วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567

จิตวิทยาสังคม: ความรู้ฉบับพกพา


 จิตวิทยาสังคม: ความรู้ฉบับพกพา โดย ริชาร์ด คริสป์ จะพาคุณเดินทางไปสำรวจ “จักรวาลทางสังคม” และผู้คนที่รายล้อมอยู่ในชีวิตของเรา เริ่มจากทำความรู้จักการทำงานของ “จิตสังคม” แบบเข้าใจง่าย ปูพื้นฐานทฤษฎีสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเจตคติ การกระทำ ปฏิสัมพันธ์ และอุดมการณ์ความเชื่อของมนุษย์ พร้อมตัวอย่างงานวิจัยที่เชื่อมโยงกับมิติต่างๆ ในชีวิต เช่น ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูก “อันเฟรนด์” การเลือกผู้นำที่เหมาะสม การวางกลยุทธ์และนโยบายเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนยอมรับความแตกต่าง หรือการสร้างสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนชั่วชีวิต

เมื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “โลก” เราจึงควรพกพาแว่นตาของ “จิตวิทยาสังคม” ไว้ในฐานะเครื่องมือสำคัญในการมองโลก

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คนคือพวกเขามักจะไม่พูดสิ่งที่พวกเขาคิดอย่างชัดเจน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น หรือเมื่อผู้อื่นจะพิจารณาคำตอบของพวกเขา) วิธีการเวลาตอบสนองช่วยให้นักวิจัยสามารถประเมินทัศนคติที่แท้จริงและแฝงเร้นของผู้คน ได้โดยปราศจากพันธนาการของบรรทัดฐานทางสังคมและการกำกับดูแลตนเอง  social norms and self-regulation.

Social cognition  การรับรู้ทางสังคมจึงเกี่ยวกับวิธีที่เราเข้ารหัส วิเคราะห์ จัดเก็บ และใช้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนที่เราพบและความสัมพันธ์ที่กำหนดความเป็นเรา เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตที่ 'เริ่ม' ทันทีที่เราสื่อสารกับคนอื่น

Social Mind 

Fritz Heider เป็นนักจิตวิทยาสังคมที่มีอิทธิพลในการพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับ "Social Mind" หรือ "จิตใจทางสังคม" ซึ่งเน้นการเข้าใจว่าผู้คนทำความเข้าใจและตีความพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างไรในบริบททางสังคม ทฤษฎีของ Heider เน้นที่วิธีที่บุคคลอธิบายพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการทำความเข้าใจความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน

เขามุ่งเป้าที่จะสร้างหลักการชี้นำพื้นฐานที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมทางสังคม แนวคิดก็คือในขณะที่คน เช่นเดียวกับสัตว์ มีลำดับชั้นของความต้องการในการเอาชีวิตรอด (โดยความต้องการพื้นฐาน เช่น อาหาร การนอนหลับ และเพศ เป็นอันดับแรกเราก็มีความต้องการทางญาณวิทยาและการดำรงอยู่ที่จำเป็นเช่นกัน จิตใจที่ซับซ้อนของเราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร และโลกทำงานอย่างไร เพื่อที่จะอยู่รอด

มุมมองของไฮเดอร์คือเราไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์โลกของเราเฉยๆ แต่เราเข้ารหัส วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลทางสังคมอยู่ตลอดเวลา เพราะมันช่วยให้เราตอบสนองความต้องการพื้นฐานสองประการ ประการแรกคือความต้องการที่จะเข้าใจโลก และประการที่สองคือพยายามควบคุมโลก กล่าวอีกนัยหนึ่ง พฤติกรรมของมนุษย์ถูกขับเคลื่อนโดยความจำเป็นในการทำนายและควบคุม

การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของโลกนั้นตามหลักการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการทำนายได้ หากเราสามารถเข้าใจโลกและทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นภายในโลกได้ เราก็สามารถควบคุมโลกได้ และถ้าเราสามารถควบคุมมันได้ เราก็สามารถอยู่รอดได้ (และถ่ายทอดยีนของเรา) ดังนั้น สำหรับบรรพบุรุษที่เป็นมนุษย์ของเรา ถือเป็นการปรับตัวที่จะเข้าใจว่าเสือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ในขณะที่แพะเหมาะที่จะเลี้ยงฝูง ประเด็นก็คือหลักการเหล่านี้นำไปใช้กับความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย การเรียนรู้ว่าคนใดและ 'ชนเผ่า' ใดที่ก้าวร้าว และควรหลีกเลี่ยง จะทำให้บรรพบุรุษของเราปลอดภัย มั่นคง และสามารถเจริญเติบโตได้

เราต้องการทำความเข้าใจโลก และพยายามเข้ารหัส วิเคราะห์ และจำแนกการเคลื่อนไหวของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา การค้นหาว่าจิตใจทางสังคมทำอย่างไรเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนางานวิจัยสาขาจิตวิทยาสังคมที่สำคัญ นั่นก็คือ ทฤษฎีการระบุแหล่งที่มา attribution theory. การระบุแหล่งที่มาก็เป็นทฤษฎีในชีวิตประจำวันเหมือนที่มีอยู่ เราทำสิ่งนี้ตลอดเวลา แม้ว่าจะพยายามค้นหาความต้องการ ความปรารถนา และแรงผลักดันของเราเองก็ตาม

การระบุแหล่งที่มาจึงเป็นส่วนสำคัญของการรับรู้ทางสังคม วิธีที่เราระบุสาเหตุและผลกระทบในจักรวาลทางสังคมของเรา อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการคำนวณเหตุและผลในจักรวาลสังคมของเราเมื่อเปรียบเทียบกับจักรวาลทางกายภาพ วัตถุทางกายภาพจะไม่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ (เว้นแต่ว่าเราจะเข้าสู่วิชาฟิสิกส์ควอนตัม แต่ตอนนี้เรายังคงใช้กลศาสตร์นิวตันขั้นพื้นฐานต่อไป!) 

พฤติกรรมของบุคคลไม่สามารถอธิบายได้ด้วยบุคลิกภาพ แรงผลักดัน หรือแรงจูงใจเพียงอย่างเดียว เราต้องคำนึงถึงสถานการณ์ด้วย

ผู้คนต่างพยายามทำความเข้าใจโลกรอบตัว เพื่อสร้างแบบจำลองจักรวาลทางสังคมที่ช่วยให้พวกเขาสามารถคาดเดาได้ว่าผู้อื่นจะประพฤติตนอย่างไร และทำให้พวกเขาตระหนักและบรรลุเป้าหมายและแรงบันดาลใจของตนเองได้

หลักการหลักของทฤษฎีของ Fritz Heider เกี่ยวกับ Social Mind มีดังนี้:

  1. ทฤษฎีการอธิบายพฤติกรรม (Attribution Theory):

    • การอธิบายพฤติกรรม: Heider แนะนำว่าผู้คนพยายามเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นโดยการจัดประเภทสาเหตุเป็นสองประเภทหลัก คือ ปัจจัยภายใน (เช่น บุคลิกภาพ ทัศนคติ) และ ปัจจัยภายนอก (เช่น สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม) การระบุแหล่งที่มาคือสิ่งที่เราทำเพื่อให้เข้าใจโลก นี่คือวิธีที่เราอนุมานเกี่ยวกับสาเหตุของพฤติกรรมของผู้คน เราระบุแหล่งที่มาทุกวัน ซึ่งเป็นวิธีการยืนยันสาเหตุและผลกระทบในจักรวาลทางสังคมของเรา ลองนึกภาพคุณเดินไปตามทางเดินในที่ทำงานแล้วเห็นเพื่อนสองคนทะเลาะกัน คุณมีความคิดอะไรบ้าง? คุณอาจไม่ได้ดูว่าพวกเขากำลังสวมอะไรอยู่ คุณอาจกำลังมีส่วนร่วมในกระบวนการระบุแหล่งที่มา เพื่อพยายามหาสาเหตุที่พวกเขาทะเลาะกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง you’re trying to attribute a cause to the effect คุณกำลังพยายามระบุแหล่งที่มาของผล (สิ่งที่ทำให้เกิดการโต้เถียง(what has caused the arguing).

    • การจัดประเภทของสาเหตุ: เขาเสนอว่าคนจะพยายามอธิบายพฤติกรรมของผู้อื่นโดยการพิจารณาว่าพฤติกรรมนั้นเกิดจากปัจจัยภายในที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลหรือปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์
  2. ทฤษฎีการจัดการความผิด (Balance Theory):

    • ความสมดุล (Balance): Heider พัฒนาทฤษฎีที่อธิบายว่าเมื่อบุคคลมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นในลักษณะที่สมดุล พวกเขาจะรู้สึกสบายและพอใจ แต่ถ้ามีความไม่สมดุลในความสัมพันธ์นั้น เช่น ความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน อาจทำให้เกิดความเครียดและแรงกดดัน
    • การปรับตัวเพื่อความสมดุล: คนจะพยายามปรับความสัมพันธ์และความคิดเห็นเพื่อคืนความสมดุล เช่น การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นหรือความสัมพันธ์เมื่อรู้สึกว่ามีความขัดแย้ง
  3. การประเมินค่าตนเองและการประเมินค่าผู้อื่น:

    • การประเมินค่าตนเอง: Heider อธิบายว่าผู้คนมักมีแนวโน้มที่จะมองพฤติกรรมของตนเองในลักษณะที่เป็นบวก เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเกี่ยวกับตนเอง
    • การประเมินค่าผู้อื่น: ผู้คนอาจมีแนวโน้มที่จะมองพฤติกรรมของผู้อื่นในลักษณะที่ไม่ค่อยดีเท่าที่มองพฤติกรรมของตนเอง
  4. ผลกระทบของความเชื่อและอคติ:

    • ความเชื่อที่มีอิทธิพล: Heider กล่าวว่าความเชื่อและทัศนคติของบุคคลมีผลต่อวิธีที่พวกเขาอธิบายพฤติกรรมและจัดการกับข้อมูลทางสังคม
    • อคติและการเบี่ยงเบน: บุคคลอาจมีอคติหรือเบี่ยงเบนในการตีความพฤติกรรมของผู้อื่น ซึ่งอาจทำให้การตัดสินใจและการรับรู้เกิดความผิดพลาด

ตัวอย่างการนำทฤษฎีของ Heider ไปใช้:

  • การจัดการความขัดแย้ง: การใช้ทฤษฎีการจัดการความผิด (Balance Theory) เพื่อแก้ไขความขัดแย้งในความสัมพันธ์ โดยการทำให้ความคิดเห็นและความรู้สึกของบุคคลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  • การทำความเข้าใจพฤติกรรมของบุคคล: การใช้ Attribution Theory เพื่อทำความเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของบุคคล เช่น การพยายามอธิบายว่าทำไมคนหนึ่งถึงทำบางสิ่งบางอย่าง โดยพิจารณาปัจจัยภายในและภายนอก

ทฤษฎีของ Fritz Heider เกี่ยวกับ Social Mind ช่วยให้เราเข้าใจวิธีที่เราประเมินและอธิบายพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นในบริบททางสังคม รวมถึงวิธีที่ความเชื่อและความคิดเห็นมีผลต่อการตีความและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม.

Description

  • ทำไมเราถึงมีพฤติกรรมดีใจสุดขีดเมื่อทีมฟุตบอลที่เชียร์ได้แชมป์? เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่อง "การมีส่วนร่วมทางสังคม" หรือ "in-group favoritism" และ "self-esteem."
    1. การมีส่วนร่วมทางสังคม: เมื่อเราเชียร์ทีมฟุตบอล ทีมที่เราสนับสนุนกลายเป็น "in-group" หรือกลุ่มที่เรารู้สึกเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งด้วย พฤติกรรมและความสำเร็จของกลุ่มนี้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของเราเกี่ยวกับตัวเองและการรับรู้ของเราในสังคม ความสำเร็จของทีมที่เราเชียร์ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นและมีความภูมิใจในกลุ่มที่เรามีส่วนร่วม

    2. การเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-esteem): ความสำเร็จของทีมที่เรารักและสนับสนุนสามารถส่งผลดีต่อความรู้สึกของเราเอง เช่น การที่ทีมชนะอาจทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญและมีค่า เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จนั้นด้วย การดีใจสุดขีดนี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความภูมิใจในตัวเองที่เชื่อมโยงกับความสำเร็จของทีม

    ดังนั้น ความรู้สึกดีใจสุดขีดที่เรามีเมื่อทีมที่เราชื่นชอบชนะจึงเป็นผลลัพธ์จากความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและการเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองจากความสำเร็จของกลุ่มที่เรารัก.

  • เหตุใดเราจึงยังพยายามยื้อความสัมพันธ์ แม้จะไม่มีความสุขแล้วก็ตาม? สามารถอธิบายได้ด้วยหลายปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคม:
    1. ความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Attachment): คนเรามักจะพัฒนาความผูกพันทางอารมณ์กับคู่รักหรือความสัมพันธ์ที่มีมานาน ซึ่งทำให้เรารู้สึกยากที่จะปล่อยวาง แม้จะมีปัญหาและความไม่สุขในความสัมพันธ์นั้น การตัดสัมพันธ์อาจรู้สึกเหมือนการสูญเสียสิ่งที่มีค่าและความปลอดภัยที่เราคุ้นเคย

    2. ความกลัวการเปลี่ยนแปลง (Fear of Change): การเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การยุติความสัมพันธ์สามารถทำให้เกิดความรู้สึกไม่แน่นอนและวิตกกังวล หลายคนกลัวการต้องเริ่มต้นใหม่และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่อาจเป็นสิ่งที่ท้าทาย

    3. การลงทุนที่มีอยู่ (Investment): คนเรามักจะลงทุนในความสัมพันธ์ด้วยเวลา, พลังงาน, และอารมณ์ เมื่อมีการลงทุนเหล่านี้มากขึ้น เรามักจะรู้สึกว่าต้องรักษาความสัมพันธ์ไว้เพื่อไม่ให้การลงทุนทั้งหมดนั้นสูญเปล่า

    4. ความคาดหวังทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Expectations): บางครั้งความคาดหวังจากสังคมหรือวัฒนธรรม เช่น ความเชื่อในเรื่องการรักษาความสัมพันธ์หรือการเป็นคู่ชีวิตที่มั่นคง สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการยื้อความสัมพันธ์ แม้ว่าเราจะไม่พอใจก็ตาม

    5. การกลัวการถูกตัดสิน (Fear of Judgment): เราอาจกังวลเกี่ยวกับการถูกตัดสินจากคนอื่น หากเรายุติความสัมพันธ์ อาจกลัวว่าคนอื่นจะมองเราในแง่ลบหรือวิจารณ์การตัดสินใจของเรา

    การพยายามยื้อความสัมพันธ์ในสถานการณ์ที่ไม่มีความสุขเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผสมผสานของปัจจัยทางอารมณ์, จิตวิทยา, และสังคมที่มีผลต่อการตัดสินใจของเรา.

  • ทำไมผู้นำแบบประชาธิปไตยจึงเป็นที่นิยมชมชอบมากกว่าแบบอื่น? การที่ผู้นำแบบประชาธิปไตย (democratic leaders) เป็นที่นิยมชมชอบมากกว่าผู้นำในรูปแบบอื่น ๆ สามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคม:
    1. การมีส่วนร่วมและความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Involvement and Ownership): ผู้นำแบบประชาธิปไตยมักจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่มในการตัดสินใจ ซึ่งช่วยให้สมาชิกรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและนโยบายของกลุ่ม การมีส่วนร่วมนี้ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและความผูกพันที่เพิ่มขึ้น

    2. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี (Building Positive Relationships): ผู้นำแบบประชาธิปไตยมักจะให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีภายในกลุ่ม การฟังความคิดเห็นและการให้ความเคารพต่อความคิดของผู้อื่นช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและเปิดเผย ซึ่งทำให้สมาชิกในกลุ่มรู้สึกได้รับการสนับสนุนและให้ความร่วมมือมากขึ้น

    3. การเสริมสร้างความพึงพอใจ (Increased Satisfaction): การที่สมาชิกกลุ่มมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมักทำให้พวกเขารู้สึกพอใจและมีความสุขกับการทำงานร่วมกัน เมื่อพวกเขารู้สึกว่ามีการตัดสินใจที่โปร่งใสและสามารถแสดงความเห็นได้ พวกเขามักจะรู้สึกมีคุณค่าและมีกำลังใจในการทำงาน

    4. การกระจายความรับผิดชอบ (Shared Responsibility): ผู้นำแบบประชาธิปไตยมักจะมุ่งเน้นการกระจายความรับผิดชอบและอำนาจ ซึ่งช่วยลดความเครียดและความกดดันที่ผู้นำคนเดียวอาจต้องเผชิญ การแบ่งปันภาระหน้าที่ช่วยให้สมาชิกรู้สึกมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

    5. การส่งเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรม (Promotion of Equality and Fairness): ผู้นำแบบประชาธิปไตยมักจะส่งเสริมความเท่าเทียมและความยุติธรรมภายในกลุ่ม ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความเคารพจากสมาชิก กลุ่มที่รู้สึกว่ามีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมมักจะมีการร่วมมือและสนับสนุนผู้นำมากขึ้น

    การที่ผู้นำแบบประชาธิปไตยได้รับความนิยมชมชอบมากกว่าผู้นำในรูปแบบอื่น ๆ เกิดจากการที่พวกเขาสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนความร่วมมือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และความพอใจในกลุ่ม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความสำเร็จและความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ.

  • อะไรคือต้นตอของการแบ่งแยกและมองว่าฝ่ายตรงข้าม “ต่ำกว่ามนุษย์”? มีต้นตอที่ซับซ้อนและสามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคม ดังนี้:
    1. กลุ่มอัตลักษณ์ (Social Identity Theory): ทฤษฎีนี้เสนอว่า คนเรามักจะสร้างอัตลักษณ์ของตนเองผ่านการเป็นสมาชิกของกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์, ศาสนา, หรือองค์กร เมื่อเราแยกแยะตัวเราออกจากกลุ่มอื่น ๆ เรามักจะมีแนวโน้มที่จะมองกลุ่มของเราว่ามีคุณค่าหรือเหนือกว่า และมองกลุ่มที่แตกต่างออกไปในแง่ลบหรือด้อยกว่า การแบ่งแยกนี้เกิดขึ้นจากความต้องการในการยกระดับสถานะของกลุ่มของเราเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจในตัวเอง

    2. การแบ่งแยกกลุ่ม (In-group vs. Out-group): ความรู้สึกว่า “เรา” และ “เขา” ต่างกันทำให้เกิดความลำเอียงในเชิงบวกต่อกลุ่มของเราเอง (in-group favoritism) และความลำเอียงในเชิงลบต่อกลุ่มอื่น (out-group derogation) การที่เรามองกลุ่มอื่น ๆ ว่าต่ำกว่าหรือไม่เหมาะสมเป็นผลจากความลำเอียงนี้ ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาอคติหรือการเลือกปฏิบัติ

    3. การสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ (Stereotyping): การสร้างภาพลักษณ์เชิงลบเกี่ยวกับกลุ่มอื่น ๆ สามารถทำให้เรามองพวกเขาในแง่ที่ด้อยกว่าหรือไม่เหมาะสม การสร้างภาพลักษณ์เชิงลบนี้มักเป็นผลจากการรวมกลุ่มที่ไม่ดีในอดีต หรือการรับข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งอาจถูกส่งต่อและเสริมสร้างโดยสื่อหรือประสบการณ์ส่วนตัว

    4. การขาดการมีปฏิสัมพันธ์ (Lack of Intergroup Contact): เมื่อกลุ่มต่าง ๆ ไม่มีการมีปฏิสัมพันธ์กันหรือไม่รู้จักกันดี การขาดความเข้าใจและการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกลุ่มอื่น ๆ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและอคติ การมีปฏิสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันสามารถช่วยลดอคติและสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้น

    5. การรักษาสถานะทางสังคม (Social Status Maintenance): การมองฝ่ายตรงข้ามเป็น “ต่ำกว่ามนุษย์” อาจมีจุดประสงค์ในการรักษาหรือยกระดับสถานะของกลุ่มตนเอง การที่กลุ่มหนึ่งเห็นว่าตนเองมีสถานะที่สูงกว่ากลุ่มอื่นสามารถช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าตนมีความสำคัญและมีคุณค่า

    การมองฝ่ายตรงข้ามเป็น “ต่ำกว่ามนุษย์” จึงเป็นผลจากกระบวนการทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์กลุ่ม, การแบ่งแยกกลุ่ม, การสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ, การขาดการมีปฏิสัมพันธ์, และการรักษาสถานะทางสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำให้เกิดความแตกแยกและความไม่เท่าเทียมในสังคม.

  • เราจะลดทอนอคติและหันมาสร้าง “ความสัมพันธ์เชิงบวก” ได้อย่างไร? หลักการเหล่านี้รวมถึง:
    1. การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม (Intergroup Contact): การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มที่แตกต่างกันอย่างมีความหมายและเป็นระบบสามารถช่วยลดอคติได้ โดยการมีปฏิสัมพันธ์นี้ควรมีลักษณะเป็นมิตรและไม่เป็นทางการ เช่น การร่วมมือในโครงการร่วมกัน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีจุดประสงค์เดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นสามารถช่วยให้เราเข้าใจและเห็นคุณค่าในความแตกต่างของกันและกัน

    2. การทำงานร่วมกัน (Cooperative Goals): การทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกันสามารถลดอคติและส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวก เมื่อกลุ่มต่าง ๆ มีเป้าหมายร่วมกันและต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น การร่วมมือกันจะช่วยลดความแตกแยกและเสริมสร้างความเข้าใจ

    3. การสร้างโอกาสในการเรียนรู้และเข้าใจ (Opportunities for Learning and Understanding): การส่งเสริมให้มีโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม, ประสบการณ์, และมุมมองของกลุ่มอื่น ๆ สามารถช่วยลดอคติได้ การศึกษาและการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องสามารถทำให้เราเห็นกลุ่มอื่นในแง่ดีขึ้นและลดความรู้สึกที่ไม่เข้าใจหรือกลัว

    4. การพัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน (Fostering a Shared Identity): การสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกันในระดับที่ใหญ่กว่า เช่น การสร้างอัตลักษณ์ร่วมที่สามารถรวมกลุ่มต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน สามารถช่วยลดความแตกแยก ตัวอย่างเช่น การสร้างอัตลักษณ์ที่เน้นความเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติร่วมกันสามารถช่วยเชื่อมโยงกลุ่มที่แตกต่าง

    5. การส่งเสริมความเท่าเทียม (Promoting Equality): การส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกระดับของสังคม เช่น การสร้างโอกาสที่เท่าเทียมในการศึกษา, การทำงาน, และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ สามารถช่วยลดอคติได้ เพราะความเท่าเทียมช่วยลดความรู้สึกด้อยค่าและส่งเสริมการเคารพในความแตกต่าง

    6. การใช้กลยุทธ์การให้ความรู้ (Educational Interventions): การให้การศึกษาเกี่ยวกับอคติ, การเลือกปฏิบัติ, และความหลากหลายสามารถช่วยลดอคติ การฝึกอบรมและการให้ความรู้เกี่ยวกับการตระหนักรู้เกี่ยวกับอคติที่มีอยู่และการป้องกันสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรม

    การใช้กลยุทธ์เหล่านี้สามารถช่วยลดอคติและส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกในสังคม โดยการเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี, การทำงานร่วมกัน, การเรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน, การสร้างอัตลักษณ์ร่วม, การส่งเสริมความเท่าเทียม, และการให้ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลาย.

จิตวิทยาสังคม: ความรู้ฉบับพกพา โดย ริชาร์ด คริสป์ จะพาคุณเดินทางไปสำรวจ “จักรวาลทางสังคม” และผู้คนที่รายล้อมอยู่ในชีวิตของเรา เริ่มจากทำความรู้จักการทำงานของ “จิตสังคม” แบบเข้าใจง่าย ปูพื้นฐานทฤษฎีสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเจตคติ การกระทำ ปฏิสัมพันธ์ และอุดมการณ์ความเชื่อของมนุษย์ พร้อมตัวอย่างงานวิจัยที่เชื่อมโยงกับมิติต่างๆ ในชีวิต เช่น ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูก “อันเฟรนด์” การเลือกผู้นำที่เหมาะสม การวางกลยุทธ์และนโยบายเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนยอมรับความแตกต่าง หรือการสร้างสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนชั่วชีวิต

 

เมื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “โลก” เราจึงควรพกพาแว่นตาของ “จิตวิทยาสังคม” ไว้ในฐานะเครื่องมือสำคัญในการมองโลก นี่คือเสาหลักแห่งสาขาจิตวิทยาร่วมสมัยที่สะท้อนสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคล-สังคมได้อย่างกระจ่างชัด ซึ่งจะนำไปสู่คำตอบว่าเราคือใคร เรามีบทบาทแบบใด และเราจะร่วมกันรับมือกับอุปสรรคและปัญหาทั้งหลายได้อย่างไรในอนาคต

Social Psychology: A Very Short Introduction โดย Richard J. Crisp เป็นหนังสือที่ให้ภาพรวมของจิตวิทยาสังคมในรูปแบบที่กระชับและเข้าถึงได้ง่าย โดยเน้นไปที่การอธิบายหลักการสำคัญและการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง หนังสือเล่มนี้มีการครอบคลุมหัวข้อสำคัญในจิตวิทยาสังคม เช่น การรับรู้ทางสังคม, ความคิดและทัศนคติ, การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล, และผลกระทบของกลุ่ม

จิตวิทยาสังคมเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา และวิธีที่พวกเขาส่งผลกระทบต่อ "จักรวาลส่วนบุคคล" ของเรา กำหนดว่าเราเป็นใคร และกำหนดพฤติกรรม ความเชื่อ ทัศนคติ และอุดมการณ์ของเรา ในยุคที่เราสร้างแผนที่จีโนมมนุษย์และสำรวจโลกทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่ การศึกษาพฤติกรรมของผู้คนถือเป็นหนึ่งในขอบเขตความพยายามทางวิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด

ในบทนำสั้นๆ นี้ Richard Crisp บอกเล่าเรื่องราวของจิตวิทยาสังคม ประวัติศาสตร์ แนวคิด และทฤษฎีที่สำคัญของจิตวิทยาสังคม เมื่อพูดถึงการศึกษาแบบคลาสสิกที่กำหนดระเบียบวินัย Crisp จะแนะนำนักคิดคนสำคัญของจิตวิทยาสังคม และแสดงให้เห็นว่าประวัติส่วนตัวของพวกเขากระตุ้นให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่เชื่อมโยงผู้คนกับผู้คน และสังคมที่เราอาศัยอยู่ Crisp แสดงให้เห็นว่าจิตวิทยาสังคมยังคงมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับชีวิตประจำวัน โดยนำเราตั้งแต่แนวความคิดแรกๆ ไปจนถึงการพัฒนาที่ล้ำสมัยที่สุด จากทัศนคติสู่การดึงดูด อคติสู่การโน้มน้าวใจ สุขภาพสู่ความสุข - จิตวิทยาสังคมให้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก และช่วยให้เราจัดการกับปัญหาที่กำหนดของศตวรรษที่ 21

Personal Universe

  • ความหมาย: หมายถึงมุมมองและประสบการณ์ส่วนบุคคลของแต่ละคน ซึ่งเป็นวิธีที่บุคคลตีความและให้ความหมายต่อโลกและสถานการณ์รอบตัวตามความเชื่อ, ทัศนคติ, และประสบการณ์ส่วนตัวของตนเอง
  • การมองเห็น: Personal universe เน้นที่วิธีการที่บุคคลสร้างความหมายจากประสบการณ์ของตนเองและวิธีที่ความเชื่อและทัศนคติมีผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของพวกเขา

Social Universe

  • ความหมาย: หมายถึงระบบและเครือข่ายของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่บุคคลเป็นส่วนหนึ่ง เช่น กลุ่มเพื่อน, ครอบครัว, และองค์กร ซึ่งรวมถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมและความคิดของบุคคล
  • การมองเห็น: Social universe เน้นที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่ม, อิทธิพลของกลุ่ม, และบทบาทของโครงสร้างสังคมในพฤติกรรมและความคิดของบุคคล

สรุปเนื้อหาหลัก:

"ทุกอย่างว่าด้วยตัวเรา" หรือเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราในบริบทของจิตวิทยาสังคมครอบคลุมถึงหลายแง่มุมของการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้และพฤติกรรมของเราในสังคม ดังนี้:

  1. การรับรู้ตัวเอง (Self-Perception): การรับรู้ตัวเองหมายถึงวิธีที่เรามองและเข้าใจตัวเองในแง่ต่าง ๆ เช่น การประเมินค่านิยม, ความสามารถ, และบุคลิกภาพของเรา การรับรู้ตัวเองมีผลต่อการสร้างอัตลักษณ์และความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงความรู้สึกของเราเกี่ยวกับตัวเองและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

  2. อัตลักษณ์ทางสังคม (Social Identity): อัตลักษณ์ทางสังคมคือวิธีที่เราระบุและเชื่อมโยงตัวเองกับกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์, ศาสนา, หรือองค์กรที่เราเป็นสมาชิก การมีอัตลักษณ์ทางสังคมช่วยให้เราเข้าใจตำแหน่งของเราในสังคมและช่วยสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

  3. การมองเห็นตัวเอง (Self-Concept): Self-concept คือภาพรวมของการรับรู้และความคิดเห็นที่เรามีต่อตัวเอง ซึ่งรวมถึงความรู้สึกของเราเกี่ยวกับความสามารถ, บุคลิกภาพ, และคุณค่าของเรา Self-concept มีผลต่อพฤติกรรมของเราและวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

  4. ความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem): ความภาคภูมิใจในตัวเองคือความรู้สึกที่เรามีต่อคุณค่าของตนเอง ความภาคภูมิใจในตัวเองสามารถมีผลต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของเรา เช่น การตัดสินใจ, การรับมือกับความล้มเหลว, และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

  5. ความแตกต่างระหว่างตัวตนที่แท้จริงและตัวตนที่ต้องการ (Actual vs. Ideal Self): ความแตกต่างระหว่างตัวตนที่แท้จริง (actual self) และตัวตนที่ต้องการ (ideal self) อาจส่งผลต่อความรู้สึกของความไม่พอใจหรือความเครียด หากเรารู้สึกว่ามีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เราเป็นอยู่จริง ๆ กับสิ่งที่เราต้องการเป็น การลดความแตกต่างนี้สามารถช่วยเพิ่มความพอใจในตัวเอง

  6. การปกป้องอัตลักษณ์ (Self-Protection): การปกป้องอัตลักษณ์หมายถึงกลยุทธ์ที่เราใช้เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง เช่น การปฏิเสธข้อผิดพลาด, การให้เหตุผลเพื่ออธิบายพฤติกรรมของเรา, หรือการมองข้ามข้อบกพร่องของตัวเอง การปกป้องอัตลักษณ์ช่วยรักษาความรู้สึกมั่นคงและความภาคภูมิใจในตัวเอง

  7. การประเมินตนเอง (Self-Evaluation): การประเมินตนเองหมายถึงการที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับมาตรฐานหรือเป้าหมายที่เราตั้งไว้ การประเมินตนเองอาจมีผลต่อความรู้สึกของความสำเร็จหรือความล้มเหลว และส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา

การศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเราในบริบทของจิตวิทยาสังคมช่วยให้เราเข้าใจวิธีที่เรามองและจัดการกับตัวเอง รวมถึงวิธีที่สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของเราในสังคม.

1. การรับรู้ทางสังคม (Social Perception)

  • เนื้อหา: การศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่เรารับรู้และตีความข้อมูลเกี่ยวกับผู้อื่น เช่น การสร้างความประทับใจแรกพบและการตีความพฤติกรรมของผู้อื่น
  • ตัวอย่าง: การสร้างความประทับใจแรกพบในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้าง
  • เครื่องมือ: Schematic Processing (การใช้ schema หรือแบบจำลองความรู้ในการตีความข้อมูลใหม่)

2. ความคิดและทัศนคติ (Cognition and Attitudes)

  • เนื้อหา: การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างและการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เช่น ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ (Attitude Change Theories) และความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและพฤติกรรม
  • ตัวอย่าง: การใช้ Elaboration Likelihood Model (ELM) เพื่ออธิบายวิธีที่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกิดขึ้นจากการประมวลผลข้อมูลที่ลึกหรือไม่ลึก
  • เครื่องมือ: Cognitive Dissonance Theory (ทฤษฎีความไม่สอดคล้องทางจิตใจ)

3. การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Interaction)

  • เนื้อหา: การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การสร้างความสัมพันธ์และการจัดการกับความขัดแย้ง
  • ตัวอย่าง: การใช้ Social Exchange Theory เพื่ออธิบายการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า
  • เครื่องมือ: Social Support Networks (เครือข่ายสนับสนุนทางสังคม) และ Conflict Resolution Strategies (กลยุทธ์การจัดการความขัดแย้ง)

4. พฤติกรรมกลุ่ม (Group Behavior)

  • เนื้อหา: การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มและอิทธิพลของกลุ่มต่อบุคคล เช่น การปฏิบัติตามกฎของกลุ่มและการตัดสินใจในกลุ่ม
  • ตัวอย่าง: การใช้ Groupthink เพื่ออธิบายเหตุผลที่กลุ่มบางกลุ่มอาจตัดสินใจไม่ดีเพราะความต้องการที่จะรักษาความสามัคคี
  • เครื่องมือ: Social Identity Theory (ทฤษฎีอัตลักษณ์ทางสังคม)

5. อิทธิพลทางสังคม (Social Influence)

  • เนื้อหา: การศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่บุคคลได้รับอิทธิพลจากผู้อื่น เช่น การปฏิบัติตามคำสั่งและการถูกชักจูง
  • ตัวอย่าง: การใช้ Stanley Milgram’s Obedience Study เพื่ออธิบายพฤติกรรมการปฏิบัติตามคำสั่งแม้ว่าจะขัดกับศีลธรรม
  • เครื่องมือ: Conformity (การปฏิบัติตาม) และ Compliance Techniques (เทคนิคการชักชวน)

6. ความก้าวร้าวและความช่วยเหลือ (Aggression and Helping Behavior)

  • เนื้อหา: การศึกษาเกี่ยวกับความก้าวร้าวและพฤติกรรมการช่วยเหลือ เช่น สาเหตุของความก้าวร้าวและปัจจัยที่ทำให้คนช่วยเหลือผู้อื่น
  • ตัวอย่าง: การใช้ Bystander Effect เพื่ออธิบายเหตุผลที่บุคคลมักจะไม่ช่วยเหลือเมื่อมีคนอื่นอยู่รอบตัว
  • เครื่องมือ: Altruism (ความมีน้ำใจ) และ Social Norms (บรรทัดฐานทางสังคม)

7. การวิจัยในจิตวิทยาสังคม (Research Methods)

  • เนื้อหา: การศึกษาวิธีการวิจัยที่ใช้ในจิตวิทยาสังคม เช่น การทดลอง, การสำรวจ, และการศึกษากรณี
  • ตัวอย่าง: การใช้ Experimental Methods (วิธีการทดลอง) เพื่อศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่อพฤติกรรม
  • เครื่องมือ: Surveys (การสำรวจ) และ Field Experiments (การทดลองในสนาม)
  • ตัวอย่างของจักรวาลทางสังคม:

    1. การสร้างความประทับใจแรกพบ: การศึกษาว่าแค่การสวมชุดที่สวยงามหรือมีการสื่อสารที่ดีสามารถสร้างความประทับใจในครั้งแรกที่พบเจอกันและมีผลต่อความสัมพันธ์ในอนาคต

    2. การตัดสินใจในกลุ่ม: การทดลองของ Irving Janis เกี่ยวกับ Groupthink ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่มีความต้องการที่จะรักษาความสามัคคีอาจตัดสินใจผิดพลาดเนื่องจากการไม่แสดงความเห็นที่ขัดแย้ง

    3. Bystander Effect: การศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง New York ซึ่งผู้คนหลายคนได้เห็นการทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการมีคนมากมายในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ

    4. อิทธิพลของวัฒนธรรม: การเปรียบเทียบพฤติกรรมของบุคคลในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เช่น การศึกษาเกี่ยวกับ Individualism vs. Collectivism ที่แสดงถึงความแตกต่างในการให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวหรือการสนับสนุนกลุ่ม

บทสรุปและข้อคิด

หนังสือ "Social Psychology: A Very Short Introduction" ของ Richard J. Crisp สรุปประเด็นหลักของจิตวิทยาสังคมในรูปแบบที่กระชับ ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจแนวคิดพื้นฐานและทฤษฎีสำคัญได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การใช้ตัวอย่างและเครื่องมือในการศึกษา เช่น การทดลอง, การสำรวจ, และทฤษฎีต่างๆ ช่วยให้เห็นภาพรวมของการศึกษาและการปฏิบัติในจิตวิทยาสังคมอย่างชัดเจน

เราได้สำรวจจิตใจทางสังคมและได้เห็นผลกระทบอย่างลึกซึ้งที่ความสัมพันธ์ของเรามีต่อทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรม จิตวิทยาสังคมมีอยู่ในทุกปฏิสัมพันธ์ ทุกทัศนคติ ทุกการกระทำของเรา มันบอกเราว่าทำไมเราถึงชอบคนบางคนและไม่ชอบคนอื่น ทำไมเราถึงมั่นใจ กลัว ดีใจ และภูมิใจ โดยกล่าวถึงประเด็นที่สำคัญที่สุดที่เราเผชิญ ตั้งแต่การย้ายถิ่นฐาน เศรษฐศาสตร์ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม

ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับจักรวาลทางกายภาพนั้นลึกซึ้ง มีรายละเอียด และซับซ้อน ในทางตรงกันข้าม เราเพิ่งเริ่มเข้าใจการทำงานภายในของจิตใจสังคม และวิธีการที่ใกล้ชิดและซับซ้อนซึ่งอะตอมของจักรวาลสังคมของเรามีปฏิสัมพันธ์กัน จิตวิทยาสังคมได้ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราไม่รู้ และนี่คือสิ่งที่ทำให้มันเป็นหนึ่งในความพยายามที่น่าตื่นเต้น น่าดึงดูด และน่าตื่นเต้นที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

ไม่มีความคิดเห็น: