Why do some people radiate confidence, while others don’t? เหตุใดคนบางคนจึงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในขณะที่คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น?
What makes someone charismatic and capable of captivating a room, even virtually? อะไรที่ทำให้ใครสักคนมีเสน่ห์และสามารถดึงดูดทุกคนได้ แม้จะอยู่ในโลกเสมือนจริง?
เราอาจจะเติบโตมาโดยกลัวการเข้าสังคมและการตัดสินจากผู้อื่น
เราไม่รู้ว่าเรากำลังส่งและรับสัญญาณหลายพันครั้งทุกวันทั้งที่เป็นคำพูดและไม่ได้เป็นคำพูดหรือภาษา เสียง สัญญาณต่างๆ
Cues noun, plural the powerful verbal, nonverbal, and vocal signals humans send to one another.
แล้วสัญญาณที่ดีที่สุดที่ควรส่งออกไปคืออะไร?
ผู้คนมักจะตอบสนองในเชิงบวกมากที่สุดเมื่อได้รับสัญญาณเสน่ห์
นี่ไม่ใช่สัญญาณเสน่ห์แบบตบหลัง สัญญาณเสน่ห์มีสูตรตรงไปตรงมาดังนี้:
หากต้องการสื่อสารแนวคิดของคุณอย่างทรงอิทธิพล คุณต้องเรียนรู้วิธีส่งเสน่ห์ที่เหมาะสมด้วย แสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นและความสามารถที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวเพื่อแสดงถึงความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ แล้วคุณจะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
Cues: Master the Secret Language of Charismatic Communication
Decoding and Encoding Human Cues
ความเข้าใจสัญญาณที่ซ่อนอยู่ (Decoding Cues)
- สัญญาณต่างๆ ช่วยให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมด และเมื่อคุณอ่านสัญญาณได้ คุณจะเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ เข้าใจมากขึ้น และทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น
- สมองของเราถูกสร้างมาให้มองหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในสัญญาณต่างๆ อยู่แล้ว
- แม้ว่าสมองของเราจะเก่งในการรับสัญญาณที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ แต่พลังพิเศษนี้มักถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์
- การเรียนรู้การถอดรหัสสัญญาณ (decoding) จะเป็นการตั้งชื่อให้กับความรู้สึกเชิงสัญชาตญาณของคุณ
- การถอดรหัสคือวิธีที่เราอ่านและตีความสัญญาณทางสังคมจากผู้อื่น
- สัญญาณทางสังคมช่วยให้เราเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับบุคคลนั้น ทั้งเจตนาที่มีต่อเรา ความน่าเชื่อถือ ความสามารถ และแม้แต่บุคลิกภาพของพวกเขา
- การถอดรหัสสัญญาณมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการอ่านอารมณ์ได้อย่างแม่นยำ การทำนายพฤติกรรม และการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน
- เมื่อคุณมีความเชี่ยวชาญในการถอดรหัสสัญญาณมากขึ้น คุณจะสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผู้คนพูดว่าพวกเขารู้สึกกับสิ่งที่พวกเขารู้สึกจริงๆ ได้
- ในแหล่งข้อมูลหนึ่ง ยกตัวอย่างภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo da Vinci ซึ่งซ่อนสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดไว้ เช่น ท่าทางของพระหัตถ์ (เปิดฝ่ามือขึ้นแสดงความเปิดเผยและความไว้วางใจ; เปิดฝ่ามือลงแสดงอำนาจและความสามารถ) ท่าทางโดยรวมที่ขยายพื้นที่ (expansion cue) แสดงความสำคัญและความมั่นใจ และการเอียงศีรษะ (head tilt) แสดงความสนใจ ตรงข้ามกับยูดาสที่ใช้ท่าทางหดตัว (contraction cue) แสดงความไม่มั่นใจ ท่าทางป้องกัน (blocking cue) แสดงความปกป้อง การมองไปข้างหลังแสดงการตีตัวออกห่าง และการกำหมัดแสดงการซ่อนเร้นหรือความโกรธ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของการซ่อนและตีความสัญญาณ
การใช้สัญญาณที่ซ่อนอยู่เพื่อเพิ่มอิทธิพล (Encoding Cues to Increase Influence)
- การติดเชื้อทางอารมณ์ (Emotional Contagion) เกิดขึ้นเมื่ออารมณ์และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องของคนคนหนึ่งกระตุ้นอารมณ์และพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันในผู้อื่นโดยตรง
- เมื่อสมองของคุณระบุอารมณ์ในผู้อื่น สมองของคุณเองจะเตรียมพร้อมที่จะรู้สึกแบบเดียวกัน สัญญาณของคุณไม่เพียงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคุณเอง แต่ยังมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้อื่นด้วย นี่คือเหตุผลที่เราสามารถ "ติด" อารมณ์ที่ไม่ดีได้
- จากการทดลองหนึ่ง พบว่านักแสดงที่ได้รับมอบหมายให้แสดงอารมณ์ต่างๆ (เช่น ร่าเริง กระตือรือร้น; สงบ อบอุ่น; หงุดหงิด ไม่เป็นมิตร; เฉื่อยชา ซึมเศร้า) สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของคณะกรรมการทั้งหมดได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อนักแสดงแสดงอารมณ์ที่เป็นบวก กลุ่มจะเข้ากันได้ดีขึ้น มีความขัดแย้งน้อยลง ให้ความร่วมมือมากขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น และแบ่งปันส่วนแบ่งอย่างยุติธรรมกว่ากลุ่มที่เป็นลบ อารมณ์ของคนคนหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้อื่นและการทำงานร่วมกันและการตัดสินใจของกลุ่มทั้งหมดได้
- การใช้สัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดของคนอื่นสามารถเปลี่ยนระดับฮอร์โมน การทำงานของหัวใจและหลอดเลือด และแม้แต่การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของเราได้
- การเรียนรู้สัญญาณต่างๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อเชิงลบ เมื่อเราสามารถตั้งชื่อสัญญาณเชิงลบได้ มันจะช่วยลดผลกระทบของมันลง
- การเรียนรู้สัญญาณจะช่วยให้คุณสังเกตเห็นและหยุดสัญญาณเชิงลบที่ถูกส่งมาถึงคุณ และช่วยให้คุณควบคุมสัญญาณที่คุณส่งให้ผู้อื่นได้มากขึ้น
- สัญญาณของคุณสามารถช่วยให้คุณมีอิทธิพลในทางที่ดีและเป็นผู้ที่แพร่กระจายสิ่งดีๆ ได้
- ผู้นำสามารถเรียนรู้ที่จะแพร่กระจายความรู้สึกที่มีประสิทธิผลไปยังผู้อื่นได้
- เมื่อคุณแสดงความอบอุ่น ผู้คนมักจะแสดงความอบอุ่นตอบกับคุณ
- เมื่อคุณแสดงความสามารถ ความมั่นใจที่สงบ ผู้อื่นมักจะปฏิบัติตาม
- สัญญาณที่มีเสน่ห์ของคุณสามารถพลิกสัญญาณเชิงลบของผู้อื่นได้ เราเพียงแค่ต้องสร้างแบบอย่างสัญญาณที่เราต้องการสร้างแรงบันดาลใจในผู้อื่น
- การเข้ารหัส (encoding) คือวิธีที่เราส่งสัญญาณทางสังคม เราส่งสัญญาณบางอย่างโดยตั้งใจ (เช่น ท่ายืนที่ดีเพื่อแสดงความมั่นใจ ยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร) แต่หลายสัญญาณของเราก็เป็นไปโดยบังเอิญ
- การเข้ารหัสอย่างมีเป้าหมายทำให้คุณควบคุมได้ว่าผู้อื่นรับรู้คุณอย่างไร นี่ช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้น สร้างความประทับใจแรกพบที่แข็งแกร่งขึ้น และสร้างการปรากฏตัวที่น่าจดจำมากขึ้น
- นอกจากนี้ คุณยังจะหลีกเลี่ยงการส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกับเป้าหมายความสัมพันธ์ของคุณ
- พนักงานที่ได้รับสัญญาณเชิงบวกจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานจะรู้สึกมีส่วนร่วม มีความผูกพัน และภักดีมากขึ้น จึงกลายเป็นผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อพนักงานได้รับสัญญาณเชิงลบ พวกเขาจะรู้สึกถูกกีดกัน ถูกลดคุณค่า และไม่ได้รับความซาบซึ้ง ซึ่งทำให้พวกเขามีประสิทธิผลน้อยลงและนำไปสู่ขวัญกำลังใจที่ต่ำลง
- สัญญาณกระตุ้นวงจรทั้งเชิงบวกและเชิงลบสำหรับคุณและผู้อื่น
- การพยายาม "ปิดเสียง" สัญญาณ (go mute) โดยการอยู่นิ่งๆ หรือใช้ใบหน้าที่ว่างเปล่าและน้ำเสียงที่เป็นกลางนั้นเป็นไปได้ยากและส่งสัญญาณว่าคุณน่าเบื่อ ลืมง่าย และเย็นชา ซึ่งทำให้คุณอยู่ใน Danger Zone
- เป้าหมายคือการปรับสัญญาณของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางอาชีพและความสัมพันธ์ของเรา
วงจรสัญญาณ (The Cue Cycle)
- เราถอดรหัสสัญญาณ (อ่านสัญญาณ) สัญญาณเหล่านั้นถูกนำมาประมวลผลภายใน (internalized) ซึ่งมีอิทธิพลต่อสภาพอารมณ์ภายในของเรา และสภาพร่างกายของเราก็เปลี่ยนไปเพื่อปรับตัวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป
- การประมวลผลภายในยังส่งผลต่อสัญญาณที่เราจะเข้ารหัส (ส่งสัญญาณตอบสนอง) ต่อไป
- กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่าง สัญญาณเหล่านั้นถูกประมวลผลภายใน และจากนั้นร่างกายของเราก็เปลี่ยนไปเพื่อปรับตัว เราถอดรหัสสัญญาณ ประมวลผลความหมายภายใน และจากนั้นเข้ารหัสการตอบสนอง
โลกของการสื่อสารแบบไม่ใช้คำพูด (nonverbal cues) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการถอดรหัส (decoding) และการเข้ารหัส (encoding) สัญญาณเหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจผู้อื่น สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และแม้กระทั่งจัดการกับสภาวะทางอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น ผู้เขียนใช้ภาพวาด "The Last Supper" ของ Leonardo da Vinci เป็นตัวอย่างในการสาธิตวิธีการใช้สัญญาณเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและเจาะลึกตัวละคร

สัญญาณสำคัญและการตีความ (ตัวอย่างจาก "The Last Supper"):
- ฝ่ามือหงายขึ้น (Palm up):
- เป็นสัญญาณของ ความเปิดกว้างและความไว้วางใจ (openness and trust)
- เป็นสัญญาณ ความอบอุ่นสูง (high warmth cue) เหมาะสำหรับส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการเปิดเผย
- ผู้เขียนใช้ฝ่ามือหงายขึ้นในการนำเสนอส่วนถาม-ตอบเพื่อเชิญชวนให้มีคำถาม ("When I get to the question-and-answer part of my presentations, I always use the palm up gesture to invite questions.")
- ฝ่ามือคว่ำลง (Palm down):
- เป็นสัญญาณของ อำนาจและการครอบงำ (power and dominance)
- เป็นสัญญาณ ความสามารถสูง (high competence cue) เหมาะสำหรับการให้คำสั่งหรือคำแนะนำในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการคำถามหรือข้อเสนอแนะ
- มักใช้โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ
- ท่าทางที่ขยายตัว (Expansive pose):
- เป็นสัญญาณของ ความมั่นใจและความสำคัญ (confidence and importance)
- เป็นสัญญาณ ความสามารถ (competence cue) ยิ่งคนๆ หนึ่งใช้พื้นที่มากเท่าใด ก็ยิ่งดูมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
- พระคริสต์ถูกวาดให้มีท่าทางที่ขยายตัวมากที่สุดเพื่อสื่อถึงความสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ("Christ is depicted in the most expansive pose of any figure in the painting. It appropriately signals his outsize importance in relation to the others at the table. And it’s another competence cue.")
- การเอียงศีรษะ (Head tilt):
- เป็นสัญญาณ การมีส่วนร่วมและความสนใจ (engagement)
- เป็นสัญญาณ ความอบอุ่น (warmth signal) เป็นการแสดงออกถึงการพยายามรับฟังผู้อื่น
- พระคริสต์ถูกวาดให้มีท่าทางที่ขยายตัวควบคู่ไปกับการเอียงศีรษะ แสดงถึงความสมดุลระหว่างความสามารถและความอบอุ่น ("Da Vinci balanced this expansive competence cue with the ultimate warmth signal—a head tilt. A head tilt is a universal sign of engagement.")
- ท่าทางที่หดตัว (Contraction cue):
- เป็นสัญญาณของ ความมั่นใจต่ำ (low confidence)
- ตรงข้ามกับการขยายตัว ผู้ที่หดตัวเข้าหาตัวและใช้พื้นที่น้อยที่สุดจะสื่อถึงความมั่นใจที่ลดลง
- ยูดาสถูกวาดให้มีท่าทางที่หดตัวมากที่สุดเพื่อบ่งบอกถึงความผิดของเขา ("People who contract their body and take up as little space as possible signal low confidence. Who has the most contracted pose? Judas, of course. The apostle who betrays Christ.")
- การปิดกั้น (Blocking cue):
- เป็นการป้องกันร่างกายโดยการวางสิ่งกีดขวางระหว่างตนเองกับผู้อื่น เช่น การกอดอก การถือสิ่งของไว้ข้างหน้า
- เป็นสัญญาณว่ามีสิ่งซ่อนอยู่หรือรู้สึกผิด
- ยูดาสถูกวาดให้มีแขนอยู่ข้างหน้าลำตัว แสดงถึงการปิดกั้นซึ่งสื่อถึงความผิดของเขา ("Judas is also showing a blocking cue: he has his arm in front of his torso. Blocking protects our body by putting something between us and another person.")
- การเว้นระยะห่าง (Distancing cue):
- เป็นการพยายามหลีกหนีจากบางสิ่งหรือบางคน
- อาจเป็นการหันหน้าหนี ถอยหลัง หรือมองออกไปเมื่อเผชิญหน้ากับความผิด
- ยูดาสถูกวาดให้มองไปข้างหลังซึ่งเป็นสัญญาณการเว้นระยะห่างที่สื่อถึงการทรยศและความละอาย ("Judas is depicted looking behind him... Liars often jerk their head back, scoot backward, or look away when confronted with their guilt.")
- การกำหมัด (Clenching a fist):
- อาจเป็นได้ทั้งสัญญาณ ความมุ่งมั่น (determination) หรือ การซ่อนบางสิ่งบางอย่างและความโกรธ (concealment and anger)
- การกำหมัดของยูดาสสื่อถึงการซ่อนบางสิ่งและการโจมตีพระคริสต์ ("Judas has one more illustrative cue. He is clenching his right fist. Not only does this conceal one of his palms from us—which makes him look more closed off—but it also signals that he is hiding something.")
พลังอำนาจในการอ่านสัญญาณ (Your Secret Superpower):
- ความรู้สึก "สัญชาตญาณ" หรือ "ความรู้สึกในลำไส้" มักมาจากสมองที่ตรวจจับสัญญาณจาก "Danger Zone" ของ Charisma Scale ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษที่ซ่อนอยู่ของเรา ("You’ve certainly experienced these sensations before. They often come to us in the form of “intuition” or “gut feelings.” But what’s really happening is that your brain probably saw a cue from the Danger Zone of the Charisma Scale it didn’t like. This ability, this spidey sense, is our secret superpower.")
- สมองของเรามีเครื่องมือทางระบบประสาทโดยเฉพาะสำหรับการจัดการสัญญาณทางสังคม แม้ว่าเรามักจะไม่ได้ใช้ความสามารถนี้อย่างเต็มที่
- วัฒนธรรมให้ความสำคัญกับการสื่อสารด้วยภาษา ทำให้ทักษะการถอดรหัสสัญญาณของเราอาจลดลง
สัญญาณของคุณสามารถแพร่กระจายได้ (Your Cues Are Contagious):
- การติดเชื้อทางอารมณ์ (Emotional Contagion): เมื่ออารมณ์และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องของบุคคลหนึ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์และพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันในผู้อื่นโดยตรง ("When one person’s emotions and related behaviors directly trigger similar emotions and behaviors in others.")
- เราสามารถ "รับ" อารมณ์ของผู้อื่นได้ เช่น ความตื่นเต้น ความเศร้า หรือความวิตกกังวล
- งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าท่าทางจำลองของนักแสดงเพียงคนเดียวสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของคณะกรรมการทั้งคณะได้ ("Through projecting a simulated disposition, the one actor was able to completely change the decisions of the entire committee.")
- เรามักไม่รู้ตัวถึงพลังอำนาจของเราที่จะส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
- การเรียนรู้การอ่านสัญญาณเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายเชิงลบ โดยการ การติดป้าย (Labeling) สัญญาณเชิงลบจะทำให้ศูนย์ความกลัวในสมอง (amygdala) หยุดทำงานและลดผลกระทบของสัญญาณเหล่านั้น
- ผู้นำสามารถเรียนรู้ที่จะกระจายความรู้สึกที่เป็นประโยชน์ไปยังผู้อื่นได้ โดยการแสดงออกถึงความอบอุ่น ความสามารถ และความสงบอย่างมั่นใจ
วงจรของสัญญาณ (The Cue Cycle):
- การถอดรหัส (Decoding): วิธีที่เราอ่านและตีความสัญญาณทางสังคมจากผู้อื่น ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจความตั้งใจ ความน่าเชื่อถือ ความสามารถ และบุคลิกภาพของผู้อื่น ("Decoding is howwe read and interpret social signals from others.")
- การเข้ารหัส (Encoding): วิธีที่เราส่งสัญญาณทางสังคม ซึ่งอาจทำโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ การเข้ารหัสอย่างมีจุดมุ่งหมายช่วยให้เราควบคุมการรับรู้ของผู้อื่นที่มีต่อเราได้ ("Encoding is howwe send social cues. We send some cues purposefully... But many of our cues are accidental.")
- การทำให้เป็นภายใน (Internalizing): วิธีที่สัญญาณมีอิทธิพลต่อสภาวะทางอารมณ์ภายในของเรา ซึ่งส่งผลต่อการเข้ารหัสสัญญาณที่เราจะส่งออกไปในภายหลัง
- เราถอดรหัสสัญญาณ ทำให้ความหมายของสัญญาณเป็นภายใน และจากนั้นก็เข้ารหัสการตอบสนอง
ไม่มีปุ่มปิดเสียง (There’s No Mute Button):
- การพยายาม "ปิดเสียง" สัญญาณเพื่อซ่อนอารมณ์ หรือการแสดงออกที่ว่างเปล่าและโทนเสียงที่ไร้อารมณ์ จริงๆ แล้วเป็นสัญญาณในตัวเอง และทำให้เราดูน่าเบื่อ จำไม่ได้ และเย็นชา
- เป้าหมายคือการปรับสัญญาณของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางอาชีพและความสัมพันธ์
ความท้าทายของบท (Chapter Challenge):
- วิธีที่ดีที่สุดในการประเมินสัญญาณที่เราเข้ารหัสคือการบันทึกวิดีโอของตัวเองในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติ เช่น การประชุมหรือวิดีโอคอล เพื่อศึกษาว่าเราใช้สัญญาณใดโดยธรรมชาติ ("Want to know how you are really coming across to others? The only way to accurately assess the cues you are encoding is to watch yourself on video...")
เอกสารนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสำคัญของการสื่อสารแบบไม่ใช้คำพูด โดยอธิบายว่าสัญญาณทำงานอย่างไร วิธีการตีความสัญญาณต่างๆ และวิธีที่สัญญาณเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเราเองและผู้อื่น เน้นย้ำถึงพลังของการติดเชื้อทางอารมณ์และวงจรของการถอดรหัส การทำให้เป็นภายใน และการเข้ารหัสสัญญาณ ซึ่งทั้งหมดนี้มีอิทธิพลต่อความสำเร็จและความสัมพันธ์ของเราในชีวิตประจำวัน
Balance warmth and competence cues to be charismatic.
โดยสรุป การเพิ่มอิทธิพลผ่านสัญญาณที่ซ่อนอยู่มาจากความสามารถในการ ถอดรหัส (เข้าใจผู้อื่น) และ เข้ารหัส (ควบคุมสัญญาณที่เราส่งออก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้การติดเชื้อทางอารมณ์ในเชิงบวก และการปรับสัญญาณของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเราครับ การฝึกฝนด้วยการบันทึกวิดีโอตัวเองเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณประเมินสัญญาณที่คุณส่งออกไปได้อย่างถูกต้อง
ฟังเพิ่มเติม https://notebooklm.google.com/notebook/9a561268-29c7-425f-b469-da5932a78f87/audio
Vanessa Van Edwards' theory of cues emphasizes that people's nonverbal and verbal signals (like body language, vocal tone, and words) influence how others perceive us. These cues, according to Edwards, work through a cycle of perception, absorption, and conveying. By understanding these cues, you can improve your communication, build stronger relationships, and project charisma.
- Perceiving:When someone receives a cue (e.g., a frown, a raised eyebrow, a specific word choice), they begin to interpret its meaning.
- Absorbing:The perceived cue becomes part of their understanding of the situation, and they may have an emotional reaction.
- Conveying:The individual then responds to the cue, often unknowingly, through their own cues, either automatically or thoughtfully.
- Competence: Cues related to competence, like a confident posture and using precise language, project authority and power.
- Nonverbal cues:ภาษากาย ท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และการวางท่าBody language, gestures, and facial expressions account for a large percentage of communication. โดยทั่วไปแล้ว การแสดงออกที่ไม่ใช่คำพูดจะคิดเป็นร้อยละ 65 - 90 ของการสื่อสารทั้งหมด หากต้องการแสดงเสน่ห์ ให้สังเกตภาษากาย ท่าทาง และใส่ใจการดูแลตัวเอง นอกจากนี้ คุณยังต้องควบคุมท่าทางบนใบหน้าอย่างชาญฉลาดด้วย Nonverbal typically accounts for 65 - 90 percent of total communication. To project charisma, watch your body language, your gestures, and pay attention to your grooming. You also have to control your facial gestures astutely.
- Vocal cues:วิธีที่เราพูด รวมถึงระดับเสียง จังหวะ การเน้นเสียง และสำเนียงThe tone, pitch, and rhythm of your voice can convey charisma and confidence. คนที่มีเสน่ห์มักจะฟังดูมีพลัง หากต้องการส่งการแสดงออกทางเสียง คุณต้องใช้น้ำเสียงที่น่าดึงดูด สร้างความไว้วางใจด้วยการแสดงออกทางเสียงที่มีเสน่ห์ Charismatic people sound powerful. To use your voice to send charisma cues, have vocal likability. Build trust with your vocal charisma.
- Verbal cues: การเลือกใช้คำThe words you choose and how you use them can impact how people perceive you.เพื่อให้อีเมล โปรไฟล์ และเอกสารอื่นๆ ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ใส่คำพูดที่สื่อถึงผู้อ่านให้มากเข้าไว้ สื่อสารด้วยคำพูดที่ดึงดูดใจและแสดงถึงความอบอุ่นและความสามารถ To make your emails, profiles, and other written materials more impactful, inject lots of charisma cues into what you write. Be verbally engaging, and project warmth and competency.
- Imagery cues:สิ่งของประกอบฉากหลัง รูปภาพในโปรไฟล์ ตัวอักษรที่ใช้ สีเสื้อผ้า หรือสิ่งที่เราถือYour appearance, environment, and other visual elements also send cues. เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ สภาพแวดล้อมในสำนักงานของคุณ แม้แต่โต๊ะทำงานที่คุณใช้ และสีที่คุณสวมใส่ ล้วนสื่อถึงภาพลักษณ์ของคุณ ไม่ว่าคุณต้องการหรือไม่ก็ตาม ให้แน่ใจว่าภาพลักษณ์ของคุณนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้ผู้คนสนใจและให้ความสนใจ The clothes you wear, your office environment, and even the desk you use and the colors you wear send cues, whether you want them to or not. Make sure your image oozes charisma. Make people sit up and notice.
- Learn to identify cues:By understanding the subtle signals people send, you can better interpret their intentions and adjust your communication accordingly.
- Be aware of your own cues:Pay attention to how you communicate nonverbally and verbally to ensure you are conveying the right message.
- Respond appropriately:Once you have perceived and absorbed a cue, you can respond thoughtfully to build stronger connections and improve communication.
No matter who you are or what you've achieved, balancing warmth and competence is key to your success. If you can't showcase your warmth, people won't believe in your competence.ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรือประสบความสำเร็จอะไรมาบ้าง การสร้างสมดุลระหว่างความอบอุ่นและความสามารถถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของคุณ หากคุณไม่สามารถแสดงความอบอุ่นของคุณออกมาได้ ผู้คนก็จะไม่เชื่อในความสามารถของคุณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น