วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567

The Seven Principles for Making Marriage Work

 สรุปหลักการทั้งเจ็ดข้อ: The Seven Principles for Making Marriage Work



  1. สร้างแผนที่ความรัก (Love Maps): รู้จักและเข้าใจความต้องการ, ความฝัน, และชีวิตส่วนตัวของคู่รักอย่างลึกซึ้ง การมีแผนที่ความรักที่ดีช่วยให้คู่รักสามารถสนับสนุนกันได้ดียิ่งขึ้น.

  2. สร้างความชื่นชมและการเคารพ (Fondness and Admiration): แสดงความชื่นชมและเคารพคู่รักอย่างสม่ำเสมอ การมีความรู้สึกเชิงบวกต่อกันช่วยสร้างความรักที่มั่นคงและแข็งแรง.

  3. หันหน้าเข้าหากัน (Turn Toward Each Other): ตอบสนองต่อการแสดงออกของความต้องการหรือความรู้สึกของคู่รักอย่างทันท่วงที และแสดงความสนใจและการสนับสนุนในทุกช่วงเวลา.

  4. จัดการกับข้อขัดแย้ง (Manage Conflict): เรียนรู้วิธีจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ เช่น การใช้การแก้ไขปัญหาที่มุ่งเน้นการหาทางออกที่ดี และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำลายเช่นการวิจารณ์หรือการดูหมิ่น.

  5. สร้างความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว (Create Shared Meaning): พัฒนาความเชื่อและความหมายร่วมกันในชีวิต เช่น การตั้งเป้าหมายร่วมกัน หรือการสร้างประสบการณ์ที่สำคัญร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความผูกพัน.

  6. สนับสนุนและเสริมสร้างกัน (Support Each Other’s Dreams): สนับสนุนและกระตุ้นความฝันและเป้าหมายของคู่รัก ให้กำลังใจและช่วยให้คู่รักสามารถบรรลุเป้าหมายส่วนตัวได้.

  7. ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง (Manage Your Relationship's Stress): เรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดและการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงและแข็งแรง.

การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน โดยการมีความเข้าใจและการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความรักในชีวิตคู่.

https://readingraphics.com/book-summary-the-seven-principles-for-making-marriage-work/



The Sound Relationship House” โมเดลของ John Gottman ซึ่งเป็นกรอบการทำงานสำหรับสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแรง โดยเน้นที่ "Positive Perspective" หรือการมองในแง่บวก ในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่มีสุขภาพดี นี่คือสรุปของบทความ:

"The Sound Relationship House: The Positive Perspective"

  1. ความสำคัญของมุมมองเชิงบวก:

    • การมองโลกในแง่บวก: คู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมักจะมองเหตุการณ์ในชีวิตและพฤติกรรมของกันและกันด้วยมุมมองเชิงบวก แม้ในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดหรือข้อขัดแย้ง การมองในแง่บวกช่วยให้คู่รักสามารถมองเห็นเจตนาดีของกันและกันและทำให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น.
  2. การสร้างมุมมองเชิงบวก:

    • การพัฒนาทัศนคติที่เป็นบวก: การฝึกฝนการคิดเชิงบวกเกี่ยวกับคู่รักและความสัมพันธ์ เช่น การยกย่องความสำเร็จของกันและกัน การรับรู้ถึงความพยายามและความดีงามในคู่รัก.
    • การรักษาสมดุล: การมีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับคู่รักและความสัมพันธ์สามารถช่วยให้การจัดการกับความขัดแย้งทำได้ดีขึ้น โดยการรักษาความสมดุลระหว่างการมองเห็นข้อดีและข้อเสีย.
  3. วิธีการสร้างมุมมองเชิงบวก:

    • การฝึกฝนการเห็นข้อดี: หมั่นสังเกตและยกย่องข้อดีและความสำเร็จของคู่รัก เช่น การแสดงความชื่นชมและการให้กำลังใจ.
    • การสนับสนุนและการตอบสนอง: การตอบสนองอย่างเต็มใจต่อความต้องการและความรู้สึกของคู่รักช่วยเสริมสร้างความรู้สึกดีและความมั่นใจในความสัมพันธ์.
  4. การพัฒนา “Positive Perspective” ผ่านการสื่อสาร:

    • การสื่อสารอย่างเปิดเผย: การพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดในวิธีที่ไม่ทำให้เกิดการป้องกันหรือความตึงเครียด ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและการรับรู้ที่ดีต่อกัน.
    • การจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์: การแก้ไขปัญหาและข้อขัดแย้งด้วยวิธีที่ไม่ทำลายความรู้สึกของกันและกัน และมองหาวิธีการที่เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหา.

การมองในแง่บวกและการพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อคู่รักมีความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน การพยายามเห็นสิ่งดีในคู่รักและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพช่วยเสริมสร้างความรู้สึกดีและความผูกพันในความสัมพันธ์.

เมื่อเราดูการค้นพบของ Gottman และผลงานของนักวิทยาศาสตร์ด้านความสัมพันธ์คนอื่นๆ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณสมบัติใดที่มีส่วนช่วยให้ความสัมพันธ์ระยะยาวประสบความสำเร็จ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การวิจัยบอกเราว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คู่ชีวิตที่ดี

จากการศึกษาของ John Gottman ที่ "Love Lab," เขาได้สรุปลักษณะและปัจจัยที่ทำให้คู่ชีวิตที่ดีและมีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงได้ดังนี้:

  1. การสื่อสารอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์: คู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่ดีจะมีการสื่อสารที่ชัดเจนและเปิดเผยต่อกัน พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึก ความคิด และความต้องการอย่างตรงไปตรงมา การสื่อสารที่ดีช่วยลดความเข้าใจผิดและสร้างความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์.

  2. ความเข้าใจและการเคารพกัน: ความเข้าใจในความต้องการและความฝันของกันและกัน รวมถึงการแสดงความเคารพต่อความคิดเห็นและความรู้สึกของคู่รักเป็นสิ่งสำคัญ คู่รักที่ดีมักจะมี "Love Maps" หรือแผนที่ความรักที่รู้จักกันดีและสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้.

  3. การแสดงความชื่นชมและความรัก: การแสดงความชื่นชมและความรักต่อกันเป็นสิ่งที่สำคัญ คู่รักที่ดีมักจะมีการแสดงความรักอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคำชม การแสดงความห่วงใย หรือการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อกัน.

  4. การจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์: คู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงรู้วิธีจัดการกับข้อขัดแย้งโดยไม่ใช้พฤติกรรมทำลาย เช่น การวิจารณ์ การดูหมิ่น การปกป้องตัวเอง หรือการหลีกเลี่ยง การใช้วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และมีการพยายามแก้ไขปัญหาในเชิงบวก.

  5. การทำ “Repair Attempts”: คู่รักที่ดีจะมีการทำ “Repair Attempts” หรือการพยายามซ่อมแซมความขัดแย้งเมื่อเกิดปัญหา การพยายามแก้ไขหรือบรรเทาความตึงเครียดช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นและรักษาความสัมพันธ์ให้แข็งแรง.

  6. การสร้างความผูกพันที่ดี: การสร้างความผูกพันผ่านกิจกรรมร่วมกัน การใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน และการมีประสบการณ์ที่ดีร่วมกันเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความรักและความสัมพันธ์ที่แข็งแรง.

  7. การมี “Positive Sentiment Override”: คู่รักที่ดีมักจะมองเหตุการณ์ในชีวิตด้วยมุมมองเชิงบวก แม้ในช่วงเวลาที่มีความท้าทาย ความคิดเชิงบวกนี้ช่วยให้คู่รักสามารถรับมือกับปัญหาและรักษาความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน.

การศึกษาเหล่านี้ช่วยให้เรามีแนวทางในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและแข็งแรง ซึ่งมีความสำคัญในการสร้างชีวิตคู่ที่มีความสุขและยั่งยืน.

John Gottman ให้ข้อคิดอะไรจาก Love Lab" บ้าง

ChatGPT

John Gottman และทีมงานของเขาได้ทำการศึกษาที่ "Love Lab" ซึ่งเป็นการทดลองที่มีชื่อเสียงในการศึกษาความสัมพันธ์ของคู่รักโดยการสังเกตพฤติกรรมและการสื่อสารของพวกเขาในสถานการณ์ต่างๆ ในห้องทดลอง. จากการศึกษาเหล่านี้, Gottman ได้พัฒนาแนวคิดหลายอย่างที่มีผลกระทบต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความรัก:

  1. "The Four Horsemen": Gottman ระบุพฤติกรรมที่มักทำลายความสัมพันธ์ว่าเป็น “Four Horsemen of the Apocalypse” ซึ่งได้แก่:

    • Criticism: การวิจารณ์ลักษณะนิสัยหรือบุคลิกของคู่รักแทนที่จะเป็นพฤติกรรม.
    • Contempt: การแสดงความดูหมิ่นหรือเหยียดหยามคู่รัก.
    • Defensiveness: การปกป้องตัวเองโดยไม่รับผิดชอบหรือไม่ตอบสนองต่อข้อวิจารณ์.
    • Stonewalling: การถอนตัวหรือหลีกเลี่ยงการสื่อสารในช่วงที่มีความตึงเครียด.
  2. "Love Maps": Gottman พูดถึงความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจ "แผนที่ความรัก" ของคู่รัก ซึ่งหมายถึงการรู้จักความต้องการ, ความฝัน, และประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน. คู่รักที่มีความรู้จักกันดีมักจะมีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงกว่า.

  3. "Positive Sentiment Override": Gottman พบว่าคู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมักจะมองเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตด้วยความคิดเชิงบวกมากกว่าคู่รักที่มีความสัมพันธ์ไม่ดี. การมีความคิดเชิงบวกนี้ช่วยให้คู่รักสามารถรับมือกับความท้าทายและข้อขัดแย้งได้ดีขึ้น.

  4. "Repair Attempts": การทำ “Repair Attempts” หรือการพยายามแก้ไขความขัดแย้งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี. Gottman พบว่าคู่รักที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการพยายามซ่อมแซมความขัดแย้งในแบบที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น.

  5. "Fondness and Admiration": การมีความชื่นชมและเคารพกันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของความสัมพันธ์ที่แข็งแรง. คู่รักที่มีความเคารพและความชื่นชมต่อกันมักจะมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและมีความสุข.

การวิจัยของ Gottman ช่วยให้เราเข้าใจว่าความรักและความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ แต่เป็นเรื่องของพฤติกรรมและทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนและการสื่อสารที่ดี.

ไม่มีความคิดเห็น: