ความรักของแม่เภา
ประภาส ชลศรานนท์
“จอดตรงร้านอุ้ยคำปันนั่นแหละพี่จำนง เดี๋ยวเภาไปกับขันทองเอง” เสียงหญิงสาวที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานที่มีชายหนุ่มหน้าขรึมๆนั่งอยู่บนอานข้างหน้าพูดขึ้น
จักรยานเลี้ยวเข้าเทียบหน้าร้านหนังสือพิมพ์ และยังไม่ทันที่จะจอดสนิทดีนัก เภาก็กระโดดลงจากรถมายืนบนทางเท้า จักรยานอีกคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดข้างๆ
“ซ้อนไหวหรือ ขันทอง” ชายหนุ่มถามเพื่อนของเภาที่เพิ่งมาถึง
“ไหวสิพี่จำนง ฉันไปเรียนที่อังกฤษ ไม่ได้นั่งกินนอนกินนะพี่ ฉันต้องขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ทุกวัน อย่าว่าแต่ซ้อนยายเภาเลย พี่จำนงมานั่งอีกคน ฉันก็ขี่ไหว” ขันทองตอบ
เภาเดินมานั่งที่นั่งข้างหลังของจักรยานขันทอง“พี่จำนงไปทำงานเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
ชายหนุ่มยิ้มตอบตามวิสัยคนพูดน้อยแล้วก็หันหัวจักรยานขี่ออกไป
“แฟนเธอคนนี้ไม่ค่อยช่างพูดเลยนะ จับแน่นๆนะเภา ฉันจะซิ่งแล้ว”
“นั่นสิ บางทีนั่งคุยกันแล้วเหมือนนั่งอยู่คนเดียว” เภาลอบถอนใจ
“แต่อันที่จริงเขาพูดน้อยนี่ก็ไม่เลว เพราะเธอเป็นคนช่างพูด เดี๋ยวก็แย่งกันพูดแย่เลย แล้วรักกันมากี่ปีแล้วนี่”ขันทองถาม
เภาเขยิบก้นให้นั่งถนัดขึ้น “อย่าขี่เร็วนักสิขันทอง ถนนไม่ค่อยดีเธอก็รู้”
“กี่ปีแล้ว เธออย่าเปลี่ยนเรื่อง” ขันทองไม่ยอม
“เอ๊ะ ขันทองนี่หาเรื่องจริง เป็นแฟนกันหรือเปล่าฉันยังไม่รู้เลย” แม่เภาทุบหลังขันทองดังอึก
“แสดงว่าเขายังไม่เคยบอกรักเธอ” ขันทองรุก
เภาตอบในลำคอ “อือ” คำถามของขันทองทำให้เภาชักคิดเลยเถิดไปแล้วว่าหรือบางทีชายหนุ่มของเธออาจจะไม่ได้รักเธอจริงๆก็ได้
“แล้วเขาซื้อของให้เธอบ้างไหม”ขันทองไม่หยุด “พวกดอกไม้ เสื้อผ้าหรือขนมอะไรพวกนี้”
“ปีใหม่ปีนี้เขาให้ผ้าขาวม้าฉัน”เภาตอบลอยๆ
“หา!” ขันทองเสียงหลง
“เขาบอกว่ามันมีประโยชน์เยอะ ใช้นุ่งใช้ห่อใช้เคียนใช้ผูกได้สารพัด” เภายกเหตุผลมาช่วยอ้าง ซึ่งในความเป็นจริงพี่จำนงของเธอไม่ได้พูดอะไรเลยตอนให้ของขวัญ
“โรแมนติกตายเลย ให้ผ้าขาวม้าผู้หญิง ผู้ชายพิลึกๆแบบนี้ก็มีด้วย” ขันทองบ่น “เอ๊ะเลี้ยวซ้ายข้างหน้าหรือไปอีกแยกหนึ่งนะเภา ไอ้ทางลัดที่จะไปริมฝายน่ะ”
เภาชะโงกหน้าดู “เลี้ยวตรงนี้แหละขันทอง”
“เออนี่เภา ฉันยังไม่รู้เลยว่าพี่จำนงของเธอเขาทำงานอะไร”
ถึงตอนนี้ตัวเภาเองก็ชักเริ่มรู้สึกไม่อยากคุยเรื่องพี่จำนงเสียแล้ว เพราะยิ่งคุยเธอก็รู้สึกเหมือนมีสว่านอันใหญ่ๆมาคว้านในอกให้กลวงไปหมด เภาเริ่มนึกไปถึงว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ พี่จำนงเอาแต่ทำงาน จนแทบจะไม่มีเวลาไปเที่ยวด้วยกันเลย
“รับจ้างวาดรูปหน้าโรงหนัง ว่าแต่เธอเถอะกลับมาเมืองไทยจะทำอะไร”เภาตอบแกนๆ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันว่าจะรื้อฟื้นโรงพิมพ์ของพ่อเอามาทำใหม่ แกหยุดไปหลายปีแล้ว เภามาช่วยฉันไหม”
เภาตบหลังเพื่อนเบาๆ “ถึงแล้วไม่ใช่หรือขันทอง ที่ที่เธอจะมาดูน่ะ เธอจะขายจริงๆหรือขันทอง”เภากระโดลงจากรถตามนิสัยเดิม
“ใช่..ฉันว่าเนินมันเยอะเกินไป ที่ลุ่มๆดอนๆอย่างนี้จะมาตั้งโรงบ่มคงปักเสาลำบาก ต้องมาปรับดินกันอีก สูงเป็นสามสี่เมตรเลย” ว่าแล้วขันทองก็เดินนำเข้าไปในที่ดินที่ว่าผืนนั้น“หน้าน้ำทีไร น้ำล้นจากฝายทุกที เดินแล้วมันรำคาญ มันเฉอะแฉะไปหมด”
“ไปดูตรงเนินใหญ่นั่นไหม ตรงที่ตอนเด็กๆเรามาเล่นปีนเขากันน่ะ”
“ไม่เอาหรอก เธอไปคนเดียวเถอะ เดินแล้วรองเท้ามันจม ยกขาแทบไม่ขึ้น ฉันก็ลืมบอกเธอให้เอารองเท้ายางมา” ขันทองสะบัดขาแรงๆให้ดินหลุดจากรองเท้า “โอย น่ารำคาญขี้ดินนี่จริงๆ” ดินก้อนเล็กก้อนหนึ่งกระเด็นจากรองเท้าลอยไปตกที่กลางฝาย “ตายแล้ว สงสัยน้ำมันจะเซาะที่ดินจนเหลือที่ไม่เท่าไหร่แล้วมั้ง ซวยจริงๆ ทำไมที่ฉันมันไม่ห่างจากฝายเหมือนคนอื่นเขาหน่อยนะ เภาเธอรีบเขียนข้อความประกาศขายที่ดินให้ฉันเร็วๆเถอะ ฉันเบื่อมันเต็มทนแล้ว”
“ความจริงเธอเขียนเองก็ได้นี่” เภาหยิบหินก้อนหนึ่งขว้างไปทางเนินสูง หินก้อนนั้นติดอยู่แค่ตีนเนิน
“เธอมันชอบเขียนหนังสือ เผื่อจะมีสำนวนดีๆ ….ไอ้ขี้ดินนี่มันเหนอะหนะจริงๆนะ” ขันทองพยายามดึงขาออกจากหล่ม
เภาไม่อยากให้ขันทองขุ่นไปกว่านี้อีก จึงเปลี่ยนเรื่อง“พรุ่งนี้ไปกินข้าวที่บ้านนะ”
“เออ..ใช่สิวันเกิดเธอนี่” ขันทองสะบัดรองเท้าอีกข้างหนึ่ง คราวนี้ก้อนดินทั้งรองเท้าข้างนั้นก็กระเด็นลอยไปตกกลางน้ำ
ขันทองตะโกนลั่น“ฉันเกลียดขี้ดิน”
คืนงานวันเกิด
เภาทำอาหารเจ็ดแปดอย่าง ขันทองกับเพื่อนๆเอาอาหารมาช่วยอีกคนละอย่างสองอย่าง ซึ่งเมื่อเทียบกับคนไม่ถึงสิบคนแล้ว ต้องเรียกว่าอาหารเหลือเฟือ
“แม่สร้อยไม่มาหรือ” ขันทองหันมาถามเภาหลังจากที่เห็นว่าดึกป่านนี้แล้วคงไม่มีใครมาเพิ่ม
“ลูกไม่สบาย มาไม่ได้” เภาตอบเจื่อนๆ “พี่หญิงก็ไปกินเลี้ยงกับพี่โต้ง”
“นี่..อย่าบอกนะว่าพี่จำนงแฟนเธอก็มาไม่ได้” ขันทองเข้าไปใกล้ๆเพื่อน เพราะเริ่มจับอาการได้
“มาแล้วเมื่อตอนเย็น เอาไหมาให้ใบหนึ่ง” เภาพยายามยิ้ม
“ไห ?” ขันทองเสียงหลงอีกครั้ง
“ของขวัญของเขาน่ะ แล้วก็บอกว่าต้องรีบกลับไปทำงานให้เสร็จ เลยอยู่นั่งกินด้วยกันไม่ได้” เภาตักอาหารใส่จานกลบเกลื่อนความรู้สึก
“วันเกิดแฟนทั้งที มานั่งกินข้าวกันหน่อยก็ไม่ได้” ขันทองบ่น
“คิดมากน่าขันทอง ” เภา ลุกขึ้นตักไก่ย่างมาใส่จานของขันทอง “ลองนี่หรือยัง ฝีมือยายตุ้มเขา กระเทียมเยอะดีจริงๆ” เภารู้อยู่แก่ใจดีว่าคนที่คิดมากนั้นน่าจะเป็นใคร พรุ่งนี้แล้วที่เธอจะต้องกลับลงไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ หนึ่งเดือนเต็มๆที่เธอจะต้องอยู่กรุงเทพฯ และเมื่อฝึกงานเสร็จเธอก็ต้องเริ่มงานใหม่แล้ว
ตั้งแต่เรียนจบมานี่เธอแทบจะไม่ได้คุยได้เที่ยวกับพี่จำนงเลย
“อร่อยจริงๆด้วยเภา ไม่ยักรู้ว่ายายตุ้มก็มีฝีมือกับเขาเหมือนกัน” ขันทองแทะไก่ “อย่าหาว่าเอาเรื่องสกปรกมาคุยบนโต๊ะอาหารเลยนะเภา วันนี้ฉันแวะไปดูที่มาอีกที เภาเอ๊ย ฉันว่าเธอรีบเขียนข้อความประกาศขายที่ให้คนไปติดป้ายเร็วๆดีกว่า ฉันทนไม่ไหวแล้ว ทั้งมีเนินสูงๆต่ำๆ ทั้งติดน้ำเฉอะแฉะ วันนี้เจอเรื่องใหม่อีกแล้ว”
“มีอะไรหรือขันทอง” เภายิ้มขันเพื่อน
“ฉันลงไปย่ำในที่อีกที ขี้วัวเต็มไปหมดเลย ไม่ใช่กองเดียวนะ เป็นร้อยๆกอง สงสัยวัวที่เขาเลี้ยงไว้ที่ข้างๆมันเข้ามากินหญ้าในที่แน่ๆ” ขันทองคายกระดูกไก่
“ถ้าเธอไม่เสียดายที่ที่เคยวิ่งเล่นตอนเด็กๆ ฉันก็จะรีบเขียนให้” เภาตอบ “พรุ่งนี้เช้ามืดนะ ตอนที่เธอมารับฉันไปส่งบ.ข.ส. อย่าลืมทวงล่ะ”
คืนนั้นเภานั่งเขียนข้อความประกาศขายที่ให้ขันทอง มีแต่เพียงเภาเท่านั้นที่รู้ว่า เธอใช้เวลามากมายเกือบถึงตีสองเพื่อเขียนข้อความเพียงห้าหกบรรทัด หรือว่าเธอใช้เวลาทั้งหมดนั้นเพื่อหวังรอใครสักคนมากินข้าวในวันเกิด
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นที่ท่ารถบ.ข.ส.
ขันทองถามเภาทันทีที่รถจักรยานจอดถึงหน้าท่ารถ“ไหน เขียนเสร็จแล้วหรือยัง”
เภาหยิบกระดาษออกจากกระเป๋าเสื้อ “เขียนแต่เรื่องจริงไม่มีโกหกแม้แต่คำเดียว”
“จ้ะ…แม่นักข่าวคนซื่อ พูดเรื่องจริงแล้วใครที่ไหนเขาจะมาซื้อกัน” ขันทองช่วยเภา ยกกระเป๋าไปวางไว้ที่ข้างทางเท้า
“ฟังนะขันทอง ฉันจะอ่านให้ฟัง” เภาอ่านข้อความในกระดาษ “ขายด่วน ที่ดินนอกเมือง สงบร่มรื่น มีเนินเขาสูงต่ำสวยงามหลายเนินลดหลั่นกัน เหมาะแก่การปลูกบ้านบนเนิน เพราะสร้างมุมมองได้หลายมุมมอง ด้านข้างติดฝายน้ำยาวตลอดพื้นที่ ที่สำคัญมีน้ำเต็มตลิ่งตลอดเกือบทั้งปี ที่ดินทั้งผืนเป็นดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก อุดมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยขี้วัว…”
“เภา..” ขันทองพูดเบาๆ“พี่จำนงมา”
เภาหันไปด้านที่ขันทองทำหน้าบุ้ยบอก ชายหนุ่มคนที่เธอรอเมื่อวานยืนอยู่ข้างเสาไฟฟ้า ในมือถือกระเป๋า ใบหน้าดูก็รู้ว่าอิดโรย ขันทองหยิบกระดาษที่เภาเขียนเดินเลี่ยงไปนั่งอ่านแก้เก้อ เพื่อให้ชายหนุ่มและหญิงสาวได้คุยกัน
“จะไปไหนหรือ” เภาไม่รู้จะพูดอะไร
“ไปกรุงเทพฯ” จำนงตอบเบาๆ “ซื้อตั๋วหรือยัง นั่งด้วยคนนะ”พูดเสร็จจำนงก็เอามือปัดตามเสื้อผ้า “ตัวอาจจะเหม็น ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
เภาไม่ตอบอะไร จำนงจึงพูดต่อ “รับรูปเขามาเขียนตั้งห้ารูป เร่งทุกวันเลย เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน เพิ่งส่งงานเมื่อเช้า ขอโทษทีที่เมื่อคืนไม่ได้ไปกินข้าวด้วย”
เภาหลบตา
“ส่งงานเสร็จ ก็ลางานเขาเดือนหนึ่งเลย จะได้ไปเที่ยวกรุงเทพกับเภา นานๆทีจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพด้วยกัน”
เภายังคงพูดไม่ออก นี่ถ้าขันทองไม่อยู่แถวนี้ เธอคงปล่อยโฮออกมา
บนรถบ.ข.ส.ที่กำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ
เภานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชายหนุ่มหน้าขรึมๆคนนั้นนั่งหลับอยู่ข้างๆ เภาค่อยๆขยับมือยกระจกหน้าต่างขึ้นให้ลมพัดเข้ามาในรถ ฟ้าข้างนอกยังคงมืดอยู่ เภารู้สึกปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อันที่จริงเภาจะต้องรู้สึกดีใจยิ่งกว่านี้ถ้าเธอรู้ว่า หลังจากที่ขันทองเพื่อนรักอ่านข้อความประกาศขายที่ที่เภาเขียนให้ซ้ำอีกสี่ห้ารอบ ขันทองก็เปลี่ยนใจไม่ขายที่นั้นอย่างเด็ดขาด คนเรานี่คิดๆดูก็แปลก เรื่องเดียวกันแท้ๆแต่ลองมองอีกมุมหนึ่ง ความรู้สึกก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้
เภาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วเธอก็รู้สึกว่า ฟ้าที่มืดมิดนั้นที่แท้มันทำให้เราเห็นดาวชัดขึ้นต่างหาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น