้าและเสื้อผ้าที่แพงของคุณจะเสียหาย และคุณอาจสายสำหรับงาน Singer ถามว่า คุณควรช่วยไหม? คำตอบของคนส่วนใหญ่คือ "ใช่" เพราะการไม่ช่วยคือสิ่งผิดศีลธรรม แม้จะเสียหายส่วนตัวเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชีวิตเด็ก.

Singer ขยายสิ่งนี้ไปยังโลกจริง: ทุกวันมีเด็กตายจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น โรคภัยจากความยากจน ในประเทศกำลังพัฒนา คนในประเทศร่ำรวยอย่างเรา (แม้รายได้ปานกลาง) มีเงินเหลือที่สามารถบริจาคเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาได้ เช่น ซื้อวัคซีนหรือยาราคาถูกผ่านองค์กรการกุศลที่มีประสิทธิภาพ Singer ชี้ว่าการใช้เงินซื้อของฟุ่มเฟือย (เช่น กาแฟราคาแพงหรือเสื้อผ้าใหม่) แทนที่จะบริจาค คือการเลือกความสุขส่วนตัวเหนือชีวิตเด็ก ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยให้เด็กจมน้ำตาย.

ข้อโต้แย้งทั่วไปที่ Singer ตอบโต้:
- **ระยะทางไม่สำคัญ**: เด็กจมน้ำใกล้ตัวหรือไกลตัว (เช่น ในแอฟริกา) ก็มีคุณค่าชีวิตเท่ากัน ศีลธรรมไม่ขึ้นกับ geography.
- **คนอื่นก็ช่วยได้**: แม้มีคนอื่นที่ช่วยได้ แต่ความรับผิดชอบส่วนตัวยังคงอยู่ ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ เด็กก็ตายอยู่ดี.
- **การกุศลไม่มีประสิทธิภาพ**: Singer แนะนำให้เลือกองค์กรที่พิสูจน์ได้ว่ามี impact สูง เช่น ผ่านเว็บไซต์ https://www.thelifeyoucansave.org ที่เขาก่อตั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเงินบริจาคช่วยชีวิตจริงๆ.

นัยยะสำหรับชีวิตที่ดี: เราต้องขยาย "วงศีลธรรม" (moral circle) ให้กว้างขึ้น รวมถึงคนแปลกหน้าและสัตว์ เพื่อลดความทุกข์ทรมานสูงสุด.

### 3. Effective Altruism: การทำความดีอย่างมีประสิทธิภาพ
จากหนังสือ *The Most Good You Can Do* Singer อธิบายว่า "ชีวิตที่ดี" คือการ "ทำประโยชน์สูงสุดที่ทำได้" (doing the most good you can do) โดยใช้ effective altruism ซึ่งเป็นขบวนการที่เขาเป็นแรงบันดาลใจ หลักการคือ: ใช้เหตุผลและข้อมูลในการเลือกการกระทำที่สร้าง impact สูงสุด ไม่ใช่แค่ตามอารมณ์ เช่น แทนที่จะบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะในเมืองร่ำรวย ให้บริจาคให้องค์กรที่ช่วยคนยากจนหรือสัตว์ในฟาร์มโรงงาน เพราะที่นั่นเงิน 1 ดอลลาร์ช่วยได้มากกว่า.

Singer ยกตัวอย่างคนที่ปรับชีวิตตามแนวนี้ เช่น คนที่เลือกอาชีพเงินเดือนสูงเพื่อบริจาคมากขึ้น หรือคนที่ใช้เวลาเป็นอาสาสมัครในโครงการที่มีข้อมูลยืนยัน impact เขาเชื่อว่าการทำเช่นนี้ไม่ใช่การเสียสละ แต่ทำให้ชีวิต fulfilling (สมบูรณ์) มากขึ้น เพราะเรารู้สึกมี purpose (จุดมุ่งหมาย) ที่ใหญ่กว่าตัวเอง เช่น การช่วยเหลือผู้อื่นนำมาซึ่งความสุขที่ยั่งยืนกว่าการบริโภค.

Singer ยังขยายไปถึงสิทธิสัตว์ จากหนังสือ *Animal Liberation* (1975) เขาเปรียบ "speciesism" (การเหยียดเผ่าพันธุ์สัตว์) กับ racism หรือ sexism โดยชี้ว่าสัตว์ก็รู้สึกทุกข์ได้ ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับความสนใจ (interests) ของพวกมันเท่ากัน เช่น ลดการกินเนื้อสัตว์จากฟาร์มโรงงานที่ทรมานสัตว์ปีละ 74 พันล้านตัว หรือหันไปกิน vegan เพื่อลดความทุกข์และปัญหาสิ่งแวดล้อม.

Effective Altruism (EA) เป็นการเคลื่อนไหวที่เน้นการใช้เหตุผลและหลักฐานในการทำความดีให้ได้มากที่สุด โดยมีหลายวิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้:

  1. การบริจาคอย่างมีประสิทธิภาพ : การเลือกบริจาคให้กับองค์กรที่มีผลกระทบสูงและมีประสิทธิภาพ เช่น องค์กรที่ได้รับการประเมินโดย GiveWell .
  2. การเลือกอาชีพที่มีผลกระทบ : การเลือกทำงานในสายอาชีพที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดี เช่น งานวิจัยหรือการทำงานในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
  3. การสนับสนุนความคิดริเริ่มที่สำคัญ : การเข้าร่วมและสนับสนุนโครงการหรือการเคลื่อนไหวที่มีเป้าหมายในการลดความทุกข์ของมนุษย์หรือสัตว์
  4. การพัฒนาตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น : การเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่สามารถนำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. การสร้างแรงบันดาลใจและเผยแพร่ความรู้ : การแบ่งปันแนวคิดและความรู้เกี่ยวกับ EA ให้กับผู้อื่นเพื่อขยายเครือข่ายของคนที่สนใจและมีส่วนร่วม


### 4. วิธีปฏิบัติเพื่อ "ชีวิตที่ดี" ตาม Singer
Singer ไม่ได้เรียกร้องให้ทุกคนเป็นนักบุญ แต่ให้เริ่มจากสิ่งที่ทำได้ โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้:
- **บริจาคเงินอย่างมีประสิทธิภาพ**: แนะนำให้บริจาค 1-10% ของรายได้สำหรับคนรายได้ปานกลาง หรือมากถึง 33-50% สำหรับคนร่ำรวย โดยไม่ทำให้ชีวิตยากลำบากเกินไป เช่น Singer เองบริจาค 1/3 ถึง 1/2 ของรายได้ เลือกองค์กรอย่าง Against Malaria Foundation หรือ GiveWell ที่ช่วยชีวิตเด็กได้จริง.
- **เลือกอาชีพและกิจกรรมที่สร้าง impact**: ทำงานเพื่อ larger purposes เช่น ใน NGO หรือธุรกิจที่แก้ปัญหาโลก แทนอาชีพที่เน้นเงินอย่างเดียว.
- **ลดการบริโภคไม่จำเป็น**: หลีกเลี่ยงของฟุ่มเฟือย เพื่อนำเงินไปช่วยผู้อื่น และพิจารณาผลกระทบต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น เลือกเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มนุษย์ธรรม หรือหันไป plant-based.
- **ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์**: ประเมินการกระทำด้วยข้อมูล เช่น บริจาคให้ปัญหาที่เร่งด่วนอย่างความยากจนหรือ factory farming แทนปัญหาที่ "น่ารัก" แต่ impact น้อย.
- **สร้างชุมชน**: Singer เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดจากสังคม เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนที่สนับสนุน veganism ทำให้ง่ายขึ้น.
- **พิจารณาปัญหาใหญ่**: เช่น climate change โดยสนับสนุนพลังงานสะอาด หรือ AI risk แต่เน้นปัญหาที่แก้ได้ทันทีมากกว่า.

Singer ยอมรับว่าการเป็น "คนดีจริงๆ" ยาก เพราะชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยการเลือกที่เห็นแก่ตัว แต่การพยายามทำดีแม้เพียงส่วนหนึ่ง (เช่น บริจาค 10%) ก็ทำให้เราดีกว่าคนส่วนใหญ่ และนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง.

### 5. ข้อวิจารณ์และ takeaways
ข้อวิจารณ์: บางคนมองว่าแนวคิดของ Singer extreme เกินไป เพราะไม่คำนึงถึง partiality (ความลำเอียงต่อคนใกล้ตัว) หรือมุมมองจากนักปรัชญายุโรปแผ่นดินใหญ่ เช่น Kierkegaard (ที่แบ่งชีวิตเป็น aesthetic, ethical, religious) หรือ Levinas (ที่เน้น "Other" ที่อ่อนแอ) นอกจากนี้ utilitarianism อาจลดปัญหาชีวิตและความตายให้เป็นแค่การคำนวณ (calculus) ซึ่งขาดมิติทางจิตวิญญาณ.

Takeaways: ตาม Singer ชีวิตที่ดีคือการมีชีวิตที่ "ไม่เห็นแก่ตัว" โดยทำประโยชน์สูงสุด ลดทุกข์ให้ผู้อื่น ซึ่งไม่เพียงทำให้โลกดีขึ้น แต่ยังทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์และ rewarding มากขึ้น หากสนใจลองเริ่มจากอ่านหนังสือของเขา หรือทดลองบริจาคผ่านองค์กรที่เขาแนะนำเพื่อเห็นผลกระทบจริงๆ.

Psych: The Story of the Human Mind

 


 หนังสือของ Paul Bloom ที่ชื่อว่า "Psych: The Story of the Human Mind" เป็นภาพรวมที่ครอบคลุมของจิตวิทยา ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อทำให้วิทยาศาสตร์สาขานี้เข้าถึงได้และน่าสนใจสำหรับผู้อ่านทั่วไป แม้ว่าจะอิงจากหลักสูตรจิตวิทยาเบื้องต้นที่ Bloom เคยสอนที่ Yale และปัจจุบันที่ University of Toronto แต่หนังสือเล่มนี้ถูกออกแบบมาให้อ่านไม่เหมือนตำราเรียน แต่เป็นหนังสือที่กระตุ้นความคิดและทันสมัย

### ภาพรวมของหนังสือ "Psych: The Story of the Human Mind"

Psych: The Story of the Human Mind: Bloom, Paul: 9780063096356: Amazon.com:  Books

หนังสือ "Psych: The Story of the Human Mind" เขียนโดย Paul Bloom เป็นหนังสือแนะนำพื้นฐานด้านจิตวิทยาที่ครอบคลุมวิทยาศาสตร์ของจิตใจมนุษย์อย่างครบถ้วน โดยอธิบายว่ามนุษย์คิด รู้สึก และประพฤติตนอย่างไร หนังสือนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคอร์สเรียน "Introduction to Psychology" ที่ Bloom สอนที่มหาวิทยาลัย Yale ซึ่งเป็นคอร์สยอดนิยมและมีเวอร์ชันออนไลน์ด้วย หนังสือใช้ภาษาที่เข้าถึงง่าย ผสมผสานเรื่องเล่า ตัวอย่างจากชีวิตจริง และผลการศึกษาวิจัย เพื่ออธิบายแนวคิดที่ซับซ้อน ทำให้เหมาะสำหรับผู้อ่านทั่วไปที่สนใจจิตวิทยา คนที่อยากเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ หรือแม้แต่นักจิตวิทยาที่ต้องการทบทวนความรู้พื้นฐาน

**ข้อมูลพื้นฐานของหนังสือ:**
- **ผู้เขียน:** Paul Bloom เป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่ University of Toronto และเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณที่ Yale University เขาเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพัฒนาการ ความเข้าใจทางศีลธรรม และสุนทรียศาสตร์ Bloom มีผลงานตีพิมพ์มากมาย เช่น หนังสือ "Against Empathy", "Just Babies" และ "How Pleasure Works" รวมถึงบทความในวารสารวิชาการอย่าง Nature และ Science และสื่อยอดนิยมอย่าง The New York Times เขาอาศัยอยู่ใน New Haven กับภรรยาและลูกชายสองคน
- **วันที่ตีพิมพ์:** 28 กุมภาพันธ์ 2023 (บางแหล่งระบุ 28 มีนาคม 2023)
- **สำนักพิมพ์:** Ecco (ส่วนหนึ่งของ HarperCollins)
- **จำนวนหน้า:** ประมาณ 445-454 หน้า (ขึ้นกับฉบับ)
- **ISBN:** 978-0-06-309635-6 (ฉบับปกแข็ง)
- **ราคาโดยประมาณ:** $43.34 (ราคาในปี 2023)
- **รูปแบบ:** มีทั้งฉบับพิมพ์ อีบุ๊ก และเสียงอ่าน (audiobook)
- **วัตถุประสงค์ของหนังสือ:** เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจจิตวิทยาสมัยใหม่ที่มองจิตใจมนุษย์ในมุมมองเชิงกลไก (mechanistic) วัตถุนิยม (materialist) วิวัฒนาการ (evolutionary) และเหตุผล (causal) โดยจิตใจเกิดจากสมองที่เป็นสิ่งกายภาพ ถูกหล่อหลอมโดยการคัดเลือกทางธรรมชาติ ยีน วัฒนธรรม และประสบการณ์ส่วนบุคคล หนังสือนี้ท้าทายสมมติฐานทั่วไปเกี่ยวกับอิสระภาพ เสรีภาพ ความเห็นอกเห็นใจ และศีลธรรม.

หนังสือได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวก โดยผู้อ่านหลายคนยกย่องว่ามันเป็นคู่มือที่ครอบคลุมและสนุกสนาน เหมาะสำหรับการแนะนำจิตวิทยา เช่น รีวิวจาก Goodreads ระบุว่า "เป็นคอร์สจิตวิทยา 101 จาก Yale ในรูปแบบหนังสือ" และ "แนะนำสำหรับใครที่อยากเรียนรู้จิตวิทยาอย่างจริงจัง" แต่บางคนบอกว่าถ้าคุณอ่านหนังสือจิตวิทยามาเยอะแล้ว เนื้อหาอาจไม่ใหม่มากนัก.

### โครงสร้างของหนังสือ

หนังสือแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก (sections) เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาจากพื้นฐานไปสู่ประเด็นซับซ้อน โดยแต่ละส่วนครอบคลุมหัวข้อหลักๆ ของจิตวิทยา ดังนี้:

1. **Foundations (พื้นฐาน)**: สำรวจรากฐานของจิตวิทยา รวมถึงแนวคิดคลาสสิกจาก Sigmund Freud (เช่น จิตใต้สำนึกและกลไกป้องกันตัว) และ B.F. Skinner (behaviorism ที่เน้นการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม) รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับจิตใจ เช่น กรณีของ Phineas Gage ที่สมองเสียหายทำให้บุคลิกเปลี่ยนไป และโครงสร้างสมอง (เช่น หน้าที่ของ frontal lobe สำหรับการวางแผน, limbic system สำหรับอารมณ์).

2. **Thinking (การคิด)**: พูดถึงกระบวนการทางปัญญา เช่น การรับรู้ (perception) ที่สมองสร้างขึ้นจากข้อมูลประสาทสัมผัส การให้ความสนใจ (attention) ที่มีขีดจำกัด (เช่น inattentional blindness ที่เรามองข้ามสิ่งสำคัญ) ความจำ (memory) ที่เป็นการสร้างใหม่ไม่ใช่บันทึกจริง (อาจเกิด false memories) และการพัฒนาการทางปัญญาในเด็กตามทฤษฎี Piaget (เช่น ขั้น sensorimotor ที่เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส).

3. **Appetites (ความอยาก)**: สำรวจแรงขับเคลื่อน เช่น อารมณ์ ความหิวโหยทางเพศ และแรงจูงใจ รวมถึงปัญหาทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความต้องการเหล่านี้.

4. **Relations (ความสัมพันธ์)**: เน้นจิตวิทยาสังคม เช่น การปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม การเชื่อฟัง (obedience จากการทดลอง Milgram) การปรับตัวเข้ากลุ่ม (conformity จากการทดลอง Asch) การเหยียดเชื้อชาติ (prejudice และ implicit bias) และกลุ่มพลวัต (group dynamics) เช่น bystander effect ที่คนไม่ช่วยเหลือเพราะคิดว่าคนอื่นจะทำ.

5. **Differences (ความแตกต่าง)**: พูดถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น บุคลิกภาพตาม Big Five (openness, conscientiousness, extraversion, agreeableness, neuroticism) ปัจจัยทางพันธุกรรม vs สิ่งแวดล้อม (เช่น Third Law of Behaviour Genetics ที่ระบุว่าการเลี้ยงดูมีบทบาทน้อยกว่าที่คิด) ความฉลาด (intelligence) และความผิดปกติทางจิต (mental disorders) เช่น ภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล และ schizophrenia โดยมองในมุมต่อเนื่อง (continuum) กับมุมหมวดหมู่ (categorical).

หนังสือมีบทต่างๆ ภายใน sections เหล่านี้ โดยจากสรุปบางแหล่ง เช่น:
- บทเกี่ยวกับ Piaget’s Project (การพัฒนาการในเด็ก)
- The Ape That Speaks (ภาษาและการสื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์)
- The World in Your Head (การรับรู้และความจำที่สร้างโลกในหัวเรา)
- A Brief Note on a Crisis (วิกฤตการทำซ้ำผลวิจัยในจิตวิทยาสังคม)
- Social Butterflies (พฤติกรรมสังคมและอคติ เช่น spotlight effect ที่เราคิดว่าคนอื่นสังเกตเราเยอะ)
- Is Everyone a Little Bit Racist? (อคติโดยนัยยะและการเหยียด)
- Uniquely You (บุคลิกภาพและความแตกต่าง เช่น maximizers vs satisficers)
- Suffering Minds (จิตใจที่ทุกข์ทรมานและความผิดปกติทางจิต).

### รายละเอียดเนื้อหาหลัก (Key Takeaways และแนวคิดสำคัญ)

จากสรุปต่างๆ หนังสือเน้น 10 ประเด็นหลักที่ครอบคลุมจิตวิทยา โดยอธิบายละเอียดดังนี้:

1. **สมองเป็นฐานกายภาพของจิตใจ**: จิตใจไม่ได้มาจากวิญญาณ แต่เกิดจากสมองที่มีเซลล์ประสาทพันล้านเซลล์ สื่อสารผ่านสัญญาณไฟฟ้าและเคมี มีส่วนเฉพาะ เช่น temporal lobe สำหรับความจำ.

2. **จิตสำนึกมีขีดจำกัด**: เรามี unconscious processes ที่ควบคุมพฤติกรรม เช่น implicit bias และ inattentional blindness ที่ทำให้พลาดสิ่งสำคัญ.

3. **แนวคิดของ Freud ยังมีอิทธิพล**: แม้หลายทฤษฎีถูกหักล้าง แต่ unconscious motivations และ defense mechanisms ยังสำคัญในจิตวิทยาสมัยใหม่.

4. **Behaviorism อธิบายพฤติกรรมบางส่วน**: ผ่าน conditioning เช่น Pavlov's dogs แต่ไม่ครอบคลุม internal states หรือภาษา.

5. **การพัฒนาการในเด็กมีรูปแบบคาดเดาได้**: ตาม Piaget แต่สมัยใหม่เน้น cultural factors และพัฒนาการเร็วขึ้น.

6. **ภาษาเป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์**: มีโครงสร้างสากล (syntax, semantics) และเด็กเรียนรู้เร็วผ่าน innate mechanisms.

7. **การรับรู้และความจำสร้างความจริงของเรา**: เป็นกระบวนการ constructive ที่อาจเกิด illusions หรือ biases.

8. **มนุษย์มีเหตุผลแต่มี cognitive biases**: เช่น confirmation bias หรือ anchoring ที่นำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาด.

9. **พลวัตสังคมกำหนดพฤติกรรม**: เช่น conformity, obedience, และ prejudice ที่เกิดจาก group identity.

10. **ความแตกต่างบุคคลวัดได้และมีความหมาย**: ผ่าน Big Five traits ซึ่งคงที่แต่เปลี่ยนแปลงได้ และใช้ในชีวิตจริงเช่น career counseling.

### ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- **จิตวิทยา vs ประสาทวิทยาศาสตร์**: จิตวิทยาอธิบาย "อย่างไร" (how) ในขณะที่ประสาทวิทยาศาสตร์อธิบาย "อะไร" (what) เช่น hard problem of consciousness ที่ยังแก้ไม่ได้.
- **วิกฤตในจิตวิทยา**: เช่น replication crisis ที่ 40% ของการศึกษาจิตวิทยาสังคมทำซ้ำไม่ได้ เนื่องจาก p-hacking และ bias ในตัวอย่าง (WEIRD: Western, Educated, Industrialized, Rich, Democratic).
- **ประเด็นศีลธรรมและสังคม**: หนังสือเชื่อมจิตวิทยากับปัญหาปัจจุบัน เช่น conspiracy theories, empathy ใน politics, และ neurodiversity (มอง autism เป็นรูปแบบ认知ไม่ใช่โรค).

ใน Big Five (ห้าบุคลิกภาพหลัก) เป็นแนวคิดที่ Paul Bloom (พอล บลูม) และนักจิตวิทยาหลายคนกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในทฤษฎีบุคลิกภาพที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด ได้รับการยอมรับมากที่สุด และสามารถทำซ้ำผลการศึกษาได้มากที่สุด โดย Big Five นี้เป็นแนวคิดที่สามารถแบ่งบุคลิกภาพของบุคคลออกเป็น 5 มิติหลัก ๆ ได้แก่

Openness to Experience (การเปิดรับประสบการณ์)
: หมายถึงระดับของการเปิดกว้างต่อประสบการณ์ใหม่ ๆ ความคิดสร้างสรรค์ และความอยากรู้อยากเห็น
Conscientiousness (ความมีมโนธรรม/รอบคอบ)
: หมายถึงระดับของความเป็นระเบียบ ความมีวินัย ความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่น
Extraversion (การเปิดเผย/การแสดงออก)
: หมายถึงระดับของการเป็นคนกระตือรือร้น ชอบเข้าสังคม เปิดเผย และมีพลังงาน
Agreeableness (ความเห็นอกเห็นใจ/น่าคบหา)
: หมายถึงระดับของการเป็นคนเห็นอกเห็นใจ เป็นมิตร ให้ความร่วมมือ และน่าไว้วางใจ
Neuroticism (ความไม่มั่นคงทางอารมณ์) หรือบางครั้งเรียกว่า Emotional Stability (ความมั่นคงทางอารมณ์)
: หมายถึงระดับของความอ่อนไหวทางอารมณ์ มีแนวโน้มที่จะวิตกกังวล หงุดหงิด หรือมีอารมณ์แปรปรวน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Big Five:
ความสอดคล้องและการเปลี่ยนแปลง
: บุคลิกภาพเหล่านี้มีความสอดคล้องกันในวัฒนธรรมต่าง ๆ และตลอดช่วงเวลา โดยทั่วไปบุคลิกภาพของคนเราจะคงที่ค่อนข้างมากเมื่อผ่านพ้นช่วงอายุหนึ่งไปแล้ว แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านที่คนเรามักจะ "ใจเย็นลง" (mellow) เมื่อเข้าสู่วัยชรา แม้ว่าคุณลักษณะบุคลิกภาพจะค่อนข้างคงที่ แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อเวลาผ่านไป และตอบสนองต่อประสบการณ์ชีวิตที่สำคัญ
การประเมินและการประยุกต์ใช้
: แบบทดสอบบุคลิกภาพที่เชื่อถือได้และถูกต้อง เช่น Big Five Inventory สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ การทำความเข้าใจคุณลักษณะเหล่านี้สามารถเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง ช่วยให้บุคคลทบทวนจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้ การประเมินเหล่านี้มีประโยชน์ในหลายด้าน เช่น
:
    ◦ การให้คำปรึกษาและเลือกอาชีพ
    ◦ ความเข้ากันได้ในความสัมพันธ์
    ◦ การวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาทางคลินิก
    ◦ การเติบโตส่วนบุคคลและความเข้าใจในตนเอง
ความแตกต่างทางเพศและวัฒนธรรม
:
    ◦ โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้หญิงมีระดับ Neuroticism, Extraversion, Agreeableness และ Conscientiousness สูงกว่าผู้ชาย
Paul Bloom กล่าวว่าหากนำบุคคลสุ่มมาทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ จะมีอัตราความสำเร็จ 85% ในการประเมินว่าบุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือหญิง
    ◦ ในด้านความแตกต่างทางการเมือง กลุ่มเสรีนิยมมักได้คะแนนสูงกว่าในด้าน Openness (การเปิดรับประสบการณ์) ในขณะที่ กลุ่มอนุรักษ์นิยมมักได้คะแนนสูงกว่าในด้าน Conscientiousness (ความมีมโนธรรม/รอบคอบ) ซึ่ง Paul Bloom ชี้ว่าเป็นคุณสมบัติเชิงบวกทั้งคู่
ความแข็งแกร่งของทฤษฎี
: ทฤษฎีบุคลิกภาพ Big Five ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ และสามารถต้านทาน "วิกฤตการทำซ้ำ" (replication crisis) ที่เกิดขึ้นในสาขาจิตวิทยาได้
โดยรวมแล้ว Big Five เป็นกรอบความคิดที่มีคุณค่าในการทำความเข้าใจความแตกต่างของบุคลิกภาพมนุษย์ และเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาทางจิตวิทยาในหลายด้าน

ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างรายได้กับความสุข Paul Bloom ระบุอย่างชัดเจนว่า รายได้มีความสัมพันธ์กับความสุข โดยกล่าวว่านี่เป็นข้อค้นพบที่ "ค่อนข้างชัดเจน" (quite obvious) และเป็น "ข้อค้นพบที่ได้รับการทำซ้ำอย่างดี" (well replicated finding) เขายังยอมรับด้วยความรู้สึกอับอายเล็กน้อยว่าเคยสอนว่าเงินไม่ได้เชื่อมโยงกับความสุขมากนัก แต่ปัจจุบันเขาเชื่อว่า "แน่นอนว่าเงินทำให้มีความสุข" (of course money makes you happy)

เหตุผลที่เงินนำมาซึ่งความสุข เงินช่วยเพิ่มความสุขของบุคคลได้หลายวิธี:
ปัจจัยพื้นฐาน: เงินสามารถซื้อสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น การดูแลสุขภาพ ความปลอดภัยสำหรับเด็ก หลังคาคุ้มหัว และอาหารที่ดี
อิสรภาพและเวลา: เงินมอบอิสรภาพและเวลา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสุข
ความแตกต่างทางประเทศ: ประเทศที่ร่ำรวยมักมีความสุขมากกว่าประเทศที่ยากจน ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้
จุดที่ผลตอบแทนเริ่มลดลง (Diminishing Returns) แม้ว่าเงินจะนำมาซึ่งความสุข แต่ Bloom เน้นย้ำว่า มีจุดหนึ่งที่ผลตอบแทนจากเงินต่อความสุขจะเริ่มลดลง (diminishing returns)
:
ผลกระทบที่แตกต่างกันตามระดับรายได้: เงินจำนวน $10,000 อาจสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับผู้ที่มีรายได้ $20,000 ต่อปี แต่จะสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่สร้างเลยสำหรับผู้ที่มีรายได้ $150,000 หรือ $2 ล้านต่อปี
การจัดลำดับความสำคัญ: เมื่อถึงระดับรายได้หนึ่ง (เช่น มากกว่า $100,000 ต่อปี) การเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยอาจเป็น "ความผิดพลาด" เพราะผลบวกต่อความสุขจะน้อยมาก เมื่อเทียบกับการใช้เวลากับคนที่รัก ซึ่งจะให้ความสุขมากกว่า
คำแนะนำเชิงปฏิบัติ
ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์: หากเป้าหมายคือความสุข Beyond certain point, บุคคลควร ลดการให้ความสำคัญกับเงิน และหันไปเน้นที่ความสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น
นโยบายทางสังคม: เขายังเสนอว่านโยบายภาครัฐ เช่น การกระจายรายได้ หรือรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า อาจช่วยเพิ่มความสุขของผู้คนได้ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ที่ "ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จริง ๆ"
โดยสรุปแล้ว Paul Bloom ชี้ให้เห็นว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสุข แต่ผลกระทบจะลดลงเมื่อถึงจุดหนึ่ง และในระยะยาว ความสัมพันธ์ทางสังคมอาจมีความสำคัญมากกว่าเงินทองที่หามาได้เพิ่มเติม
ระดับความสุขในแต่ละช่วงวัยไว้ดังนี้ครับ:
Paul Bloom ระบุว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ความสุขมีลักษณะเป็น กราฟรูปตัว U (U-shaped curve) ตลอดช่วงชีวิต
ช่วงวัยหนุ่มสาว (20s, 30s, 40s): ผู้คนมักจะมีความสุขค่อนข้างมากในช่วงวัยนี้
ช่วงวัยกลางคน (ประมาณ 50-52 ปี): ความสุขจะลดลงและถึง จุดต่ำสุดโดยเฉลี่ยของชีวิต สำหรับคนส่วนใหญ่
Bloom อธิบายว่าช่วงกลางทศวรรษที่ 50 นี้เป็น "ช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดในชีวิตของคนส่วนใหญ่" (the saddest part of life for most people)
ช่วงสูงอายุ (70s และ 80s): ความสุขจะเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดย ช่วงอายุ 70 และ 80 ปี มักจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต สำหรับหลาย ๆ คน
โดยความสุขนี้จะดำเนินไป "จนกระทั่งปัญหาสุขภาพร้ายแรงเริ่มเข้ามามีผล"
Bloom ยอมรับว่าผลการค้นพบนี้ค่อนข้างน่าประหลาดใจและ "ไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณจะคาดเดาจากหลักการเบื้องต้น" (not what you would predict on first principles)
สาเหตุที่เป็นไปได้ของกราฟรูปตัว U: มีการตั้งทฤษฎีอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้:
การเปลี่ยนลำดับความสำคัญ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวัยกลางคน พวกเขาอาจหันมาให้ความสำคัญกับ "คุณธรรมที่ควรค่าแก่การจดจำ" (eulogy virtues) เช่น ความสัมพันธ์และการเป็นคนดี มากกว่า "คุณธรรมแห่งความสำเร็จ" (resume virtues) เช่น อาชีพการงานและการหาเงิน
ความเชื่อมโยงทางสังคม ผู้คนจะมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่รักมากขึ้น ความพึงพอใจจากการที่คนรอบข้างมีความสุข และความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความสุขได้อย่างมหาศาล
การหลุดพ้นจากการแข่งขัน เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต บางคนอาจรู้สึกว่าพวกเขา "หลุดพ้นจากวังวนของการแข่งขัน" (out of the game) ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความสุขอย่างรวดเร็ว
การลดความกังวลเรื่องเงินลงก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้เช่นกัน เพราะผลตอบแทนจากเงินที่เพิ่มขึ้นจะมีผลต่อความสุขน้อยลงหลังจากถึงจุดหนึ่ง (เช่น รายได้เกิน $100,000 หรือ $150,000 ต่อปี)
รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างอายุและความสุขแบบรูปตัว U นี้พบได้ไม่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในวัฒนธรรมอื่น ๆ อีกด้วย
ผลกระทบอย่างรุนแรงของความเหงาต่อความสุขและคุณภาพชีวิต ดังนี้ครับ
ผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพ: Paul Bloom ระบุว่า ความเหวามีผลกระทบต่อสุขภาพพอ ๆ กับโรคอ้วนและการสูบบุหรี่
ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดประมาณการว่าความเหงาทำอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ (soul) มากกว่าภาวะโรคอ้วนและการสูบบุหรี่
เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวและสร้างความเสียหาย: Bloom กล่าวอย่างชัดเจนว่า "ความเหงาเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว" (loneliness is horrible) และมี "ผลกระทบที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อจิตใจและร่างกายของคุณ" (Savage effects on your mind and your body)
ความสำคัญของการเชื่อมโยงทางสังคม:
    ◦ การเชื่อมโยงทางสังคม (social connectedness) และความผูกพันกับผู้อื่น (social bond) เป็นกุญแจสำคัญต่อความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมของเรา
    ◦ Paul Bloom เน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์ทางสังคม (social relationships) ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือผู้คนที่คุณรัก และความรู้สึกได้รับการเคารพ รวมถึงการมีผู้คนคบหาสมาคมด้วย มีบทบาทที่ทรงพลังอย่างยิ่งต่อความสุขของคุณ
    ◦ แม้ว่าบางคนอาจมีความสุขกับการอยู่ตามลำพังและเพลิดเพลินกับความสันโดษ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ความเชื่อมโยงทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
    ◦ การลงทุนในความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดจะให้ผลตอบแทนที่ดี
ความสำคัญเหนือกว่าเงินทองในบางจุด: เมื่อถึงจุดหนึ่งของรายได้ (เช่น มากกว่า $100,000 ต่อปี) การลดความสำคัญเรื่องเงินและมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์จะทำให้มีความสุขมากขึ้น
การใช้เวลากับลูก ๆ แฟน หรือเพื่อนฝูงมีความสำคัญมากกว่าการหาเงินเพิ่มอีกเล็กน้อย เพราะมันจะเพิ่มความสุขของคุณได้มากกว่า
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าเงินจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีความสุข แต่ Paul Bloom และงานวิจัยต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า ความเหงาเป็นพิษต่อร่างกายและจิตใจอย่างมาก และการมีปฏิสัมพันธ์และความผูกพันทางสังคมที่แข็งแกร่งต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ความเชื่อมโยงทางสังคม (Social Connectedness):
    ◦ ความสัมพันธ์ (Relationships): Bloom เน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่คุณรัก เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อความสุขโดยรวมและความพึงพอใจในชีวิต
    ◦ ความเหงา (Loneliness): มีผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพพอ ๆ กับโรคอ้วนและการสูบบุหรี่
และเป็นสิ่งที่ "น่าสะพรึงกลัวและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อจิตใจและร่างกาย" การลงทุนในความสัมพันธ์ที่สำคัญจะให้ผลตอบแทนที่ดี
    ◦ การเปลี่ยนลำดับความสำคัญ: เมื่ออายุมากขึ้น คนเราอาจเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับ "คุณธรรมที่ควรค่าแก่การจดจำ" (eulogy virtues) เช่น ความสัมพันธ์และการเป็นคนดี มากกว่า "คุณธรรมแห่งความสำเร็จ" (resume virtues) เช่น อาชีพการงานและการหาเงิน
การเป็นคนดีและมีศีลธรรม (Morality):
    ◦ ชีวิตที่ดีไม่ใช่เพียงแค่ความสุข แต่ยังรวมถึงการเป็นคนที่มีคุณธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เห็นแก่ตัว
ชีวิตที่มั่งคั่งทางจิตใจ (Psychologically Rich Life):
    ◦ มีการเสนอแนวคิด "ชีวิตที่มั่งคั่งทางจิตใจ" ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีความสุขสูงสุดหรือมีความหมายสูงสุด แต่เน้นการเปิดรับประสบการณ์ที่หลากหลาย การสำรวจ และความหลากหลายทางอารมณ์
โดยสรุปแล้ว ชีวิตที่ดีในมุมมองของ Paul Bloom นั้นซับซ้อนและไม่ได้มีคำตอบเดียว แต่รวมเอาความสุข ความหมาย การเชื่อมโยงทางสังคม และศีลธรรมเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นทั้งผู้แสวงหาความสุขและผู้ที่เต็มใจเผชิญความท้าทายเพื่อเป้าหมายที่สูงส่งกว่า
แรงจูงใจที่หลากหลาย (Motivational Pluralism)
    ◦ ชีวิตไม่ได้มีแค่ความสุขเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ความหมาย จุดมุ่งหมาย และศีลธรรม
    ◦ การพยายามมุ่งหาความสุขโดยตรงบางครั้งอาจทำให้ความสุขลดลง การมุ่งเน้นสิ่งอื่น ๆ อาจนำมาซึ่งความสุขเป็นผลพลอยได้
    ◦ ความทุกข์ที่เลือก (chosen suffering) อาจเป็นแหล่งของความสุข หรือเป็นส่วนจำเป็นในการบรรลุความหมายและจุดมุ่งหมาย
    ◦ "ชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ทางจิตวิทยา" (psychologically rich life) เน้นการสำรวจและความหลากหลายของประสบการณ์และความรู้สึก
บุคลิกภาพและการเลือก
    ◦ แม้ว่ายีนและสิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ แต่แต่ละบุคคลก็สามารถ เลือกที่จะปรับปรุงชีวิตของตนเองได้
    ◦ การเลือกที่จะออกกำลังกายมากขึ้น การเข้าสังคม หรือการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ (การบำบัด/ยา) สามารถส่งผลต่อความสุขและบุคลิกภาพได้
    ◦ การหาเพื่อน คนรัก ครอบครัว และงานที่ เข้ากับอุปนิสัยธรรมชาติของตนเอง เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการพยายามต่อสู้กับบุคลิกภาพหลักของตนเองอย่างต่อเนื่อง
    ◦ การมองโลกในแง่ดีเกินไป (over-optimism) สามารถเป็นกลยุทธ์ชีวิตที่เป็นประโยชน์ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสูง
การจัดการอคติ (Biases)
    ◦ มนุษย์มีอคติโดยธรรมชาติ และมักประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปและตัดสินผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรม
    ◦ การตระหนักถึงอคติและการพยายามอย่างมีสติเพื่อความเป็นกลางสามารถนำไปสู่การตัดสินที่ยุติธรรมมากขึ้นและการปฏิสัมพันธ์ที่มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
    ◦ "อคติเข้าข้างฝ่ายตนเอง" (my-side bias) หรือ "แนวคิดแบบทหาร" (soldier mindset) หมายความว่าผู้คนมักจะแสวงหาข้อมูลที่ยืนยันมุมมองที่มีอยู่ของตนเอง
การทราบเรื่องนี้สามารถช่วยในการรับมุมมองที่แตกต่างกันได้
    ◦ "ผลกระทบจากจุดสนใจ" (spotlight effect) เตือนเราว่าผู้คนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดพลาดของเรามากเท่าที่เราคิด
เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน:
สร้างและบำรุงรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง
ตระหนักถึงอคติของคุณ
และพยายามเอาชนะมันเพื่อการตัดสินที่เป็นธรรมและการปฏิสัมพันธ์ที่มีความเห็นอกเห็นใจ
ใช้เครื่องมือทางจิตวิทยา เช่น การฝึกความกตัญญู หรือการจัดการอารมณ์ เพื่อปรับปรุงสุขภาพจิตและความสัมพันธ์
หากคุณมีรายได้มากพอ ลดการให้ความสำคัญกับเงิน หลังจากถึงจุดหนึ่ง และให้ความสำคัญกับเวลาที่อยู่กับคนที่คุณรัก
ปรับเปลี่ยน "อาหารอินเทอร์เน็ต" ของคุณ เพื่อให้ได้รับมุมมองที่หลากหลายและชาญฉลาด
คำแนะนำที่ลึกซึ้งอย่างหนึ่งคือ "แกล้งทำจนกว่าจะสำเร็จ" (fake it until you make it) สำหรับการพัฒนาอุปนิสัยและคุณธรรมที่ดีขึ้น


เนื้อหาสำคัญที่หนังสือเล่มนี้ครอบคลุม ได้แก่:
สมองและจิตใจ (The Brain and Mind)
    ◦ ทวิภาคีนิยมกับวัตถุนิยม (Dualism vs. Materialism): หนังสือเริ่มต้นด้วยการสำรวจแนวคิดเรื่องทวิภาคีนิยม ซึ่งเชื่อว่าจิตใจและร่างกายเป็นสิ่งที่แยกจากกัน และแนวคิดวัตถุนิยม ซึ่ง Bloom สนับสนุน โดยกล่าวว่า จิตใจเป็นผลผลิตของสมองทางกายภาพ
    ◦ ปัญหาที่ยากของจิตสำนึก (The "Hard Problem" of Consciousness): Bloom พูดถึง David Chalmers ที่บัญญัติคำว่า "ปัญหาที่ยาก" ของจิตสำนึก ซึ่งหมายถึงความลึกลับที่ว่าสมองทางกายภาพก่อให้เกิดประสบการณ์ทางอัตวิสัยได้อย่างไร เช่น ความรู้สึกของการกินวาซาบิมากเกินไป
    ◦ ปัญญาในเครื่องจักร (Intelligence in Physical Machines): เขากล่าวว่าเราได้แก้ไขปัญหาที่ว่าสิ่งทางกายภาพสามารถฉลาดได้หรือไม่ ด้วยการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์และ AI อย่าง ChatGPT
ฟรอยด์และจิตใต้สำนึก (Freud and the Unconscious)
    ◦ มรดกของฟรอยด์: Bloom อุทิศบทหนึ่งให้กับ Sigmund Freud โดยเน้นย้ำถึง ความสำคัญของแนวคิดเรื่องจิตใต้สำนึกแบบพลวัต
แม้ว่าทฤษฎีเฉพาะหลายอย่างของฟรอยด์จะถูกหักล้างไปแล้วหรือพิสูจน์ไม่ได้ แต่ความเชื่อที่ว่าเราถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยที่เราไม่รู้ตัวนั้นยังคงได้รับการยอมรับในจิตวิทยาสมัยใหม่
พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ของ Skinner
    ◦ การวิพากษ์วิจารณ์แต่ก็ยอมรับ: Bloom วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของ B.F. Skinner ที่ปฏิเสธการพูดถึงสภาวะภายในจิตใจ เช่น อารมณ์ ความจำ หรือความฝัน
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าพฤติกรรมนิยมได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าบางอย่าง เช่น แนวคิดเรื่องการเสริมแรงเป็นระยะ (intermittent reinforcement) ซึ่งอธิบายพฤติกรรมเสพติดบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น การเลื่อนดูโซเชียลมีเดีย
พัฒนาการทางปัญญาของเด็ก (Children's Cognitive Development)
    ◦ ความเข้าใจของทารก: หนังสือกล่าวถึง Jean Piaget ว่ามีบทบาทสำคัญในพัฒนาการทางปัญญาของเด็ก
งานวิจัยสมัยใหม่แสดงให้เห็นว่า ทารกมีความเข้าใจที่ซับซ้อนเกี่ยวกับโลกทางกายภาพและสังคมตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดที่ว่าจิตใจของเด็กเป็น "กระดานชนวนว่างเปล่า" (blank slates)
บุคลิกภาพและความแตกต่างระหว่างบุคคล (Personality and Individual Differences)
    ◦ บุคลิกภาพหลักและอิทธิพล: Bloom กล่าวถึงเรื่องบุคลิกภาพและคำถามที่ว่าเรามีบุคลิกภาพหลักหรือไม่
เขาสนับสนุนแนวคิดที่ว่าปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ โดยอ้างอิงถึง Big Five personality traits ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความคงทน
วิกฤตการจำลองซ้ำ (Replication Crisis)
    ◦ ความจริงจังและการแก้ไข: หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง วิกฤตการจำลองซ้ำในสาขาวิชาจิตวิทยา อย่างจริงจัง
Bloom ยอมรับว่าการค้นพบสำคัญบางอย่างในอดีตล้มเหลวในการจำลองซ้ำ แต่เขายังชี้ให้เห็นถึงความพยายามที่กำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงความถูกต้องของวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยา เช่น การลงทะเบียนสมมติฐานล่วงหน้า (pre-registration) และการใช้ขนาดตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น
จิตวิทยาทางศีลธรรม (Moral Psychology)
    ◦ วิวัฒนาการและความเห็นอกเห็นใจ: Bloom สำรวจวิวัฒนาการของศีลธรรม
และแนวคิดเรื่องความรังเกียจ (disgust) รวมถึงมุมมองของเขาเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ (empathy) โดยเขามีหนังสือชื่อ "Against Empathy" ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าความเห็นอกเห็นใจอาจเป็นแนวทางทางศีลธรรมที่ไม่ดีในบางสถานการณ์
ความมีเหตุผลและอคติทางปัญญา (Rationality and Cognitive Biases)
    ◦ ความเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์: Bloom แย้งว่า มนุษย์มีความสามารถในการใช้เหตุผลได้อย่างยอดเยี่ยม ในการบรรลุเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม เขายังคงสำรวจและอธิบายอคติทางปัญญาที่หลากหลาย เช่น อคติเข้าข้างฝ่ายตนเอง (my-side bias), อคติการยืนยัน (confirmation bias), ปรากฏการณ์สปอตไลท์ (spotlight effect), การละเลยอัตราพื้นฐาน (base rate neglect), และ ความผิดพลาดจากการลงทุนจม (sunk cost fallacy) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มักจะออกนอกเส้นทางของเหตุผลอย่างไร
ความจำและการรับรู้ (Memory and Perception)
    ◦ ความไม่น่าเชื่อถือของความจำ: การค้นพบที่สำคัญประการหนึ่งในจิตวิทยาคือ ความจำของเราไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก และถูกสร้างขึ้นใหม่และบิดเบือนได้ง่าย
หนังสือยังกล่าวถึงการทดลองเกี่ยวกับการปลูกฝังความจำผิดๆ และความไม่น่าเชื่อถือของพยานบุคคล
ชีวิตที่ดีและความสุข (The Good Life and Happiness)
    ◦ ปัจจัยขับเคลื่อนความสุข: Bloom สำรวจว่าอะไรทำให้ชีวิตดีและมีความสุข
เขาชี้ให้เห็นว่า เงิน (จนถึงจุดหนึ่ง) และ ความสัมพันธ์ทางสังคม มีผลอย่างมากต่อความสุข นอกจากนี้ การค้นพบที่น่าประหลาดใจคือ ความสุขมีรูปแบบเป็นรูปตัว U ตามอายุ โดยคนส่วนใหญ่มีความสุขมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นหลัง 50 ปี
อนาคตของจิตวิทยาและปัญญาประดิษฐ์ (Future of Psychology and AI)
    ◦ การผสานรวมและ AI: Bloom มองว่าจิตวิทยากำลังผสมผสานเข้ากับสาขาอื่นๆ เช่น เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา วิทยาการคอมพิวเตอร์ และพันธุศาสตร์

เขายังกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับ AI ที่อาจมีจิตสำนึก และผลกระทบที่อาจมีต่อสังคมและการบำบัดทางจิต

Paul Bloom ได้อธิบายถึงอนาคตของจิตวิทยาและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไว้หลายแง่มุม โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของ AI และความท้าทายที่จิตวิทยาเผชิญอยู่

อนาคตของจิตวิทยาและปัญญาประดิษฐ์ (AI)
1. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Paul Bloom แสดงความ ประหลาดใจอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมืออย่าง ChatGPT เขากล่าวว่าเมื่อสองปีที่แล้ว เขาคงคิดว่าเทคโนโลยีเช่นนี้จะเกิดขึ้นในอีก 50 ปีข้างหน้า แต่ตอนนี้พวกมันมีอยู่แล้ว และพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก
ความสัมพันธ์กับจิตสำนึก (Consciousness) และ "ปัญหายาก" (Hard Problem):
    ◦ Bloom อธิบายว่า "จิตวิทยาไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือจิตสำนึก หรือเกิดขึ้นได้อย่างไร"
อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยารู้ว่าสมองซึ่งเป็นสิ่งทางกายภาพ ทำให้เกิดความคิดและจิตสำนึก
    ◦ "ปัญหายาก" ของจิตสำนึก (Hard Problem of Consciousness) คือคำถามที่ว่า กิจกรรมทางกายภาพของสมองแปลไปเป็นประสบการณ์เชิงอัตวิสัยได้อย่างไร
    ◦ Bloom กล่าวว่าในอดีตเราเคยคิดว่าเครื่องจักรทางกายภาพไม่สามารถฉลาดได้ แต่ตอนนี้เรามีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเล่นหมากรุกหรือสนทนาได้แล้ว
    ◦ คำถามที่แท้จริงคือ เครื่องจักรทางกายภาพจะมีความรู้สึก (sentient) หรือมีจิตสำนึกได้หรือไม่
เขายอมรับว่า "ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร"
    ◦ กรณีของ Blake Lemoine วิศวกรของ Google ที่ยืนยันว่า AI มีจิตสำนึกและตกเป็นทาส เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักถึงประเด็นนี้มากขึ้น
Bloom คาดการณ์ว่าเมื่อ AI ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนจะโต้ตอบกับมันมากขึ้น และอาจสรุปได้ว่ามันมีความรู้สึก ซึ่งจะนำไปสู่คำถามที่จริงจังเกี่ยวกับสิทธิของ AI
    ◦ เขาตั้งคำถามว่า หาก AI สามารถมีความรู้สึกได้ จะมีความแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างความรู้สึกที่เกิดจากเนื้อเยื่อสมองกับชิลิคอน
เขายังชี้ให้เห็นว่า หาก AI สามารถพัฒนา "ทฤษฎีจิตใจ" (theory of mind) ได้ (เช่น เข้าใจแรงจูงใจของผู้อื่น) นั่นอาจเป็นสัญญาณสำคัญ
ผลกระทบต่อจิตวิทยา:
    ◦ AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิชาจิตวิทยาในหลาย ๆ ด้าน
    ◦ การศึกษาจิตวิทยา: AI สามารถนำมาใช้ในการทดสอบสัญชาตญาณของมนุษย์ เปรียบเทียบกับสิ่งที่เครื่องจักรเรียนรู้ทางสถิติ
    ◦ ด้านการบำบัด: LLM (Large Language Models) มีประสิทธิภาพในการบำบัดในระยะสั้น โดยผู้คนมักให้คะแนน AI ว่ามีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจมากกว่ามนุษย์
Bloom คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ การบำบัดด้วย AI จะเป็นรูปแบบส่วนใหญ่ แทนการบำบัดด้วยมนุษย์ เนื่องจาก AI ฟรีและเข้าถึงได้ง่ายกว่า
    ◦ อาชีพ: Bloom แสดงความกังวลว่า AI อาจทำให้เขาและนักเขียนคนอื่น ๆ ตกงาน หาก AI สามารถเขียนบทความได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ามนุษย์
ข้อพิจารณาทางจริยธรรมและสังคม:
    ◦ Bloom เน้นว่าหาก AI มีจิตสำนึกจริง สิทธิของพวกมันจะมีความสำคัญเท่าเทียมกับสิทธิของมนุษย์
    ◦ เขาถามว่าหาก AI ฉลาดกว่าเราในทุก ๆ ด้าน ความสัมพันธ์ของเรากับ AI จะเหมือนกับความสัมพันธ์ของเรากับเด็กวัย 3 ขวบหรือไม่
ความกังวลและข้อเสนอ:
    ◦ Bloom มีความเห็นใจต่อแนวคิดที่จะ ระงับการวิจัย AI ชั่วคราว เนื่องจากมีภัยคุกคามมหาศาลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์
เขากล่าวว่าแม้โอกาสที่จะเกิดความเสียหายจะน้อยเพียง 5% ก็ถือว่าเป็น "อัตราที่สูงเกินไปจนยอมรับไม่ได้"
    ◦ เขายังตั้งข้อสังเกตว่า LLM ในปัจจุบันยัง ไม่เชื่อมโยงกับโลกทางกายภาพ ไม่มีมอเตอร์ควบคุม หรือการรับรู้โลกจริง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มันแตกต่างจากจิตสำนึกของมนุษย์
2. อนาคตของจิตวิทยา (Future of Psychology) Paul Bloom มีมุมมองในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของจิตวิทยา
แนวโน้มทั่วไป:
    ◦ การศึกษาที่มีคุณภาพดีขึ้น: มีการศึกษาที่ "ทำได้ดีมาก" มากขึ้นเรื่อย ๆ
    ◦ งานวิจัยขนาดใหญ่: มีการศึกษาแบบข้ามวัฒนธรรมขนาดใหญ่ การศึกษาพฤติกรรมทางพันธุกรรมขนาดใหญ่ และการสร้างแบบจำลองเชิงคำนวณขนาดใหญ่
    ◦ การรวมแนวคิดเชิงวิวัฒนาการ: แนวคิดเชิงวิวัฒนาการจะถูกนำมาใช้ในจิตวิทยามากขึ้น
    ◦ การผสานรวมกับสาขาอื่น: จิตวิทยากำลังรวมเข้ากับสาขาอื่น ๆ อย่างมาก เช่น เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา วิทยาการคอมพิวเตอร์ และพันธุศาสตร์
ความท้าทาย:
    ◦ วิกฤตการจำลองซ้ำ (Replication Crisis): การค้นพบหลัก ๆ ในอดีตหลายอย่างไม่สามารถจำลองซ้ำได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยในบางสาขา
    ◦ ตัวอย่างที่แคบ: งานวิจัยจิตวิทยาส่วนใหญ่เน้นไปที่กลุ่มประชากรที่แคบ โดยเฉพาะนักศึกษาระดับปริญญาตรีชาวอเมริกัน (WEIRD populations: Western, Educated, Industrialized, Rich, Democratic) ซึ่งทำให้ผลการศึกษาอาจไม่สามารถสรุปเป็นสากลได้
    ◦ อคติทางการเมือง: Bloom ยอมรับว่าสาขาจิตวิทยามีอคติทางการเมืองและเศรษฐกิจ
สาขาที่ต้องการการพัฒนา:
    ◦ จิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology): Bloom กล่าวว่าจิตวิทยาคลินิก "ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร"
โดยมีการพัฒนาที่สำคัญเพียงเล็กน้อยในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ทั้งยาและจิตบำบัดยังไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    ◦ ศักยภาพของการปฏิวัติ: เขามองเห็นศักยภาพของการปฏิวัติในจิตวิทยาคลินิกผ่าน ยาประสาทหลอน (psychedelics) การกระตุ้นสมอง และแนวคิดใหม่ ๆ
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าการฝึกสติ (mindfulness meditation) แม้จะมีประโยชน์บ้าง แต่ก็ยังไม่ถือเป็นการปฏิวัติ
    ◦ ความเข้าใจเรื่องจิตสำนึก: ยังเป็น "ปัญหายาก" ที่ต้องแก้ไข
การมองโลกในแง่ดี:
    ◦ แม้จะมีความท้าทาย แต่ Bloom ก็ยังมองว่าจิตวิทยากำลังดีขึ้น
เขากล่าวว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้จิตวิทยาต้องพัฒนาและปรับปรุงวิธีการวิจัย
    ◦ เขายังคงเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และพลังของมนุษย์ในการทำความเข้าใจตัวเองและโลก


โดยรวมแล้ว หนังสือ "Psych: The Story of the Human Mind" เป็นการเดินทางที่น่าสนใจผ่านจิตวิทยา โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่กระตุ้นความคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ อารมณ์ และกระบวนการทางจิตใจ โดยมีภาษาที่เข้าถึงได้และอารมณ์ขัน