วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บทสัมภาษณ์ ประภาส ชลศรานนท์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก”(ฉบับเต็ม)

บทสัมภาษณ์ ประภาส ชลศรานนท์ ในฐานะโปรดิวเซอร์ “สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก”(ฉบับเต็ม)

โดย Prapas Cholsaranon ณ วันที่ 9 มกราคม 2011 เวลา 19:40 น.


Q ครั้งแรกที่พี่ประภาสได้ยินโปรเจกต์นี้จากผู้กำกับ ความรักรู้สึกถึงการนำเสนอเรื่องราวมุมมองความรักของหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

ตอนแรกศินกับเพชรเขามาเล่าว่าอยากทำหนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่ง พล็อตประมาณว่าเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงที่แอบชอบรุ่นพี่ แล้วก็พยายามทำตัวให้สวยขึ้นจนผิดหูผิดตา บอกตรงๆฟังครั้งแรกผมเฉยๆ พล็อตแบบนางเอกตอนแรกไม่สวยแล้วตอนหลังสวยนี่ หนังฮ่องกงหนังฝรั่งทำมาก็หลายเรื่องแล้ว

แต่พอเขาเล่ารายละเอียดไปถึงตอนจบที่จะมีการหักมุม ผมก็เริ่มชอบ มันทำให้ผมนึกถึงทฤษฎีเกี่ยวกับความรักบางอย่างที่ผมเคยตั้งไว้เล่นๆสมัยหนุ่มๆ

Q ทฤษฎีอะไร

คนที่มาชอบเรา เขาจะดูน่าสนใจขึ้นในสายตาเรา ก่อนชอบกับหลังชอบนี่ เขาจะดูน่าสนใจต่างกันเลย เคยรู้สึกกันไหม อันนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเราต้องรักตอบนะ แต่เขาจะดูดีขึ้นเอง เพราะจะว่าไปใครหล่อไม่หล่อใครจะสวยใครจะน่ารักหรืออะไรนี่มันล้วนเป็นความรู้สึกส่วนตัวทั้งนั้น

พอผมนึกอย่างนี้ผมก็ได้คำตอบที่ผมค้างๆตอนที่เขาเล่าพล็อตหนังให้ฟัง ความสวยหรือจะเรียกว่าความดูดีของคนมันเพิ่มพูนได้เพราะความชอบอีกฝ่ายหนึ่งมากๆ แล้วเราก็คุยกันต่อ ผู้กำกับเสนอบ้าง ผมเสนอบ้าง ว่านอกจากนางเอกจะดูดีขึ้นในแง่ความงามแล้ว เธอเก่งขึ้นด้วยดีไหม เรียนเก่งขึ้นทำกิจกรรมเก่งขึ้น เพื่อนผมมีออกแยะไป เล่นกีฬาโชว์สาว ตอนแรกก็แค่จะโชว์ ตอนหลังนี่ติดทีมโรงเรียนติดทีมเขตไปนู่น

Q แล้วทำไมถึงรับโปรดิวส์หนังเรื่องนี้

นอกเหนือจากเป็นหนังที่เวิร์คพอยท์สร้างร่วมกับสหมงคลแล้ว มีอีกสามเหตุผล เหตุผลที่หนึ่งเหตุผลใหญ่สุด ผมชอบแนวคิดของหนังเรื่องนี้ แนวคิดเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ผมเชื่อมั่นพลังของแรงบันดาลใจนะ ผมเติบโตมาทำงานทำการอย่างนี้ก็เพราะแรงบันดาลใจที่ผมได้รับมา แล้วผมก็ชอบผลิตงานที่ถ้าเป็นไปได้ผมก็ชอบจะแทรกเรื่องพวกนี้ไว้

เหตุผลที่สอง ศินกับเพชรนี่เป็นน้องที่สนิทพอสมควร ผมร่วมงานกับเขาตั้งแต่เขาเริ่มเข้าวงการ เห็นเขาสองคนทำงานตั้งแต่ยังหนุ่ม ศินนี่เป็นคนเจ้าของไอเดียให้พงษ์พัฒน์ใส่โอเวอร์โค้ทขี่มอเตอร์ไซด์ฮาร์เลย์จนกลายเป็นแคแรกเตอร์ของพงษ์พัฒน์ทุกวันนี้ ต้องให้เครดิตเขา เขาเป็นคนทำเอ็มวีเพลงแรกของพงษ์พัฒน์ แล้วสร้างภาพนี้ขึ้นมา ส่วนเพชรนี่ ผมชวนมาทำพลิกล็อคเพชร เป็นพิธีกรสนาม เขาเป็นคนคล่องมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเป็นคนเข้าใจการแสดงมากคนหนึ่ง เป็นคนที่เป็นผู้กำกับได้ ผมยุให้เขากำกับหนังกำกับละครมาเป็นสิบปีแล้ว เพิ่งจะมาทำ

เหตุผลสุดท้าย ผมแค่คิดเล่นๆว่า ช่วงเวลาที่ทำหนังเรื่องนี้มันจะทำให้ผมกลับไปมีอายุ 15 อีกครั้งหนึ่ง แค่คิดก็สนุกแล้ว

งานโปรดิวส์หนังหรือเพลงมันเป็นงานมองภาพรวม แล้วก็ช่วยตัดสินใจบางอย่างที่ผู้กำกับไม่ยอมตัดสินใจ หรือตัดสินไม่ได้เพราะมันติดพันอะไรเต็มไปหมด อันที่จริงผมแค่บอกน้องๆว่ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแค่นั้น แต่เขาก็มาขอให้มาช่วยโปรดิวส์ คงจะด้วยสนิทกันพูดจาตรงๆกันได้ แล้วผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ในช่วงทำงาน เวลาไม่เห็นด้วยผมก็บอกไม่เห็นด้วย แต่ผมไม่ก้าวก่ายเลย ผมไม่ไปกองถ่ายเลยนะ

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากอ่านบทร่างแรกก็คือ ผมขอให้เขาทำบทร่างที่สองที่สามที่สี่ จะทำถึงร่างสิบก็ต้องทำ บทร่างแรกที่เขียนมาซึ่งเขาบอกว่าไปจ้างทีมเขียนซิทคอมทีมหนึ่งเขียน ผมอ่านแล้วรู้สึกว่านางเอกเป็นเด็กแก่แดดเกินไป ออกไปทางแร่ดหน่อยๆด้วยซ้ำ ไม่น่ารักเลย พล็อตที่เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงแอบรักผู้ชายถ้าเขียนไม่ดีก็จะเป็นอย่างที่ผมว่า คือนางเอกไม่น่ารัก หนังเรื่องนี้ผู้หญิงเป็นตัวเอก เป็นตัวเล่าเรื่อง ความรู้สึกของผู้หญิงมันละเอียดกว่าผู้ชาย ทีมเขียนบทเรื่องนี้ต้องมีผู้หญิงด้วยผมบังคับเลย

ผมเลยแนะนำให้ศินกับเพชร เจอกับบอลลูน คนเขียนบทที่เวิร์คพอยท์ บอลลูนใส่ความเป็นผู้หญิงลงไปให้มีมิติขึ้น แล้วมีทีมเขียนบทของเวิร์คพอยท์มาแจมด้วยในการประชุม

หลังจากผ่านไปสี่ห้าร่าง ศินกับเพชรก็ไปตบไปแต่งต่อเป็นร่างที่หกเจ็ดแปด จนถึงยี่สิบ บทร่างสุดท้ายนี่ต้องให้ผู้กำกับตบ เพราะหนังต้องเป็นสิ่งที่ผู้กำกับจะเล่า

Q หลังจากเสร็จสิ้นในส่วนของการถ่ายทำจนออกมาเป็นหนังฉบับเต็ม ความรู้สึกแรกหลังจากที่พี่ประภาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงเป็นอย่างไร

นอกจากรู้สึกทึ่งกับเด็กๆที่แสดงแล้ว ก็แอบรู้สึกทึ่งกับงานของผู้กำกับ เป็นความจริงที่ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าหนังเรื่องนี้มีจุดพร่องหลายจุดทีเดียว แล้วก็เป็นจุดพร่องที่คนดูหลายคนก็มองเห็นและรู้สึก แต่ที่ผมว่าผมทึ่งงานของผู้กำกับสองคนนี้ก็คือ ผมว่าเขาทำหนังเรื่องนี้ให้มีรายละเอียดเยอะดี แต่ปัญหาคือหนังยิ่งละเอียดหนังก็ยิ่งยาวมาก ยาวจนผมต้องถูกตามตัวเข้าห้องตัดต่อเพื่อไปถกกัน

Q แอบทราบมาว่าในช่วงของการทำดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ พี่ประภาสเป็นคนลงไปคลุกอยู่นานกว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ซึ่งหลายๆ ฉากในหนังเรื่องนี้เข้าไปกระทบใจคนดูก็มาจากบทเพลงที่เหมาะเจาะมากๆ อยากรู้ถึงกระบวนการเลือกเพลงของพี่ประภาส

หนังรักนี่เพลงสำคัญมากนะ เพลงมันมากับความรักนี่ มีคนถามผมในช่วงจะวางเพลงด้วยว่า ผมจะใช้เพลงของตัวเองไหม ผมส่ายหน้าเลย ผมแต่งเพลงรักน้อยมาก และที่แต่งไปก็เพลงที่ดูอลังการไปสำหรับความรักแรกพบ ที่สำคัญเราคุยกันว่าเราจะเอาตัวเพลงเป็นใหญ่โดยไม่สนใจค่าย ถ้าเพลงไหนมันเหมาะกับตรงไหนของหนัง เราก็จะติดต่อซื้อสิทธิ์ ถ้าตรงไหนไม่มีเพลงไหนในตลาดใส่ได้อย่างเหมาะเจาะ เราก็จะแต่งมันขึ้นมาใหม่

เพลงสักวันหนึ่งของบอยด์นี่ ผู้กำกับเขาเลือกเพลงนี้ตั้งแต่ตอนถ่ายแล้วมั้ง มีคนทักว่าเพลงนี้เคยถูกใช้ในละครมาแล้ว ไม่รู้สิผมว่านะต่อให้ถูกใช้ในหนังติดๆกันสามสี่เรื่อง แต่ถ้ามันอธิบายความรู้สึกของฉากนั้นได้อย่างมีพลัง ผมว่าผมก็เลือก แล้วเพลงของบอยด์นี่ต้องบอกว่ามันโรแมนติกจริงๆ ยุคนี้คงหาใครเทียบเขายากในทางนี้ เพลงนี้มันมาตอนที่สำคัญที่สุด เป็นความรู้สึกของตัวเอกที่ไม่เคยเปิดเผย ทีแรกเราออกแบบให้ผู้ชายร้องใหม่ ที่จริงอัดเสียงไปแล้วด้วย แต่ผมแล้วมันตรงตัวเกินไป ผู้ชายร้องแทนผู้ชาย ผมรู้สึกว่าโมเม้นต์มันลึกซึ้งกว่านั้น มันเป็นเรื่องของทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผมเลยตัดสินใจใช้ของต้นฉบับเลย ผู้กำกับเคยเสนอให้ร้องทั้งหญิงทั้งชาย แต่ผมว่ามันอลังการไป

ส่วนเพลงอื่นๆที่ต้องแต่งขึ้นใหม่ก็เพราะ ในหนังมันต้องการเล่าอะไรด้วยเวลาสั้นๆและได้อารมณ์ โชคดีที่จักรพัฒน์ เอี่ยมหนุน คนออกแบบดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ ทำงานกับผมมาไม่รู้กี่งานจนเข้าขา เลยได้แต่งเพลงกันหน้าจอเลย แบบเปิดหนังไปแต่งเพลงไป

Q มีฉากหนึ่งในหนังเรื่องนี้ที่ตัวละครโชนกับน้ำนั่งอยู่ตรงสะพานแขวนและมีเรื่องเล่าของปลาหมึก ที่ทราบจากผู้กำกับมาว่าเรื่องนี้นำมาจากพี่ประภาสเอง อยากรู้ถึงที่มา และพี่ประภาสเคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังบ้างหรือเปล่า

เราคุยกันเรื่องคาแรคเตอร์ของตัวละครโชน ผมกับผู้กำกับเห็นตรงกันว่า เขาไม่ใช่คนแบบโรแมนติกเรี่ยราด เขาค่อนข้างเก็บความรู้สึก แล้วผมก็ยกตัวอย่างให้ศินกับบอลลูนฟังว่า ถ้าโชนจะจีบสาวเขาจะเป็นพวกเล่าเรื่องอ้อมค้อมแต่มีมุมที่น่ารักให้ผู้หญิงฟัง ผมยกตัวอย่างโดยการเล่าเรื่องปลาหมึกเรื่องนี้แหละให้ทีมเขียนบทฟัง พวกเขาคงจะชอบก็เลยเอาไปใส่ในบทเลย ก็คงเหมือนที่ผมเล่าว่าผมเคยจะต้องเดินทางไปกับผอ.เพื่อไปรับรางวัลอะไรสักอย่าง แล้วผอ.ให้ผมถอดเสื้อให้อาจาร์ยฝ่ายปกครองรีดให้ เพราะผมไปเตะบอลมาเสื้อยับมาก ศินกับเพชรก็จับเอาไปเรื่องนี้ใส่ไว้ในหนังเสียเลย

การได้ไปดูหนังเรื่องนี้ คนอื่นเขาอาจจะรู้สึกว่าตรงนี้เหมือนเรา ตรงนั้นเราเคยทำ ผมก็พูดได้เต็มปากว่าตรงนั้นก็เหมือนผม ผมเคยนั่งถอดเสื้อหน้าห้องอาจารย์ กอดอกอายสาวๆเหมือนท่าที่มาริโอทำเลย

Q อยากให้พูดถึงการแสดงที่เป็นตัวแทนความรักของสาวน้อย ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนกที่เล่นดีจนโดนใจคอหนังทั่วบ้างทั่วเมือง

ตอนที่เขาแคสติ้งหาตัวนางเอก ซึ่งเป็นตัวแสดงตัวแรกที่เราหา ศินกับเพชรเขาจะถ่ายรูปน้องใบเฟิร์นมาให้ดูแบบสวยและไม่สวย ตอนที่ศินเอามาให้ดูนั้น ท่าทางเขาดูตื่นเต้นมากที่จะนำเสนอ เพราะตัวละครตัวนี้สำคัญมาก หนังจะไปทางยังไงก็นางเอกคนนี้ ผมเห็นรูปทีแรกผมก็ตื่นเต้นนะ แต่เก็บอาการไว้ เพราะศินเขาตื่นเต้นไปแล้ว ผมจำได้ว่าผมมองดูรูปใบเฟิร์นที่แต่งแบบมอมๆอย่างเดียว เพราะตรงที่แต่งสวยดูยังไงก็ธรรมดา สาวๆวัยรุ่นทุกวันนี้ก็แต่งผมแต่งหน้ากันแบบนี้ เป็นพิมพ์นิยม

ดูนานๆแล้วชอบ คือเห็นแล้วถูกชะตา ต่อให้มอมดำแต้มไฝแต้มสิว ใส่แว่น ดูยังไงก็ชอบ จมูกปากได้ส่วน เป็นผู้หญิงแบบงามพิศ ไม่ใช่งามผาด ยิ่งดูนานยิ่งเห็นว่าสวย ตอนนั้นยังไม่เห็นการแสดง ก็ได้แต่ถามศินไปว่า แต่งให้มอมกว่านี้ได้มั้ย

พอถึงช่วงที่ผู้กำกับเขาเอาส่วนที่ถ่ายๆไว้มาดูกัน จึงได้เห็นการแสดงของใบเฟิร์น อย่างแรกที่ผมรู้สึกก็คือ น้องเขาเป็นธรรมชาติ เป็นเด็กไม่ห่วงสวย ผมเคยเห็นแอ็คติ้งของเด็กวัยรุ่นที่มาสมัครการแสดงเยอะแยะ ส่วนใหญ่ห่วงสวย จะหันจะขยับปาก แบบฝึกท่ามาเลยต้องท่านี้ปากต้องเผยอแค่นี้ มันดูแล้วอึดอัด มันไม่ใช่การแสดง มันเป็นการแสร้งทำ

แต่เรื่องความเป็นธรรมชาตินี่ใบเฟิร์นสอบผ่านเลย ผมชอบนักแสดงแบบนี้ ตอนที่ไปดูรถไฟฟ้ามานะเธอ พอดูจบ ผมส่งข้อความไปบอกเก้งจิระเลยว่าผมชอบการแสดงของคริส หอวังมาก คริสเป็นธรรมชาติและไม่ห่วงสวยเลย ซึ่งนางเอกไทยที่แสดงแบบนี้มีน้อยนะ ไม่รู้สิ ผมว่าผู้หญิงที่ไม่ห่วงสวยนี่ยิ่งสวยนะ

กลับมาที่ใบเฟิร์น ผมคิดว่าฉากสำคัญที่ทำให้คนชื่นชอบเธอมากๆคือ ฉากที่สระว่ายน้ำ ฉากนี้ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับที่ออกแบบให้ใบเฟิร์นแสดงแบบนี้ด้วย จะว่าเป็นตลกร้ายก็ใช่ แต่มันจริงมากเลยนะ ทุกคนต้องเคยเป็นเวลาที่ช็อค ยิ่งคาดหวังอย่างหนึ่ง แล้วผลออกมาอีกอย่างหนึ่ง คือความรู้สึกของตัวละครตัวนี้มันสวิงแรงมาก มากจนช็อค แล้วใบเฟิร์นก็ทำได้ดี ทั้งเสียง ทั้งภาษากาย ที่สำคัญที่ดวงตา ใครที่เคยดูฉากนี้ลองนึกถึงดวงตาของใบเฟิร์น ความรู้สึกสับสนระหว่างความผิดหวัง ความหวังดี ความอับอาย ความน้อยใจในโชคชะตา มันผสมรวมอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วินาที ตอนที่เพื่อนๆเธอดันเธอเข้าไปที่ประตูสระ เธอยังอายๆแบบสาวน้อยอยู่เลย

ใบเฟิร์นเป็นนักแสดงที่มีทั้งพรสวรรค์และมีพลัง ผมเชื่อว่าถ้าเธอได้ครูที่ดีๆ ได้บทที่ส่งให้เธอได้แสดงความสามารถ เธอจะไปไกลมาก

Q พี่ประภาสคิดว่าหนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบอะไร ถึงโดนใจคนดูได้มากมายขนาดนี้

ผมนิยามสั้นๆว่า ง่ายและละเมียด หนังเรื่องนี้มีพล็อตเรื่องง่ายๆ ถ้าเล่าบรรทัดเดียวก็คือเป็นเรื่องของสาวน้อยแอบชอบหนุ่มน้อย แต่ในความง่ายมันมีความละเอียดลึกซึ้งซ่อนอยู่เต็มไปหมด ตัวผู้กำกับเองเขาก็บอก เขาไม่ใช่คนทำหนังยาก เขาไม่ชอบด้วยซ้ำหนังดูยากๆ

หนังเรื่องนี้มันเหมือนกล่องไม้ธรรมดากล่องหนึ่งที่อุปกรณ์สลักบานพับก็ธรรมดา ไม้ก็ไม้ธรรมดา แกะสลักนิดหน่อยพอเห็นลาย แต่เป็นงานไม้ที่เรียบร้อยละเมียดละไม ไม่มีสีฉูดฉาด ดูออกจะจืดๆด้วยซ้ำ แต่ในความจืดมันดูนาน มันงามนานๆ แต่ในกล่องนี่สิมันใส่ของสำคัญของคนดูหนังแต่ละคนไว้ มันเป็นความสุขของวันวาน ที่ได้เปิดกล่องไปเจอ ซึ่งแน่นอนมันมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา

แล้วก็มีอีกประโยคที่ผมวิเคราะห์เอง คนที่ชอบหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นพวกแพ้ทางคนใจงาม หนังเรื่องนี้พระเอกนางเอกเป็นคนใจงาม เพื่อนๆก็ใจงาม ครูก็ใจงาม พ่อแม่ก็ใจงาม

Q เจาะเข้าไปถึงคำว่า “BASE ON TRUE STORY…ของทุกคนคำๆ นี้พี่ประภาสตีความจากอะไร

ตอนที่ผู้กำกับเขาเสนอจะให้ใส่คำว่า BASE ON TRUE STORY ลงไปในหนังเพราะเขาได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของผู้หญิงคนหนึ่ง ผมเลยบอกเขาไปว่า ไม่ควรใส่ เพราะบทหนังเราเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น เกร็ดที่พวกเราเอามาใส่ในหนังแทบทั้งหมด เป็นเรื่องจริงอย่างละเล็กๆละน้อยของผู้คน แล้วมันเป็นเรื่องจริงของคนส่วนใหญ่ด้วย

คนที่ผ่านวัยรุ่นมา ทุกคนต้องเคยแอบรัก ทุกคนต้องเคยใช้แรงบันดาลใจจากการแอบรักทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ต้องมีหนึ่งอย่างหรอกน่า ผมจึงขอให้เปลี่ยนเป็น BASE ON TRUE STORY…ของทุกคน

Q ขออนุญาติถามถึงอะไรที่สุดโต่งที่สุดในชีวิตของพี่ประภาสที่เคยทำ เมื่อครั้งที่หัวใจมันเรียกร้องให้ทำเพื่อความรัก

บังเอิญผมเป็นพวกเดียวกับตัวละครโชนมากกว่าตัวละครน้ำเสียด้วย คือเก็บความรู้สึกเยอะไปหน่อย วันวาเลนไทน์ผมเคยให้น้ำพริกกระปุกหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมชอบ พอสู้ในหนังไหวมั้ย ในหนังเขาให้มะม่วงกัน

Q สุดท้ายครับ สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารักในความหมายของพี่ประภาส

จะมีอะไรใหญ่กว่าความรักหรือครับ ชื่อหนังมันตั้งเป็นนัย ชื่อมันตั้งแบบนิสัยของตัวละครของโชนและน้ำ


ไม่มีความคิดเห็น: