วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มองตรงไปข้างหน้า

มองตรงไปข้างหน้า

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

สวัสดีค่ะ พี่ประภาส

ดิฉันแต่งงานแล้ว แฟนเป็นคนมุ่งมั่นมาก เวลาเขาทำอะไรก็จะทำอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้แต่พ่อแม่ของเขา
เขาก็เคยหนีออกมาจากบ้านเพื่อจะเรียนให้จบด้วยตัวเอง

แต่งงานกันแล้วก็มาอยู่ที่บ้านดิฉัน
วันหนึ่งมีใครไปพูดเข้าหูเขาว่าแต่งงานแล้วยังมาอยู่บ้านเมียเหมือนกับเกาะเมียกิน เขาก็ออกจากบ้านทันที
ดิฉันก็พยายามทัดทาน เขาบอกว่าเขาจะไปตั้งตัวให้ได้ แล้วจะกลับมารับดิฉัน เขาออกไปทำของขายพวกพวงกุญแจ
พวกของแต่งบ้าน เกือบสองปีแล้วที่แทบไม่ได้เจอกัน ได้แต่โทร.คุยกัน
จะไปหาเขาก็บอกว่ารอให้เขามีบ้านก่อนค่อยเจอกัน คนรู้จักกันที่อยู่ใกล้ๆ เขาก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีใคร
วันทั้งวันเอาแต่ทำงาน บางวันก็ทำถึงตีสองตีสาม แต่ของก็ขายได้ไม่ดีเท่าไร

เพื่อนๆ เขาชวนไปไหนก็ไม่ไป อยู่แต่ในบ้านทำของส่งร้านทุกวัน เรื่องนอกใจเพื่อนๆ ยืนยันว่าไม่มีแน่ๆ
ก่อนแต่งงานก็รู้ว่าเขาเป็นคนอมทุกข์ แต่ตอนนี้ดิฉันเองคงจะอมทุกข์ยิ่งกว่าเขา
พี่ประภาสมีวิธีไหนจะบอกให้เขาคลายความจริงจังลงมาได้บ้าง

พนิดา

พี่ประภาส

ดิฉันมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง เราสองคนเป็นแฟนหนังสือของพี่ทั้งคู่
เจ้าเพื่อนคนนี้มันอยากเป็นนักแต่งเพลง นักเขียนบทแบบพี่ประภาส
สมัยเรียนเขาเขียนบทละครให้โรงเรียนบ่อยมาก เขาเอ็นท์เข้านิเทศไม่ได้ จึงไปเรียนที่ราม
แต่ตอนนี้เขาไม่ไปสอบที่รามเลย จนหมดสภาพนักศึกษาแล้ว
ไปตามมาสอบเขาก็บอกไม่รู้จะเรียนไปทำไมไม่มีประโยชน์
ทุกวันนี้ก็เก็บตัวอยู่ในห้องเขียนบทละครและบทหนังไปเสนอตามบริษัทต่างๆ อยู่ตลอด
ชวนออกไปดูหนังฟังเพลงเขาก็ย้อนว่า เก็บเงินไว้ซื้อกระดาษดินสอดีกว่า
เพราะเขายังต้องเขียนอีกไม่รู้เท่าไรกว่าบริษัทจะรับบทหนังของเขา แฟนเขาก็ต้องเลิกกันไป เพราะทนไม่ไหว

เห็นเขาบ้าแล้ว ก็เลยนึกถึงพี่ประภาส ไม่อยากโทษว่าพี่เป็นต้นเหตุ แต่จะว่าไปมันก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน
พี่มีอะไรแนะนำเขาบ้าง ดิฉันว่าถ้าพี่ตอบจดหมายฉบันนี้ลงหนังสือ เขามาอ่านเขาคงรู้ว่าดิฉันเขียนมา

เพื่อนของคนบ้า

เอาสิครับท่านผู้อ่าน ผมโดนปรักปรำเข้าเสียแล้ว

อ่านจดหมายของคุณเพื่อนของคนบ้าเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่าเคยมีจดหมายทำนองนี้มาถึงผมฉบับหนึ่ง
ก็ต้องขออนุญาตนำมาลงไว้พร้อมกัน

เรื่องราวของจดหมายทั้งสองฉบับนี่ ต้องถือเป็นประเด็นเดียวกัน
นั่นคือเรื่องของคนที่มีความมุ่งมั่นเหลือล้น จนคนรอบข้างได้รับผลกระทบ

ผมกำลังนึกอยู่ว่า
ข้อหาที่ผมได้รับว่ามีส่วนทำให้เพื่อนของคุณจมอยู่กับความมุ่งมั่นนั้นมาจากหนังสือของผมหรือเปล่า
เช่นเพื่อนของคุณอาจจะไปอ่านตอนที่ผมเล่าถึงเอดิสันที่ทดลองประดิษฐ์หลอดไฟมากกว่าสามพันครั้งกว่าจะสำเร็
จ หรือไปอ่านเอาตอนที่ผมเล่าถึงสุดยอดความพยายามของมนุษย์คนหนึ่งที่อัมพาตทั้งร่างกาย
กะพริบได้เพียงเปลือกตาข้างเดียว แต่เขาเขียนหนังสือจบเล่มด้วยการกะพริบบอกอักษรให้คนช่วยเขียน

ยอมรับข้อกล่าวหาครับ ว่าผมเล่าเรื่องราวเหล่านั้นด้วยมีความปราถนาจะให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆ
มีความมุ่งมั่นในงานของตน และไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

แต่ขณะเดียวกันผมคงจะต้องแก้ต่างให้ตัวเองด้วยว่า ในหลักฐานชิ้นเดียวกันนั่นคือหนังสือของผม
เล่มเดียวกันกับที่ผมเล่าไปเมื่อกี้นั่นแหละครับ

บางทีเพื่อนของคุณอาจจะเปิดหนังสือข้ามตอนที่ผมเล่าถึงไอนสไตน์คิดทฤษฎีสัมพันธภาพออกตอนที่กำลังนั่งฝันก
ลางวันอยู่บนเนินเขา หรือไม่เพื่อนของคุณก็อาจจะลืมอ่านตอนศิลปินจีนนักวาดไก่คนหนึ่งที่ในตอนจบ
เขาเอาแต่เที่ยวป่านั่งชมไก่ไปทั้งวัน แล้วก็มาวาดไก่จนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้
หลังจากที่ในตอนแรกเขานั่งวาดอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

ปีสองปีก่อนผม แต่งเพลงให้บะหมี่สำเร็จรูปมาม่า เพื่อฉลองครบรอบสามสิบปี ชื่อเพลงว่าแง่งาม
เพลงไม่ได้พูดถึงสรรพคุณของสินค้าเลยครับ พูดถึงปรัชญาชีวิตที่ดำเนินไปทุกวันว่า
ไม่ว่าอย่างไรชีวิตมันก็ย่อมมีทางออกแน่เมื่อถึงทางตัน คงยังจำกันได้นะครับ ที่มีท่อนหนึ่งร้องว่า

"ชีวิตไม่เคยมีทางตัน มันอยู่ตรงจะเห็นเป็นมุมใด

" ตัวคุณปั่นก็ร้องได้ถูกใจผมเหลือเกิน ผมชอบท่อนสุดท้ายมากที่สุด
ท่อนนี้ไม่ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ด้วยเหตุผลเรื่องความยาวของโฆษณาทางโทรทัศน์ ผมเขียนไว้อย่างนี้

เดินขึ้นภูเขาใช่มองแต่จุดหมาย

เมฆหมอกดอกไม้ก็ใกล้กัน

สิ่งที่สวยงามเกิดขึ้นทุกวัน

สำคัญที่เราได้หันไปมองดู

เมื่อยนะครับ เดินไปไหนสักแห่งแล้วมองแต่จุดหมายอย่างเดียวโดยไม่เหลียวชมชื่นสรรพชีวิตข้างๆ
ทางเสียบ้าง

แล้วมันจะไม่เมื่อยอย่างเดียวด้วย เวลาที่หน้าไม่ขยับไปไหนเลย กล้ามเนื้อแถวคอมันจะตึงเป็นก้อนๆ เอา
จากนั้นมันก็คงจะตึงมาถึงหัวไหล่ และก็อาจถึงขั้นปวดหัวได้ อันนี้เรื่องจริงครับ
ไปถามหมอนวดที่เรียนอายุรเวชดูก็ได้

สุดท้ายยอดเขาที่เราหมายไว้ก็อาจไปไม่ถึง เพราะตะคริวกินคอเสียก่อน

นักเขียนต้องอ่านหนังสือเยอะๆ คนแต่งเพลงต้องฟังเพลงมากๆ พ่อครัวเก่งๆ ต้องขยันชิมของอร่อยอยู่เป็นนิจ
ผมพูดอย่างนี้ซ้ำๆ อยู่เต็มไปหมดในหนังสือของผม

คนเป็นผัวเมียกันจะทำการสิ่งใด การได้ปรึกษาหารือได้ปรับทุกข์กันมันก็เหมือนเติมไฟเติมเชื้อ
ตั้งคำถามหาคำตอบกันไปมา มันก็เหมือนทบทวนบทเรียนไปในตัว
แม้แต่แค่ได้นั่งพักมองอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างถ่ายทำละคร ผมก็เคยนึกอะไรดีๆ ออกในช่วงนั้น
แล้วเอามาใช้ในการเขียนแก้ไขงานได้

ดอกหญ้าข้างทางนี่พาอัศวินไปรบชนะมาไม่รู้เท่าไรแล้ว

ในยุคที่เมืองไทยยังหุงต้มกันด้วยฟืน
ท่านขุนผู้เป็นนายส่งขวานเล่มใหญ่เล่มหนึ่งให้บ่าวคนสนิทด้วยอยากสอนให้คิดเป็น

"ผ่าฟืนดู อยากรู้ว่าวันหนึ่งแกจะผ่าได้เท่าไร" ท่านขุนสั่ง

วันนั้นบ่าวคนขยันผ่าฟืนกองไว้ 20 กอง ให้ท่านขุนตรวจ

"ดีมาก พรุ่งนี้เอาให้ได้เท่าเก่านะ แล้วข้าจะเพิ่มเบี้ยหวัดให้" ท่านขุนตั้งรางวัล

วันรุ่งขึ้น บ่าวผู้มุ่งมั่นตื่นมาผ่าฟืนตั้งแต่ไก่เพิ่งโห่ และก็ขะมักเขม้นผ่าฟืนแทบทั้งวัน
ถึงเวลาพักก็พักแต่เพียงเล็กน้อย ความตั้งใจที่จะได้จำนวนกองฟืนมากกว่าเมื่อวานนั้น
ดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่าความเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว
และเมื่อท่านขุนมานับกองฟืนในตอนเย็นก็พบว่าเขาผ่าได้เพียง 18 กอง เท่านั้น

"พรุ่งนี้เอาให้ได้เท่าวันแรกนะ" ท่านขุนสั่งด้วยคำสั่งสั้นๆ เช่นเดิม

ตัวบ่าวผู้ถูกสั่งก็เข้านอนแต่หัวค่ำ ด้วยตั้งใจจะตื่นแต่เช้าอย่างสดชื่นและมีแรงมากพอ
วันที่สามนี้บ่าวคนขยันตื่นก่อนไก่ และก็ลงมือผ่าฟืนอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้ง
และเมื่อถึงเวลาพัก บ่าวผู้มุ่งมั่นก็พักเพียงแค่เปิบข้าวเสร็จ ข้าวยังไม่ทันเรียงเม็ดดี
เขาก็แบกขวานไปผ่าฟืนต่อทันที

เขาแปลกใจตัวเองมาก เขารู้สึกว่าเขาได้ใช้ความพยายามอย่างมาก
แต่เมื่อถึงเวลาเย็นท่านขุนเดินออกมานับกองฟืนก็นับได้เพียง 14 กองเท่านั้น

"มันน้อยลงทุกวันนะ" ท่านขุนทัก

"เรี่ยวแรงข้าพเจ้าคงหมดเสียแล้วขอรับ" บ่าวก้มหน้านิ่ง

"จะย้ายข้าพเจ้าไปทำงานในไร่ในนาอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยอมหมดทุกอย่าง
ข้าพเจ้าคงแก่ตัวลงเสียแล้ว"

จากนั้นบ่าวคนขยันก็พูดจาขอโทษขอขมาอีกยาวเหยียด รวมทั้งแสดงความแปลกใจอยู่ในที
ตลอดว่าเหตุใดตัวเองจึงแรงถดถอยเร็วถึงเพียงนี้
ระหว่างที่เจ้าบ่าวผู้น้อยเนื้อต่ำใจกำลังพูดพร่ำพรรณาอยู่นั้น ประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวของท่านขุน
ก็ทำให้บ่าวต้องหยุดพูด และก็ถึงบางอ้อทันที ท่านขุนถามสั้นๆ เพียงว่า

"เจ้าลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไร"

หน้า 17

ไม่มีความคิดเห็น: