วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สรุปหนังสือเรื่อง"The Last Lecture"

Posted by m3rcuriiez , ผู้อ่าน : 46 , 00:45:18 น. พิมพ์หน้านี้

หนังสือเรื่อง The Last Lecture โดย Randy Pausch
หนังสือเล่มนี้ซึ่ง Pausch เขียนร่วมกับผู้สื่อข่าว Wall Street Journal ชื่อ Jeffrey Zaslow เป็นการถอดเทปและขยายความเล็กเชอร์ยาว 76 นาที ในหัวข้อ “Really Achieving Your Childhood Dreams” (ทำความฝันวัยเด็กของคุณให้เป็นจริงๆ) ที่ Pausch ไปบรรยายที่คาร์เนกี เมลลอน วันที่ 18 กันยายน 2007 (ดูวิดีโอเล็กเชอร์และติดตามข่าวคราวล่าสุดของ Pausch ได้จากเว็บไซต์ของเขา-http://download.srv.cs.cmu.edu/pausch)
Pausch ในวัยเพียง 47 ปี ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนขั้นสุดท้าย เขาเล็กเชอร์เพื่อลูกๆ 3 คนที่จะเติบโตขึ้นโดยไม่มีพ่อ แต่เนื้อหาในเล็กเชอร์รวมทั้งทัศนคติเชิงบวกของ Pausch ที่ไม่เคยสมเพชตัวเอง หากมองโรคร้ายอย่างเปี่ยมอารมณ์ขันและถึงพร้อมด้วยมรณานุสติ (ก่อนจะเล็กเชอร์ Pausch วิดพื้นหลายครั้งบนเวทีเพื่อโชว์คนดูว่าเขา “รู้สึกดี” ขนาดไหน) ได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับล้านที่คลิกเข้าไปดูวิดีโอในยูทูบได้รับความนิยมจนเอามาต่อยอดทำหนังสือ
เนื้อหาส่วนใหญ่ในเล็กเชอร์ของ Pausch และหนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับความฝันในวัยเด็กของเขา และวิธีที่เขาพยายามบรรลุความฝันเหล่านั้นตอนโต บางคนอาจจะมองว่า Pausch โชคดีมากๆ ที่ความฝันของเขาหลายข้อกลายเป็นความจริง ตั้งแต่ประสบการณ์ลอยตัวในภาวะไร้
น้ำหนักในเครื่องฝึกสอนนักบินอวกาศของนาซ่า การได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม “Imagineer” ของดิสนีย์ และการได้เขียนบทความลง World Book Encyclopedia (Pausch เขียนเรื่อง Virtual Reality ในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกสาขานี้) แต่ The Last Lecture แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โชคไม่ได้ช่วยให้ Pausch บรรลุความฝันวัยเด็กของเขา เท่ากับความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ความรักในความรู้ ความจริงใจ และการยึดมั่นในคุณธรรมเรียบง่ายที่หลายคนลืมไปนานแล้ว โดยเฉพาะความซื่อสัตย์และความโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์
ถึงแม้ว่าเนื้อหาในเล็กเชอร์และหนังสือเล่มนี้จะไม่มีอะไร “ใหม่” ทัศนคติเชิงบวกอันน่าทึ่งของ Pausch และความจริงใจของเขาในการถ่ายทอดแง่คิดและประสบการณ์ ทำให้ The Last Lecture เป็นมากกว่าอัตชีวประวัติธรรมดา ตอนหนึ่งในเล็กเชอร์ และหนังสือที่ผู้เขียนชอบมาก คือ ตอนที่ Pausch บอกว่า ให้มองกำแพงที่กั้นขวางระหว่างเรากับความฝันว่าเป็น “โอกาส” ที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเราต้องการทำความฝันให้เป็นจริงเพียงใด เขาบอกว่า “เหตุผลที่มีกำแพงก็เพื่อจะแยกแยะคุณออกจากคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยากบรรลุความฝันนั้นเท่ากับคุณ” Pausch บอกด้วยความถ่อมตัวด้วยว่า หลังจากที่เขาทำความฝันให้เป็นความจริงได้แล้ว เขาก็อยากจะช่วยทำให้ความฝันของคนอื่นๆ เป็นจริงได้ด้วย ผู้เขียนคิดว่านั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกเป็นอาจารย์ และแน่นอนว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่นักเรียนรักที่สุดในมหาวิทยาลัย
นอกจากจะให้แง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการมองโลก การบริหารจัดการเวลา และการล่าฝันแล้ว The Last Lecture ยังเป็นหนังสือที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่จดจำความคาดหวังที่ตัวเองตั้งไว้กับลูกได้แม่นยำกว่าความฝันของลูกเอง ตอนหนึ่งในหนังสือ Pausch บอกว่าต้องขอบคุณพ่อแม่ของเขาที่ยอมให้ระบายสีผนังในห้องนอนของตัวเอง (เขาวาดจรวด ลิฟต์ สมการคณิตศาสตร์ และกล่องแพนโดรา ฉายแววเนิร์สตั้งแต่เด็ก) Pausch บอกคนดูอย่างกระตือรือร้นว่า “ใครก็ตามที่นี่ที่เป็นพ่อแม่นะครับ ถ้าลูกของคุณอยากระบายผนังห้องนอน ให้เขาทำเถอะครับ ถือว่าทำให้ผม มันไม่เป็นไรหรอก อย่าห่วงเรื่องราคาบ้านตอนเอาไปขายเลย”
The Last Lecture มีข้อความที่กินใจหลายตอน แต่ตอนที่ประทับใจผู้เขียนที่สุด คือ ตอนที่ Pausch บอกว่า “ประสบการณ์คือสิ่งที่คุณได้เมื่อคุณไม่ได้สิ่งที่คุณอยากได้” และตอนที่เขาอธิบายความหมายที่แท้จริงของ The Last Lecture “ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การบรรลุความฝันของคุณ
หากอยู่ที่การใช้ชีวิต ถ้าคุณใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง กรรมจะทำงานของมัน และความฝันก็จะมาหา
คุณเอง”

We cannot change the cards we are dealt,
just how we play the hand.
เราเปลี่ยนไพ่ที่จั่วขึ้นมาไม่ได้
แต่... เราเลือกวิธีเล่นได้
When you're screwing up and
nobody's saying anything to you anymore,
that means they gave up.
ถ้าคุณทำเรื่องแย่ๆ และไม่มีใครว่าอะไรคุณเลย
นั่นหมายความว่า
พวกเขาหมดความพยายามแล้ว
Experience is what you get
when you didn't get what you wanted.
ประสบการณ์คือสิ่งที่เราได้รับ
เมื่อเราไม่ได้สิ่งที่หวัง
The brick walls are not there to keep us out.
The brick walls are there to give us a chance
to show how badly we want something.
Because the brick walls are there to stop
the people who don't want it badly enough.
They're there to stop the other people.
กำแพงไม่ใด้มีไว้เพื่อขัดขวางเรา
แต่... มันให้โอกาสเราแสดงว่า
เราต้องการสิ่งนั้นมากเพียงใด
เพราะ... กำแพงจะขวางคนที่ไม่ต้องการพอ
มันมีไว้ขวาง คนอ่ืน
You might have to wait a long time, sometimes years,
but people will show you their good side.
Just keep waiting no matter how long it takes.
No one is all evil. Everybody has a good side,
just keep waiting, it will come out.
บางครั้ง...
เราอาจจะต้องรอเป็นเวลานาน
แต่คนอื่นๆจะแสดงด้านที่ดีของเขาออกมา
เราแค่ต้องรอต่อไป.. ไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ตาม


the last lecture with thai subtitle
http://video.google.com/videoplay?docid=-8703933479957779710
the last lecture with subtitle
http://www.taudiobook.com/closed_caption/randy_pausch_full/

ไม่มีความคิดเห็น: