หนังสือ "Mindwise: How We Understand What Others Think, Believe, Feel, and Want" โดย Nicholas Epley เป็นหนังสือที่ explores เกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ในการเข้าใจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของผู้อื่น ซึ่ง Epley เรียกความสามารถนี้ว่า "ความฉลาดทางใจ" (Mindwise) หนังสือนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้มนุษย์จะมีความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น แต่เราก็มักจะเข้าใจผิดหรือประเมินผิดเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดหรือรู้สึก
คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เราตระหนักว่าผู้อื่นมีชีวิตภายในที่แตกต่างจากเรา แน่นอนว่าการอ่านใจผู้อื่น (การคิดถึงจิตใจผู้อื่นเพื่อที่จะเข้าใจ) เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย ความวิตกกังวล และความขัดแย้งได้มากมาย ซึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดคือการที่ผู้คนใส่ใจมากพอที่จะพยายามอ่านใจผู้อื่น
What is one to do about mind-reading errors?
โดยทั่วไปแล้ว
วิธีป้องกันที่แนะนำ ได้แก่
การศึกษาพฤติกรรมของผู้คนเพื่อสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขา
หรือการย้ายตัวเองทางจิตใจเพื่อมองโลกผ่านสายตาของพวกเขา
กลยุทธ์เหล่านี้ให้ผลจำกัดหรือส่งผลเสียตามมา ตามที่ Epley กล่าว
เขาสนับสนุนการหาจุดยืนแทน การหาจุดยืนหมายถึงการถามผู้คนเกี่ยวกับความคิด
ความรู้สึก หรือผลลัพธ์ที่ต้องการของพวกเขา
จากนั้นจึงต้องตั้งใจฟังอย่างแท้จริง
โดยไม่มีอัตตาหรือความคิดเห็นที่ติดตัวมา คุณค่าของการพูดคุยกับผู้คน
การทำผิดพลาดในการอ่านใจผู้อื่น (Mind-reading errors) เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าคนอื่นคิดหรือรู้สึกอย่างไรจริงๆ เว้นแต่พวกเขาจะบอกเราโดยตรง Nicholas Epley ในหนังสือ "Mindwise" เสนอแนวทางในการจัดการกับข้อผิดพลาดเหล่านี้ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้นและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
สิ่งที่เราควรทำเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการอ่านใจ
หยุดคาดเดาและเริ่มถาม: แทนที่จะพยายามอ่านใจผู้อื่น ให้ถามคำถามเพื่อทำความเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง
ตัวอย่าง: ถามว่า "คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?" หรือ "คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น?"
ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง: ฟังอย่างตั้งใจและพยายามเข้าใจมุมมองของผู้อื่นโดยไม่นำความคิดของตัวเองมาแทรก
ตัวอย่าง: เมื่อเพื่อนเล่าเรื่อง ให้ฟังโดยไม่ตัดสินหรือคิดแทนพวกเขา
สื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา: บอกความรู้สึกและความคิดของตัวเองอย่างชัดเจน และเชิญชวนให้ผู้อื่นทำแบบเดียวกัน
ตัวอย่าง: บอกว่า "ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณทำแบบนั้น" แทนที่จะหวังว่าคนอื่นจะเข้าใจความรู้สึกของเราโดยไม่ต้องพูด
ตระหนักถึงอคติของตัวเอง: ระวังอย่าให้นำอคติหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการตีความผู้อื่น
ตัวอย่าง: ถ้าเราเคยมีประสบการณ์แย่ๆ กับคนกลุ่มหนึ่ง อย่าให้นำมาสรุปว่าทุกคนในกลุ่มนั้นเป็นแบบเดียวกัน
ยอมรับว่าเราไม่สามารถรู้ทุกอย่าง: จำไว้ว่าการเข้าใจผู้อื่นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการสื่อสาร ไม่ใช่การคาดเดา
ตัวอย่าง: ยอมรับว่าเราไม่สามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนอื่นได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมผ่านการพูดคุย
พัฒนาทักษะการเอาใจใส่ (Empathy): พยายามมองโลกจากมุมมองของผู้อื่น โดยไม่นำอคติหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการตัดสิน
ตัวอย่าง: ลองนึกว่าถ้าเราเป็นคนนั้น เราจะรู้สึกหรือคิดอย่างไร
สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสื่อสาร: ออกแบบสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การจัดพื้นที่สำหรับการพูดคุยหรือการทำงานร่วมกัน
ตัวอย่าง: ในที่ทำงาน จัดพื้นที่สำหรับพักผ่อนหรือพูดคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน
สรุป
การทำผิดพลาดในการอ่านใจผู้อื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่เราสามารถลดความผิดพลาดเหล่านี้ได้โดยการ หยุดคาดเดาและเริ่มถาม ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง สื่อสารอย่างเปิดเผย และพัฒนาทักษะการเอาใจใส่ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
การนำวิธีการทาง Cognitive Behavioural Therapy (CBT) มาใช้เพื่อเพิ่มความเข้าใจคนอื่น เป็นแนวทางที่น่าสนใจและสามารถประยุกต์ได้จากหลักการในหนังสือ "Mindwise" ของ Nicholas Epley โดย CBT มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนหรือไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อลดข้อผิดพลาดในการอ่านใจผู้อื่น (Mind-reading errors) และพัฒนาทักษะการเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น
วิธีการนำ CBT มาใช้เพื่อความเข้าใจคนอื่น
ระบุความคิดอัตโนมัติ (Identify Automatic Thoughts):
เมื่อเราพยายามอ่านใจผู้อื่น เรามักจะมีความคิดอัตโนมัติที่เกิดขึ้นทันที เช่น "เขาคงไม่ชอบฉัน" หรือ "เขาคิดว่าฉันทำผิด"
ฝึกสังเกตความคิดเหล่านี้และถามตัวเองว่า "ความคิดนี้มีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่?"
ตัวอย่าง: ถ้าคิดว่า "เขาคงโกรธฉัน" ให้ถามตัวเองว่า "มีอะไรที่บอกว่าเขาโกรธจริงๆ หรือไม่?"
ท้าทายความคิดที่ผิดเพี้ยน (Challenge Cognitive Distortions):
เรามักจะนำอคติหรือการตีความผิดๆ มาใช้ในการเข้าใจผู้อื่น เช่น การคิดในแง่ลบเกินไป (Negative Bias) หรือการสรุปแบบเหมารวม (Overgeneralization)
ใช้เทคนิค CBT เพื่อท้าทายความคิดเหล่านี้ เช่น การถามตัวเองว่า "มีวิธีอื่นที่ฉันสามารถมองสถานการณ์นี้ได้หรือไม่?"
ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่า "เขาไม่พูดกับฉันเพราะเขาไม่ชอบฉัน" ให้คิดว่า "เขาอาจจะไม่พูดเพราะเขาเหนื่อยหรือมีเรื่องอื่นอยู่ในใจ"
ทดสอบความคิดด้วยหลักฐาน (Test Thoughts with Evidence):
ใช้หลักฐานจริงๆ ในการประเมินความคิดของเรา แทนที่จะคาดเดา
ตัวอย่าง: ถ้าคิดว่า "เขาคงไม่สนใจฉัน" ให้หาหลักฐาน เช่น "เขายังตอบข้อความของฉันและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ"
ฝึกการเอาใจใส่ (Practice Empathy):
ใช้เทคนิค CBT เพื่อพัฒนาทักษะการเอาใจใส่ โดยการลองมองสถานการณ์จากมุมมองของผู้อื่น
ตัวอย่าง: ถามตัวเองว่า "ถ้าฉันเป็นเขา ฉันจะรู้สึกหรือคิดอย่างไร?"
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavioural Experiments):
ทดลองทำพฤติกรรมใหม่ๆ เพื่อทดสอบความคิดของเรา เช่น การสื่อสารอย่างเปิดเผยแทนการคาดเดา
ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่า "เขาคงไม่ชอบไอเดียของฉัน" ให้ลองเสนอไอเดียและถามความคิดเห็นของเขาดู
ใช้การสื่อสารที่ชัดเจน (Clear Communication):
CBT เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์ การสื่อสารอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาช่วยลดความเข้าใจผิด
ตัวอย่าง: บอกความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เช่น "ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณทำแบบนั้น"
ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Active Listening):
ใช้เทคนิคการฟังอย่างตั้งใจเพื่อทำความเข้าใจผู้อื่น โดยไม่นำความคิดของตัวเองมาแทรก
ตัวอย่าง: เมื่อผู้อื่นพูด ให้ฟังโดยไม่ตัดสินและถามคำถามเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม
สรุป
การนำวิธีการทาง CBT มาใช้เพื่อความเข้าใจคนอื่น ช่วยให้เราสามารถลดข้อผิดพลาดในการอ่านใจผู้อื่นและพัฒนาทักษะการเอาใจใส่ได้ โดยการ ระบุความคิดอัตโนมัติ ท้าทายความคิดที่ผิดเพี้ยน ใช้หลักฐานทดสอบความคิด ฝึกการเอาใจใส่ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
สรุปเนื้อหาหลักของหนังสือ
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้อื่น: เรามักคิดว่าเรารู้ว่าคนอื่นคิดหรือรู้สึกอย่างไร แต่ในความเป็นจริง เรามักจะเข้าใจผิดหรือประเมินผิดไปมาก
การอ่านใจผู้อื่นเป็นเรื่องยาก: การอ่านใจผู้อื่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่มีทางเข้าถึงความคิดหรือความรู้สึกของผู้อื่นโดยตรง
การเอาใจใส่ (Empathy) ไม่ได้แม่นยำเสมอไป: แม้การเอาใจใส่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าใจผู้อื่น แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ เพราะเรามักจะนำประสบการณ์และอคติของตัวเองมาใช้ในการตีความผู้อื่น
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมองผู้อื่นในแง่ลบ: เรามักจะคิดว่าคนอื่นเห็นแก่ตัวหรือมีแรงจูงใจเชิงลบมากกว่าที่เป็นจริง
การสื่อสารคือกุญแจสำคัญ: การสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาช่วยลดความเข้าใจผิดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
วิธีนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง: แทนที่จะพยายามอ่านใจผู้อื่น ให้ฝึกฟังอย่างตั้งใจและถามคำถามเพื่อทำความเข้าใจความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น
ตัวอย่าง: ถามคำถามเช่น "คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?" แทนที่จะคิดว่าเรารู้คำตอบอยู่แล้ว
ลดการคาดเดา: อย่าคิดว่าเรารู้ว่าคนอื่นคิดหรือรู้สึกอย่างไร ให้ถามหรือสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเพื่อลดความเข้าใจผิด
ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่าเพื่อนโกรธเรา ให้ถามตรงๆ ว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม?"
พัฒนาทักษะการเอาใจใส่ (Empathy): พยายามมองโลกจากมุมมองของผู้อื่น โดยไม่นำอคติหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการตัดสิน
ตัวอย่าง: ลองนึกว่าถ้าเราเป็นคนนั้น เราจะรู้สึกหรือคิดอย่างไร
สื่อสารอย่างเปิดเผย: ใช้การสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ตัวอย่าง: บอกความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เช่น "ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณทำแบบนั้น"
หลีกเลี่ยงการตัดสินผู้อื่น: อย่าคิดว่าคนอื่นมีแรงจูงใจเชิงลบเสมอไป ให้พยายามมองหาความเข้าใจและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขา
ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่าเพื่อนไม่สนใจเรา ให้คิดว่าพวกเขาอาจมีเรื่องยุ่งหรือไม่สะดวก
สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสื่อสาร: ออกแบบสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การจัดพื้นที่สำหรับการพูดคุยหรือการทำงานร่วมกัน
ตัวอย่าง: ในที่ทำงาน จัดพื้นที่สำหรับพักผ่อนหรือพูดคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน
หนังสือ Mindwise ช่วยให้เราเข้าใจว่าการเข้าใจผู้อื่นเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน และการสื่อสารที่ดีคือกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความเข้าใจผิดในชีวิตประจำวัน
Nicholas Epley เป็นนักจิตวิทยาด้านพฤติกรรมที่ศึกษาเกี่ยวกับการเชื่อมต่อทางสังคมและความสุข ในงานวิจัยของเขา Epley พบว่าการเชื่อมต่อทางสังคมเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จ สุขภาพที่ดี และความหมายในชีวิต เขาเน้นย้ำว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของความเป็นมนุษย์
Aristotle said that “man is by nature a social animal,” but Aristotle never rode the train with me to work each morning.
อริสโตเติลกล่าวว่า “โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์สังคม” แต่ว่าอริสโตเติลไม่เคยโดยสารรถไฟไปทำงานกับฉันทุกเช้าเลย
การละเลยความสัมพันธ์กับผู้อื่นในลักษณะนี้
เท่ากับว่าเราละเลยแหล่งที่มาหลักของความสุขของมนุษย์
นั่นก็คือการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น
“You will become way less concerned with what other people think of you when you realize how seldom they do.” —DAVID FOSTER WALLACE
“คุณจะกังวลน้อยลงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ เมื่อคุณรู้ว่าพวกเขาคิดแบบนั้นไม่บ่อยนัก” —เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลซ
Becoming aware of the power of your own perspective is the very thing that enables a broader perspective. Relax. Others likely won’t notice, and if they do, they likely won’t mind.
การตระหนักรู้ถึงพลังของมุมมองของคุณเองนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้มองเห็นภาพได้กว้างขึ้น ผ่อนคลายเข้าไว้ คนอื่นอาจจะไม่สังเกตเห็น และถ้าสังเกตเห็น พวกเขาก็คงไม่คิดอะไร
Statistics (the numbers) doesn’t reveal the context. Therefore the fundamental problem that plagues all statistics is explanation. When a statistician moves beyond the data, problems ensue.ปัญหาพื้นฐานที่ก่อกวนสถิติทั้งหมดก็คือคำอธิบาย เมื่อนักสถิติขยายขอบเขตออกไปเกินขอบเขตของข้อมูล ปัญหาต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น
To understand human behaviour you need to under social influences:
หากต้องการเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ คุณจำเป็นต้องได้รับอิทธิพลทางสังคม:
มนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์อื่นๆ ที่ชอบทำสิ่งที่ง่ายมากกว่าสิ่งที่ยาก มนุษย์ไม่ได้มีความปรารถนาที่จะทิ้งขยะ แต่ชอบทำสิ่งที่อยู่รอบตัวมากกว่า
ดังนั้นคุณจึงทำสิ่งที่สัตว์สังคมทำเมื่อมันไม่แน่ใจ นั่นคือ คุณมองหาข้อมูลจากผู้อื่นว่าควรจะประพฤติตัวอย่างไร เพื่อดูว่าคนอื่นๆ ดูกังวลเหมือนกับที่คุณรู้สึกหรือไม่
Failing to recognize an emergency makes someone human, not necessarily a callous jerk.การไม่รู้จักเหตุการณ์ฉุกเฉินทำให้ใครบางคนกลายเป็นมนุษย์ ไม่ใช่คนแย่เสมอไป
Rule Of Thumb – If you’re guessing about someone else’s perspective you’re probably wrong.
หากคุณคาดเดาเกี่ยวกับมุมมองของคนอื่น คุณอาจจะเดาผิด
นี่เป็นเพราะเราไม่มีทางเข้าถึงความคิดหรือความรู้สึกของผู้อื่นโดยตรง และเรามักจะนำประสบการณ์ส่วนตัว อคติ หรือการตีความของตัวเองมาใช้ในการคาดเดา ซึ่งมักจะไม่ตรงกับความเป็นจริง
Steve Jobs และนักประดิษฐ์ชื่อดังหลายๆ คนต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี คุณไม่สามารถฟังสิ่งที่คนอื่นพูดได้ คุณสามารถทำได้แค่สังเกตพฤติกรรมของพวกเขาเท่านั้น
คุณสามารถถามผู้อื่นว่าพวกเขากำลังคิด รู้สึก หรือต้องการอะไร ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำเร็จรูปของกระบวนการทางจิต และคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน แต่การถามว่าทำไมพวกเขาถึงคิด รู้สึก หรือต้องการอะไรนั้น เป็นเพียงการคาดเดาในเชิงทฤษฎีเท่านั้น”
เหตุผลที่ผู้คนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาต้องการอะไร พวกเขารู้สึกอย่างไร หรือว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ ก็คือ เราเก่งในการหาเหตุผล แต่แย่มากในการเข้าใจว่าความเชื่อ ความตั้งใจ และทัศนคติของเรานั้นเกิดขึ้นหรือได้รับผลกระทบไปได้อย่างไร
“เมื่อคุณคิดถึงสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับตัวเอง แต่ความจริงกลับเป็นอีกสิ่งหนึ่ง คุณล้มเหลวในการรู้เกี่ยวกับตัวเองอย่างไร คำเดียวคือ การสร้างสรรค์ คุณรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปของสมองอย่างมีสติ – ทัศนคติ ความเชื่อ ความตั้งใจ และความรู้สึก – แต่ไม่รู้ว่าสมองของคุณผ่านกระบวนการใดในการสร้างผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายเหล่านั้น ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถรับรู้ถึงความผิดพลาดของมันได้”
นักการตลาดสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงระหว่างการกระทำและความคิดที่สังเกตได้ของมนุษย์ทุกคนได้ เพียงเพราะใครสักคนยิ้ม เราก็จะคิดว่าพวกเขามีความสุขหรือชอบในสิ่งที่กำลังทำอยู่
“หากคุณเห็นใครสักคนยิ้มให้กับกล่องกระดาษแข็ง คุณคงคิดว่าพวกเขาคิดว่ามันตลก”
แต่นั่นไม่เป็นความจริง โปรดระวังสิ่งนี้ในครั้งต่อไปที่คุณดูโฆษณาหรือพูดคุยกับพนักงานขาย
Your humanity comes from the way you treat others, the idea goes, not the way you behave in isolation. Humanity comes from treating others as human beings not in the biological sense of having a fully human body, but in the psychological sense of having a fully human mind
ความเป็นมนุษย์ของคุณมาจากวิธีที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่น ไม่ใช่จากวิธีที่คุณประพฤติตัวโดดเดี่ยว ความเป็นมนุษย์มาจากการปฏิบัติต่อผู้อื่นในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่ในแง่ชีววิทยาที่ว่ามีร่างกายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ แต่ในแง่จิตวิทยาที่ว่ามีจิตใจเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์”
การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวเป็นองค์ประกอบเดียวที่จำเป็นในการมีความสุขอย่างมาก
We think that others think like us. They don’t.
เราคิดว่าคนอื่นคิดเหมือนกับเรา แต่พวกเขาไม่ได้คิดแบบนั้น
เมื่อคุณรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับใครสักคน ช่องว่างในความรู้ของคุณจะถูกเติมเต็มด้วยข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของบุคคลนั้น แต่เมื่อคุณรู้มากขึ้น ความรู้แบบเหมารวมเหล่านั้นดูเหมือนจะถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยสิ่งที่บุคคลนั้นทำ
ทำไมเราถึงมักจะเข้าใจผิด?
เราใช้ตัวเองเป็นฐานในการคาดเดา: เมื่อเราพยายามเข้าใจผู้อื่น เรามักจะนำประสบการณ์ ความคิด และความรู้สึกของตัวเองมาใช้เป็นฐานในการคาดเดา ซึ่งอาจไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้อื่นคิดหรือรู้สึกจริงๆ
ตัวอย่าง: ถ้าเรารู้สึกเครียดกับงาน เราอาจคิดว่าคนอื่นก็เครียดเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจไม่รู้สึกแบบนั้น
เราไม่สามารถอ่านใจผู้อื่นได้: เราไม่มีทางรู้ว่าคนอื่นคิดหรือรู้สึกอย่างไรจริงๆ เว้นแต่พวกเขาจะบอกเราโดยตรง ดังนั้นการคาดเดาจึงมักจะผิดพลาด
ตัวอย่าง: เราอาจคิดว่าเพื่อนโกรธเราเพราะเขาไม่พูดกับเรา แต่จริงๆ แล้วเขาอาจแค่เหนื่อยหรือมีเรื่องอื่นอยู่ในใจ
อคติและสเตอริโอไทป์: เรามักจะนำอคติหรือสเตอริโอไทป์มาใช้ในการตัดสินผู้อื่น ซึ่งทำให้การคาดเดาของเราไม่ถูกต้อง
ตัวอย่าง: เราอาจคิดว่าคนที่ดูเคร่งขรึมเป็นคนไม่เป็นมิตร แต่จริงๆ แล้วเขาอาจแค่เขินหรือไม่มั่นใจ
วิธีหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด
ถามตรงๆ ดีกว่าคาดเดา: แทนที่จะพยายามอ่านใจผู้อื่น ให้ถามคำถามเพื่อทำความเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง
ตัวอย่าง: แทนที่จะคิดว่าเพื่อนไม่สนใจเรา ให้ถามว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม?" หรือ "คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?"
ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง: ฟังอย่างตั้งใจและพยายามเข้าใจมุมมองของผู้อื่นโดยไม่นำความคิดของตัวเองมาแทรก
ตัวอย่าง: เมื่อเพื่อนเล่าเรื่อง ให้ฟังโดยไม่ตัดสินหรือคิดแทนพวกเขา
ตระหนักถึงอคติของตัวเอง: ระวังอย่าให้นำอคติหรือประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการตีความผู้อื่น
ตัวอย่าง: ถ้าเราเคยมีประสบการณ์แย่ๆ กับคนกลุ่มหนึ่ง อย่าให้นำมาสรุปว่าทุกคนในกลุ่มนั้นเป็นแบบเดียวกัน
ใช้การสื่อสารที่ชัดเจน: บอกความรู้สึกและความคิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และเชิญชวนให้ผู้อื่นทำแบบเดียวกัน
ตัวอย่าง: บอกว่า "ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณทำแบบนั้น" แทนที่จะหวังว่าคนอื่นจะเข้าใจความรู้สึกของเราโดยไม่ต้องพูด
ยอมรับว่าเราไม่สามารถรู้ทุกอย่าง: จำไว้ว่าการเข้าใจผู้อื่นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการสื่อสาร ไม่ใช่การคาดเดา
ตัวอย่าง: ยอมรับว่าเราไม่สามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนอื่นได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมผ่านการพูดคุย
สรุป
แนวคิด "If you’re guessing about someone else’s perspective, you’re probably wrong" ช่วยให้เราตระหนักว่า การคาดเดามุมมองของผู้อื่นมักจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด ดังนั้น แทนที่จะพยายามอ่านใจผู้อื่น เราควรใช้การสื่อสารที่ชัดเจน ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง และยอมรับว่าเราไม่สามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนอื่นได้ การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“The stellar universe is not so difficult of comprehension as the real actions of other people.” —MARCEL PROUST
จักรวาลแห่งดวงดาวนั้นไม่ยากเกินความเข้าใจเท่ากับการกระทำจริงของผู้อื่น
โปรดจำไว้ว่า
– สิ่งที่อาจกระตุ้นให้สองประเทศเริ่มสงครามนิวเคลียร์นั้น
ผู้ไกล่เกลี่ยคนหนึ่งของสหภาพโซเวียตในการเจรจารู้ดีว่า
“ความกลัวซึ่งกันและกัน ข้อมูลที่ผิดพลาด
และความไม่ไว้วางใจสามารถทำให้เกิดสิ่งนี้ได้”
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
หนึ่งในงานวิจัยที่โดดเด่นของ Epley คือการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนมักประเมินค่าความสุขที่ได้จากการเชื่อมต่อกับผู้อื่นต่ำเกินไป ตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยหนึ่ง Epley และทีมงานพบว่าผู้คนมักคิดว่าการพูดคุยกับคนแปลกหน้าในระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่ในความเป็นจริง การพูดคุยดังกล่าวกลับทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขมากขึ้น
แนวทางการพัฒนา
จากผลการวิจัยของ Epley มีแนวทางในการพัฒนาการเชื่อมต่อทางสังคมเพื่อเพิ่มความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี ดังนี้:
สร้างโอกาสในการปฏิสัมพันธ์: กระตุ้นให้ผู้คนมีโอกาสในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น เช่น การพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือคนแปลกหน้าในสถานการณ์ต่าง ๆ
ลดความกลัวในการเข้าสังคม: ช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่าความกลัวหรือความกังวลเกี่ยวกับการเข้าสังคมมักถูกประเมินสูงเกินไป และการปฏิสัมพันธ์มักนำมาซึ่งผลบวกมากกว่าที่คิด
ส่งเสริมการเอาใจใส่และความเข้าใจ: ฝึกทักษะการเอาใจใส่ (empathy) เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความรู้สึกและความคิดของผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ออกแบบสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสื่อสาร: สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น การออกแบบพื้นที่สาธารณะที่เอื้อต่อการพบปะและพูดคุย
งานวิจัยของ Epley ช่วยให้เราเข้าใจว่าการเชื่อมต่อทางสังคมไม่เพียงแต่สำคัญต่อความสุขส่วนตัว แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม การพัฒนาทักษะทางสังคมและสร้างโอกาสในการปฏิสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน
people will look at things from their own perspectives, and we are wrong to simply conclude that another person’s decisions are stupid or evil.
ผู้คนจะมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองของตนเอง และเราคิดผิดหากสรุปเอาเองว่าการตัดสินใจของผู้อื่นเป็นเรื่องโง่เขลาหรือชั่วร้าย
ตามที่Mindwiseเตือนเราไว้ การสรุปของผู้เขียนเองก็เป็นเพียง averages mask huge individual variations.แค่ค่าเฉลี่ยเท่านั้น ซึ่งบดบังความแตกต่างของแต่ละบุคคลได้มาก
จาก
https://salvadorbriggman.com/review-mindwise-nicholas-epley/
https://spsp.org/news-center/spsp-book-review-mindwise-nicholas-epley
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น