วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นางสาวเพลินเดินทางรอบโลก

นิทานล้านบรรทัด
ประภาส ชลศรานนท์

อันที่จริงความคิดความฝันที่จะเดินทางรอบโลกนั้น มันมีขึ้นตั้งแต่ชื่อนำหน้าของเพลินยังเป็นเด็กหญิงอยู่ด้วยซ้ำ

เด็กหญิงเพลินเฝ้ามองรูปภาพประเทศต่างๆในโทรทัศน์อย่างสนอกสนใจ

งานวันเด็กครั้งหนึ่งตอนที่เด็กหญิงเพลินยังอยู่ชั้นประถมต้น เด็กหญิงเพลินขึ้นเวทีตอบคำถามแข่งขันเกี่ยวกับธงชาติของนานาประเทศได้รางวัลที่สอง เธอพลาดธงชาติของประเทศเปรูแค่ประเทศเดียว

และเมื่อขึ้นมัธยมปลาย นางสาวเพลินก็ได้รางวัลชนะเลิศประกวดเรียงความ “โลกกว้างใหญ่มีอะไรให้เรียนรู้

ตอนที่เธอได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ของขวัญที่เธอชอบมันมากที่สุดคือดิคชันนารี 4 ภาษา เธอบอกกับใครๆว่ามันจะทำให้ความฝันของเธอสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

“ฉันจะต้องเดินทางรอบโลกให้ได้” เพลินบอกกับแฟนหนุ่ม “เสียดายที่ฉันไม่ได้เลือกเอกอังกฤษตั้งแต่แรก”
เพลินเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านภูมิศาสตร์ด้วยความคิดว่า การจะรู้จักประเทศต่างๆด้านวัฒนธรรมอย่างเดียวไม่พอเพียงที่จะทำให้รู้จักประเทศนั้นดีพอ

วันแต่งงานของเพลินหลังจากจบปริญญาโทไม่ถึงปี เพลินกับเจ้าบ่าวตั้งใจว่าจะไปฮันนีมูนที่เวียงจันทน์ ใครจะค่อนว่าอย่างไรเพลินก็ไม่สนใจ เพราะจากหนังสือท่องเที่ยวที่เธอศึกษามา เวียงจันทน์เป็นเมืองที่น่ารักในสายตาเธอ
และที่สำคัญจะเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของเธอ

แต่แล้วเธอก็ไม่ได้ไปลาว เจ้าบ่าวของเธอเกิดเป็นอีสุกอีใ

เพลินหย่ากับสามีตอนที่ลูกชายคนเดียวของเธอเพิ่งเข้าอนุบาล ความคิดความฝันเรื่องการเดินทางรอบโลกยังไม่หายไปไหน แม้จะต้องทำงานหนักและยังต้องเป็นทั้งพ่อและทั้งแม่ของลูก

เพลินลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เธอสอนลูกของเธอทุกครั้งที่มีโอกาสว่าให้สนใจภาษาอังกฤษมากๆไว้ เพราะมันจะทำให้เราสื่อสารกับใครก็ได้ในโลก

ตอนที่ลูกของเพลินกำลังจะขึ้นมัธยมต้น ผู้จัดการบริษัทที่เธอทำงานอยู่ได้นำข่าวดีมาบอกเธอในเช้าวันหนึ่ง “บริษัทจะส่งพนักงานไปทำเวิร์คชอปที่จีน 2 เดือน คุณเพลินเป็นคนหนึ่งที่บริษัทเลือก ถ้าคุณเพลินสมัครใจ”
การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

หลังจากที่พูดคุยวางแผนที่จะให้ลูกชายไปพักอยู่กับญาติห่างๆคนหนึ่งสำเร็จ คืนนั้นเพลินก็เกิดอาการลังเล
“คนที่เหอหนานพูดภาษาอังกฤษกันน้อยมาก แล้วเราจะสื่อสารกับเขาได้หรือ” เพลินคิดเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ แล้วเธอก็คิดอย่างนี้ไปอีกทั้งสัปดาห์

ในที่สุดเธอก็ปฏิเสธที่จะไปเมืองจีน เธอบอกกับลูกของเธอว่า การเราจะไปเที่ยวที่ไหนนั้นเราต้องเตรียมตัวให้ดีก่อน ว่าแล้ววันรุ่งขึ้นเธอก็ไปสมัครเรียนภาษาจีน เผื่อไว้ว่าวันข้างหน้าถ้าโอกาสมันจะกลับมาหาเธออีกครั้ง

ตอนที่ลูกชายเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย บริษัทที่เธอทำงานอยู่ต้องปิดบริษัทไปด้วยไม่สามารถสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจไหว ตลอด 5 ปีที่เธอหางานประจำทำไม่ได้ เธอก็หารายได้ด้วยการรับจ้างแปลเอกสาร

แม้จะยังไม่ได้เดินทางไปไหนเลย แต่เพลินก็เก็บสะสมหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆไว้มากมาย จนแทบจะพูดได้เลยว่าหนังสือในตู้ห้องนอนเธอมากกว่าครึ่งเป็นหนังสือท่องเที่ยว
ส่วนที่เหลือก็เป็นหนังสือเรียนภาษาต่างๆด้วยตัวเอง


ปีหน้าคุณยายเพลินจะมีอายุครบ 72 ปีแล้ว

แม้จะรู้ว่ามันยาก แต่ลูกชายของเธอกำลังหาทางชวนเธอขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวฮ่องกงหรือสิงคโปร์สักวันสองวัน ให้ได้ชื่อว่าได้เดินทางออกนอกบ้านสักที

คุณยายเพลินมักจะบอกกับนักเรียนที่มาติวภาษาที่บ้านของเธอว่า “จะเดินทางไปไหนต้องรู้จักที่นั่นให้ดีก่อน แล้วเว็บไซท์ที่เกี่ยวกับฮ่องกงหรือสิงคโปร์อะไรแถวนี้ ก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ๆ ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ ยายก็รู้หมดแล้ว”

“มันต้องรู้มากกว่านี้สิ ถึงจะออกเดินทางได้”

...........................................................................

ไม่มีความคิดเห็น: