
มนุษย์เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ
ในวิถีทางของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
เราจะถามไถ่ถึงอิสรภาพได้อย่างไรในเมื่อเราเองก็อยู่ภายใต้กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอันไม่จบสิ้นของธรรมชาติ
การหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนของฤดูกาล
การแก่เฒ่าร่วงโรยของร่างกายไปตามอายุขัย หรือการตายลงเมื่อถึงเวลาอันควร
ภายใต้ความเป็นไปตามธรรมชาติเหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างไรที่เราจะคิดไปถามไถ่ถึงสภาวะแห่งอิสรภาพ
ซึ่งนั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆ
เหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปอย่างอิสระเสรีที่สุดแล้ว
ดังนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่า
อิสรภาพในปรัชญาของจวงจื๊อคือการปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความเป็นกฎเกณฑ์
หรือโลกทัศน์อันจำกัดไปสู่สภาวะตามธรรมชาติโดยที่ไม่เข้าไปก้าวก่ายจัดระเบียบหรือสร้างกฎเกณฑ์ใดๆ
ขึ้นมาเพื่อพันธนาการมนุษย์ การสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆ
ขึ้นมาซ้อนทับวิถีทางแห่งธรรมชาตินี้
จะทำได้อย่างมากก็เพียงแค่ได้เข้าใกล้กับความเป็นจริงของธรรมชาติเท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่เป็นการดีกว่าหรือ
หากเราจะปล่อยสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ
หรือตามวิถีทางของเต๋า ตัวอย่างเช่น
การปล่อยต้นไม้ให้ได้เติบใหญ่และแผ่กิ่งก้านของตนเองได้อย่างตามใจชอบ
การปลดปล่อยให้เต่าที่ไม่หวังจะให้ใครมาบูชากระดองของตนได้เดินเล่นกระดิกหางอยู่ในโคลนตม
หรือการปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นมนุษย์ที่แท้และได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่แท้จริงสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเสมือนกับความหมายของอิสรภาพที่แท้จริงหรือเป็นอิสรภาพของอิสรชนที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์จวงจื๊อ
“มนุษย์ที่แท้นั้นอัศจรรย์นัก
แม้ทุ่งใหญ่ที่มีเพลิงโหมก็มิอาจทำให้รู้สึกร้อนได้
มหานทีที่แม้น้ำจับแข็งจนทั่วธารก็มิอาจส่งให้รู้สึกหนาวเย็นได้
แรงอสุนีบาตที่ผ่าแยกขุนเขา มหาวาโยที่สั่นสะเทือนท้องสมุทร
ล้วนมิอาจสร้างความหวั่นไหวให้ได้
บุคคลเยี่ยงนี้แลที่ดั้นเมฆโดยสารตะวันแลดวงเดือนท่องเที่ยวไปยังโพ้นทะเลทั้งสี่
กระทั่งจะตายหรือเป็นก็มิอาจทำให้ต้องหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงตัวตนของตน
จะกล่าวไปไยถึงแค่เรื่องคุณเรื่องโทษ”
"มนุษย์เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ในวิถีทางของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เท่านั้น เราจะถามไถ่ถึงอิสรภาพได้อย่างไรในเมื่อเราเองก็อยู่ภายใต้กระบวนการการเปลี่ยนแปลงอันไม่รู้จักจบสิ้นของธรรมชาติ การหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนของฤดูกาล การแก่เฒ่าร่วงโรยของร่างกายไปตามอายุขัย หรือการตายลงเมื่อถึงเวลาอันควร ภายใต้ความเป็นไปตามธรรมชาติเหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างไรที่เราจะคิดไปถามไถ่ถึงสภาวะแห่งอิสรภาพ"
Our lives as well as our minds are limited. To try and understand that which is unlimited with the limited is foolish and dangerous. To do this and consider it knowledge is even more foolish and dangerous. Zhuangzi
ชีวิตและจิตใจของเรามีข้อจำกัด การพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ไม่มีขอบเขตจำกัดเป็นสิ่งโง่เขลาและอันตราย การทำเช่นนั้นและถือว่ามันเป็นความรู้ยิ่งเป็นเรื่องโง่เขลาและอันตรายกว่า
จวงจื่อ
“human condition” สภาพของมนุษย์
“theequality of things” and coexist in a harmonious symbiosis. “ความเท่าเทียมกันของสรรพสิ่ง
” และอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ก่อนที่มนุษย์จะถือกําเนิด สรรพสิ่งในธรรมชาติ “no boundaries among themไม่มีขอบเขตระหว่างกัน” และอยู่ในกระบวนการที่ไหลลื่นของการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ข้ามสายพันธุ์
Postmodernism and Classical Chinese Philosophy
⼰所不欲, 勿施 于⼈” (อย่าทําสิ่งที่คุณไม่อยากให้คนอื่นทํากับตัวเอง) (Don’t do things to others that you don’t want done to yourself)
Truths: That is, truths as local, situated in time and space, truths as entities socially and linguistically constructed, and, in short, truths as relative and non-foundational. The term “relative” suggests that truths as such are essentially contextualized, culturally, historically, politically, or economically, existing only in relation to something else rather than standing by
itself—alone. ความจริงเป็นสิ่งเฉพาะที่ ตั้งอยู่ในเวลาและสถานที่ ความจริงเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นทางสังคมและภาษา และพูดสั้นๆ ก็คือ ความจริงเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันและไม่มีรากฐาน คําว่า “สัมพันธ์กัน” บ่งบอกว่าความจริงนั้นโดยพื้นฐานแล้วมีบริบททางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การเมือง หรือเศรษฐกิจ มีอยู่เฉพาะในความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นเท่านั้น แทนที่จะอยู่โดดเดี่ยว
Correlative thinking, I would like to add, is much like relativistic thinking for the reason that under such thinking things are seen as relative to (the opposite) others, examples of which can be seen in the Zhuangzi among other Chinese classics: “When there is life, there is death, and when there is death, there is life. When there is possibility, there is impossibility, and when there is impossibility, there is possibility. Because there is right, there is wrong. Because there is wrong, there is right” (qi-wulun).
การคิดแบบสัมพันธ์กัน ฉันอยากจะเสริมว่า มันก็เหมือนกับการคิดแบบสัมพันธภาพ เพราะว่าภายใต้การคิดแบบนี้ สิ่งต่างๆ จะถูกมองว่าสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ (ที่ตรงกันข้าม) ตัวอย่างที่เห็นได้ในจวงจื่อ ในคัมภีร์จีนอื่นๆ มีว่า “เมื่อมีชีวิต ก็มีความตาย เมื่อตาย ก็มีชีวิต เมื่อมีความเป็นไปได้ ก็มีความเป็นไปไม่ได้ และเมื่อมีความเป็นไปได้ ก็มีความเป็นไปได้ เพราะมีสิ่งที่ถูกต้อง จึงมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงมีสิ่งที่ถูกต้อง”ฉี-อู๋หลุน
This is especially true with Michel Foucault, who has written extensively on language, knowledge, reality, truth, power, etc. Noticeably, Foucault frequently uses the term “discourse” in his work, instead of “language”, the reason being that the former means more for the author, way beyond its linguistic premises. As far as Foucault is concerned, discourse constitutes a social practice, “a form of action, and not a reflection of the world” (Bizzell & Hertzberg, 1990, p. 1126). We can see this clearly in his Archaeology of Knowledge (1972), in which he argues that “to speak is to do something—something other than to express what one thinks” (p. 209). As such (i.e., as social practices, not just groups of signs), discourses “systematically form the objects of which they speak” (p. 49). Foucault’s statementis reminiscent of the Daoist claim that language is “the mother of then thousand things” (Tao Te
Ching 1).
มิเชล ฟูโกต์ ซึ่งได้เขียนเกี่ยวกับภาษา ความรู้ ความเป็นจริง ความจริง อํานาจ ฯลฯ มากมาย เป็นที่สังเกตได้ว่าฟูโกต์มักใช้คําว่า “วาทกรรม” ในงานของเขา แทนที่จะใช้คําว่า “ภาษา” เหตุผลก็คือ คําแรกมีความหมายมากกว่าสําหรับผู้เขียน ซึ่งเกินกว่าหลักการทางภาษาของมัน สําหรับฟูโกต์แล้ว วาทกรรมถือเป็นการปฏิบัติทางสังคม “รูปแบบของการกระทํา ไม่ใช่การสะท้อนของโลก” (Bizzell & Hertzberg, 1990, p. 1126) เราสามารถเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจนในงานของเขา โบราณคดีแห่งความรู้-1972) ซึ่งเขาโต้แย้งว่า “การพูดคือการทําบางอย่าง—บางอย่างที่นอกเหนือไปจากการแสดงสิ่งที่คิด” (หน้า 209) ดังนั้น (กล่าวคือ ในฐานะการปฏิบัติทางสังคม ไม่ใช่แค่กลุ่มสัญลักษณ์) วาทกรรม “สร้างวัตถุที่วาทกรรมพูดถึงอย่างเป็นระบบ” (หน้า 49) คํากล่าวของฟูโกต์ชวนให้นึกถึงคํากล่าวอ้างของลัทธิเต๋าที่ว่าภาษาเป็น “แม่ของสิ่งนับพันในสมัยนั้น” (เต๋าเต๋อจิง1).
Some might cite wu-wei (无为, literally translated as “doing nothing”) as a counter-argument. However, I feel wu-wei is not necessarily about inaction but rather about doing things in a natural way. บางคนอาจอ้างถึงอู๋เหว่ย-วันอาทิตย์,แปลตรงตัวว่า “ไม่ทําอะไรเลย”) เป็นข้อโต้แย้ง อย่างไรก็ตาม ฉันรู้สึกอู๋เหว่ยไม่จําเป็นต้องเป็นเรื่องของการไม่ลงมือทํา แต่เป็นการทําสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ
Wu wei means – in Chinese – non-doing or ‘doing nothing’. It sounds like a pleasant invitation to relax or worse, fall into laziness or apathy. Yet this concept is key to the noblest kind of action according to the philosophy of Daoism – and is at the heart of what it means to follow Dao or The Way. According to the central text of Daoism, the Dao De Jing: ‘The Way never acts yet nothing is left undone’. This is the paradox of wu wei. It doesn’t mean not acting, it means ‘effortless action’ or ‘actionless action’. It means being at peace while engaged in the most frenetic tasks so that one can carry these out with maximum skill and efficiency. Something of the meaning of wu wei is captured when we talk of being ‘in the zone’ – at one with what we are doing, in a state of profound concentration and flow.
คำว่า อู่ เว่ย ในภาษาจีน แปลว่า ไม่ทำอะไรเลย ฟังดูแล้วเหมือนเป็นคำเชิญชวนให้ผ่อนคลาย หรือแย่ไปกว่านั้นคือ ขี้เกียจหรือเฉื่อยชา แต่แนวคิดนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการกระทำอันสูงส่งที่สุดตามปรัชญาของลัทธิเต๋า และเป็นแก่นกลางของความหมายของการทำตามเต๋าหรือแนวทาง ตามข้อความหลักของลัทธิเต๋า คำว่า เต๋า เต๋อ จิง ระบุว่า แนวทางไม่เคยกระทำ แต่ก็ไม่มีอะไรถูกละเลย นี่คือความขัดแย้งของคำว่า อู่ เว่ย ไม่ได้หมายความว่าไม่กระทำ แต่หมายถึง การกระทำที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม หรือ การกระทำที่ไม่ต้องกระทำ หมายความว่ามีความสงบในขณะที่ทำภารกิจที่ต้องใช้ความพยายามมากที่สุด เพื่อให้ทำภารกิจเหล่านี้ได้อย่างมีทักษะและมีประสิทธิภาพสูงสุด ความหมายบางประการของคำว่า อู่ เว่ย จะถูกถ่ายทอดออกมาเมื่อเราพูดถึงการ 'อยู่ในโซน' - เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เรากำลังทำ ในสภาวะที่มีสมาธิและการไหลอย่างล้ำลึก
Wu Wei" (無為) อู๋ เหวย ซึ่งหมายถึง "การไม่ทำ" แต่กลับสามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเป็นธรรมชาติ . Wu Wei ไม่ได้หมายถึง "ไม่ทำอะไรเลย" แต่เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามครรลองของมัน โดยไม่ฝืนหรือพยายามบังคับ ให้เป็นไปตามความต้องการของเรา
nonaction (inaction) refers to withdrawal of human interference on the unfolding of things การไม่มีการกระทํา (การไม่กระทํา) หมายถึงการถอนการแทรกแซงของมนุษย์ต่อการเปิดเผยสิ่งต่างๆ (Zhuang 1968: 191)
‘วูเหว่ย’ สู้กับปัญหาด้วยความพอดีและไม่ฝืนธรรมชาติ
To maintain our store in peace and joy, and let none of it be lost through the senses though channels to them are cleared, to ensure that day and night there are no fissures and it makes a springtime it shares with everything, this is to be a man who at every encounter generates the season in his own heart. (Graham 80)
เพื่อรักษาร้านของเราให้สงบสุขและมีความสุข และไม่ปล่อยให้สิ่งใดสูญหายไปผ่านประสาทสัมผัส แม้ว่าช่องทางที่เข้าถึงประสาทสัมผัสจะถูกเคลียร์ไปแล้วก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรอยร้าวในตอนกลางวันและกลางคืน และให้ฤดูใบไม้ผลิที่แบ่งปันกับทุกสิ่ง นี่คือการเป็นผู้ชายที่สร้างฤดูกาลในหัวใจของเขาเองในการพบปะทุกครั้ง
To make the mind placid and free-flowing without letting it be dissipated in gratification, causing it to have springtime with all things day and night uninterruptedly, this is to receive and engender the seasons in one’s mind. (Mair 48)
การทําจิตให้สงบนิ่งและไหลไปอย่างอิสระ โดยไม่ปล่อยให้ความเพลินเพลินไปจนหมดสิ้นไปทําให้มีฤดูใบไม้ผลิพร้อมกับสรรพสิ่งทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่หยุดยั้ง คือการรับและก่อให้เกิดฤดูกาลในจิตของตน
Is the azure of the sky its true colour? Or is it that the distance in which we are looking is infinite? It never stops flying higher till everything below looks the same as above (heat hazes, dust-storms, the breath which living things blow at each other). (Graham 43)
สีฟ้าของท้องฟ้าเป็นสีที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพราะระยะทางที่เรามองอยู่นั้นไม่มีที่สิ้นสุดท้องฟ้าไม่เคยหยุดบินสูงขึ้นจนกว่าทุกอย่างด้านล่างจะดูเหมือนกับด้านบน (หมอกความร้อน พายุฝุ่น ลมหายใจที่สิ่งมีชีวิตพัดเข้าหากัน)
Is azure the true color of the sky? Or is the sky so distant that its farthest limits can never be reached? When the P’eng looks down at the sky from above, it must appear just the same as when we look up… (Mair 4)
สีฟ้าคือสีที่แท้จริงของท้องฟ้าหรือ? หรือท้องฟ้านั้นอยู่ไกลแสนไกลจนสุดขอบฟ้าไม่สามารถเข้าถึงได้? เมื่อเพ้งมองลงมาจากด้านบน ท้องฟ้าก็คงจะดูเหมือนกันกับตอนที่เรามองขึ้นไป...
Just be yourself. The advice is as maddening as it is inescapable. It’s the default prescription for any tense situation but, when you’re nervous, how can you be yourself? How can you force yourself to relax? How can you try not to try? — John Tierney
เป็นตัวของตัวเอง คำแนะนำนี้น่าหงุดหงิดและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับสถานการณ์ตึงเครียดใดๆ แต่เมื่อคุณรู้สึกประหม่า คุณจะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างไร คุณจะบังคับตัวเองให้ผ่อนคลายได้อย่างไร คุณจะพยายามไม่พยายามได้อย่างไร