การใช้ shortcuts หรือกลยุทธ์ที่ง่ายในการสร้างความประทับใจหรือการประเมินบุคคลอื่นเป็นกระบวนการที่ใช้ประโยชน์จาก heuristics หรือกฎเกณฑ์ที่ง่ายในการประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ต่อไปนี้คือวิธีที่พบบ่อยในการใช้ shortcuts ในการสร้างความประทับใจของผู้อื่น:
1. Halo Effect
- คำอธิบาย: เมื่อเราประทับใจกับลักษณะหรือคุณสมบัติหนึ่งของบุคคล (เช่น ความสวยงาม หรือความสามารถ) เรามักจะให้คุณค่าที่สูงขึ้นกับลักษณะอื่นๆ ของบุคคลนั้นด้วย
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณพบว่าคนหนึ่งดูดีและเป็นมิตร คุณอาจจะคิดว่าคนคนนั้นมีความสามารถในการทำงานที่ดีและมีความสามารถในด้านอื่นๆ ด้วย
2. Stereotyping
- คำอธิบาย: การใช้ความเชื่อหรือความคิดที่มีอยู่ล่วงหน้าเกี่ยวกับกลุ่มคนเพื่อประเมินหรือสร้างความประทับใจต่อบุคคล
- ตัวอย่าง: การคิดว่าคนที่มาจากประเทศหรือวัฒนธรรมเฉพาะจะมีลักษณะหรือพฤติกรรมบางอย่างตามที่เราคาดหวัง
3. First Impressions
- คำอธิบาย: การสร้างความประทับใจแรกเป็นสิ่งที่มีผลต่อการประเมินบุคคลในอนาคต เรามักจะให้ความสำคัญกับความประทับใจแรกที่เราได้รับ
- ตัวอย่าง: หากการพบปะครั้งแรกของคุณกับคนหนึ่งเป็นไปในทางที่ดี คุณอาจจะมีแนวโน้มที่จะมองคนคนนั้นในแง่ดีต่อไป
4. Availability Heuristic
- คำอธิบาย: การประเมินความน่าเชื่อถือหรือคุณสมบัติของบุคคลตามประสบการณ์หรือข้อมูลที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณมีประสบการณ์ที่ดีหรือได้ยินเกี่ยวกับคนคนนั้นจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ คุณอาจจะประเมินคนคนนั้นในแง่ดี
5. Representativeness Heuristic
- คำอธิบาย: การตัดสินบุคคลตามความคล้ายคลึงกับกลุ่มหรือประเภทที่เราคิดว่าคนคนนั้นเป็นสมาชิก
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณเจอคนที่มีลักษณะหรือพฤติกรรมที่ตรงกับที่คุณคิดว่าเป็นลักษณะของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณอาจจะคิดว่าคนคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่ดีโดยไม่ต้องมีข้อมูลเพิ่มเติม
6. Self-fulfilling Prophecy
- คำอธิบาย: ความคาดหวังหรือความเชื่อที่เรามีต่อบุคคลอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของเราที่ทำให้คาดหวังนั้นเป็นจริง
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณเชื่อว่าคนหนึ่งจะทำงานได้ดี คุณอาจจะให้การสนับสนุนและทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เขาหรือเธอทำงานได้ดีขึ้นจริงๆ
7. Affect Heuristic
- คำอธิบาย: การตัดสินใจหรือการสร้างความประทับใจที่เกิดจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่เรามีต่อบุคคล
- ตัวอย่าง: หากคุณรู้สึกดีและมีความรู้สึกบวกต่อบุคคลนั้น คุณอาจจะประเมินเขาหรือเธอในแง่ดีมากขึ้น
การใช้ shortcuts เหล่านี้ช่วยให้เราสามารถประเมินและสร้างความประทับใจของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็อาจทำให้เราพลาดข้อมูลที่สำคัญหรือทำให้เกิดความผิดพลาดในกระบวนการประเมิน ดังนั้นการตระหนักถึงการใช้ shortcuts เหล่านี้สามารถช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้นและลดความผิดพลาดในการตัดสินใจ
การศึกษาและนำหลักการการสร้างความประทับใจหรือ "forming impressions of others" ไปใช้ในทางปฏิบัติ สามารถทำได้โดยการใช้หลักการและขั้นตอนที่ได้มาจากทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคม ต่อไปนี้เป็นแนวทางและขั้นตอนที่สามารถนำไปใช้ได้:
1. การรับรู้และสังเกตข้อมูล การรับรู้บุคคลหมายถึงกระบวนการทางจิตที่เราใช้ในการตัดสินและสรุปเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลอื่น การรับรู้บุคคลเป็นกระบวนการเชิงรุกและเชิงอัตวิสัยที่เกิดขึ้นเสมอในบริบทระหว่างบุคคลนั่นคือ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคนขึ้นไป (Macrae & Quadflieg, 2010; Smith & Collins, 2009)
หลักการ:
- การสังเกต (Observation): การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลจากการแสดงออกทางกายภาพ ท่าทาง การพูด และพฤติกรรม
- ความสำคัญของสัญญาณทางกาย (Non-verbal Cues): การตีความสัญญาณทางกายเช่น การแสดงออกทางสีหน้าและภาษากายมีผลต่อการสร้างความประทับใจ
ขั้นตอน:
- สังเกตลักษณะของบุคคล: สังเกตการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และการเคลื่อนไหว
- ตรวจสอบความสอดคล้อง: ตรวจสอบว่าความรู้สึกและพฤติกรรมที่สังเกตได้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้ยินหรือไม่
Person Perception
FORMING IMPRESSIONS OF OTHER PEOPLE หลักการสำคัญสี่ประการเป็นแนวทางในการรับรู้ของบุคคลและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคุณ (ดู Ambady & Skowronski, 2008; Zebrowitz & Montepare, 2006) ให้เราอธิบายหลักการเหล่านั้นโดยใช้สถานการณ์รถไฟใต้ดิน
หลักการที่ 1 ปฏิกิริยาของคุณต่อผู้อื่นนั้นถูกกำหนดโดยการรับรู้ของคุณที่มีต่อพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ บนรถไฟใต้ดิน คุณเลือกที่จะไม่นั่งข้างผู้ชายร่างใหญ่ที่หน้าบูดบึ้งทันที เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะคุณมองว่าเขาเป็นภัยคุกคาม แน่นอนว่าเขาอาจเป็นคนขายดอกไม้ที่บูดบึ้งเพราะกลับบ้านดึกก็ได้
หลักการที่ 2 การรับรู้ตนเองยังส่งผลต่อการรับรู้ผู้อื่นและการกระทำต่อการรับรู้ของตนเองอีกด้วยการตัดสินใจเลือกที่นั่งยังได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ตนเองด้วย (Macrae & Quadflieg, 2010) ตัวอย่างเช่น หากคุณคิดว่าตัวเองดูน่าเกรงขาม คุณอาจไม่รังเกียจที่จะนั่งข้างๆ คนตัวใหญ่ที่มีสีหน้าบูดบึ้ง
หลักการที่ 3 เป้าหมายของคุณในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งจะกำหนดปริมาณและประเภทของข้อมูลที่คุณรวบรวมเกี่ยวกับผู้อื่นหากเป้าหมายของคุณคือการนั่งรถไฟใต้ดินร่วมกับคนที่ไม่ยุ่งกับคุณ คุณจะต้องมองหาลักษณะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายนั้น เช่น อาจเป็นใครสักคนที่สวมหูฟังสีขาวที่บ่งบอกว่ากำลังฟังเพลงอยู่ (Goodwin & others, 2002; Hilton, 1998)
หลักการที่ 4 ในทุกสถานการณ์ คุณจะประเมินผู้คนบางส่วนในแง่ของการที่คุณคาดหวังให้พวกเขาปฏิบัติตัวอย่างไรในบริบทนั้นๆไม่ว่าคุณจะอยู่ในห้องเรียน ร้านอาหาร หรือห้องน้ำสาธารณะ พฤติกรรมของคุณจะถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานทางสังคมซึ่งก็คือ “กฎ” ที่ไม่ได้เขียนไว้ หรือความคาดหวังสำหรับพฤติกรรมที่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคมนั้นๆ (Milgram, 1992) ตัวอย่างเช่น ในรถไฟใต้ดิน คุณจะไม่นั่งข้างใครก็ตามเมื่อมีที่นั่งว่าง และคุณจะไม่อ่านข้อความของเพื่อนร่วมที่นั่ง การฝ่าฝืนบรรทัดฐานทางสังคมเหล่านี้จะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น ดังเช่นในภาพการ์ตูนทางด้านขวา!
หลักเกณฑ์ทั้งสี่ข้อนี้แสดงให้เห็นก็คือ การรับรู้บุคคลนั้นมีพื้นฐานอยู่บนปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งสี่ประการ ได้แก่ การรับรู้ที่เรามีต่อผู้อื่น การรับรู้ตนเอง เป้าหมายของเรา และบรรทัดฐานทางสังคมในบริบทนั้น
FORMING IMPRESSIONS OF OTHER PEOPLE หลักการสำคัญสี่ประการเป็นแนวทางในการรับรู้ของบุคคลและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคุณ (ดู Ambady & Skowronski, 2008; Zebrowitz & Montepare, 2006) ให้เราอธิบายหลักการเหล่านั้นโดยใช้สถานการณ์รถไฟใต้ดิน
หลักการที่ 1 ปฏิกิริยาของคุณต่อผู้อื่นนั้นถูกกำหนดโดยการรับรู้ของคุณที่มีต่อพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ บนรถไฟใต้ดิน คุณเลือกที่จะไม่นั่งข้างผู้ชายร่างใหญ่ที่หน้าบูดบึ้งทันที เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะคุณมองว่าเขาเป็นภัยคุกคาม แน่นอนว่าเขาอาจเป็นคนขายดอกไม้ที่บูดบึ้งเพราะกลับบ้านดึกก็ได้
หลักการที่ 2 การรับรู้ตนเองยังส่งผลต่อการรับรู้ผู้อื่นและการกระทำต่อการรับรู้ของตนเองอีกด้วยการตัดสินใจเลือกที่นั่งยังได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ตนเองด้วย (Macrae & Quadflieg, 2010) ตัวอย่างเช่น หากคุณคิดว่าตัวเองดูน่าเกรงขาม คุณอาจไม่รังเกียจที่จะนั่งข้างๆ คนตัวใหญ่ที่มีสีหน้าบูดบึ้ง
หลักการที่ 3 เป้าหมายของคุณในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งจะกำหนดปริมาณและประเภทของข้อมูลที่คุณรวบรวมเกี่ยวกับผู้อื่นหากเป้าหมายของคุณคือการนั่งรถไฟใต้ดินร่วมกับคนที่ไม่ยุ่งกับคุณ คุณจะต้องมองหาลักษณะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายนั้น เช่น อาจเป็นใครสักคนที่สวมหูฟังสีขาวที่บ่งบอกว่ากำลังฟังเพลงอยู่ (Goodwin & others, 2002; Hilton, 1998)
หลักการที่ 4 ในทุกสถานการณ์ คุณจะประเมินผู้คนบางส่วนในแง่ของการที่คุณคาดหวังให้พวกเขาปฏิบัติตัวอย่างไรในบริบทนั้นๆไม่ว่าคุณจะอยู่ในห้องเรียน ร้านอาหาร หรือห้องน้ำสาธารณะ พฤติกรรมของคุณจะถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานทางสังคมซึ่งก็คือ “กฎ” ที่ไม่ได้เขียนไว้ หรือความคาดหวังสำหรับพฤติกรรมที่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคมนั้นๆ (Milgram, 1992) ตัวอย่างเช่น ในรถไฟใต้ดิน คุณจะไม่นั่งข้างใครก็ตามเมื่อมีที่นั่งว่าง และคุณจะไม่อ่านข้อความของเพื่อนร่วมที่นั่ง การฝ่าฝืนบรรทัดฐานทางสังคมเหล่านี้จะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น ดังเช่นในภาพการ์ตูนทางด้านขวา!
หลักเกณฑ์ทั้งสี่ข้อนี้แสดงให้เห็นก็คือ การรับรู้บุคคลนั้นมีพื้นฐานอยู่บนปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งสี่ประการ ได้แก่ การรับรู้ที่เรามีต่อผู้อื่น การรับรู้ตนเอง เป้าหมายของเรา และบรรทัดฐานทางสังคมในบริบทนั้น
2. การตีความและการจัดหมวดหมู่
หลักการ:
- การตีความ (Interpretation): การตีความหมายจากข้อมูลที่ได้รับเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบุคคล
- การจัดหมวดหมู่ (Categorization): การจัดกลุ่มบุคคลตามคุณลักษณะหรือประเภทที่รู้จัก เช่น การแบ่งตามเพศ เชื้อชาติ หรือสัญชาติ
ขั้นตอน:
- สร้างความเข้าใจ: ใช้ข้อมูลที่สังเกตได้เพื่อประเมินความรู้สึก ความตั้งใจ หรือทัศนคติของบุคคล
- จัดกลุ่มและประเมิน: จัดกลุ่มบุคคลตามลักษณะทั่วไปและประเมินว่าข้อมูลใดที่ใช้ในการตัดสินใจ
3. การประเมินและการตัดสินใจ
หลักการ:
- การอธิบายพฤติกรรม (Attribution Theory): การตัดสินใจว่าพฤติกรรมของบุคคลเกิดจากปัจจัยภายในหรือภายนอก
- การตัดสินใจ (Judgment): การตัดสินใจเกี่ยวกับบุคคลจากข้อมูลและการตีความ
ขั้นตอน:
- วิเคราะห์พฤติกรรม: พิจารณาว่าพฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากปัจจัยภายในหรือสถานการณ์ภายนอก
- ทำการตัดสินใจ: ตัดสินใจเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือท่าทีที่เหมาะสมต่อบุคคล
4. การปรับพฤติกรรมและการสื่อสาร
หลักการ:
- การปรับพฤติกรรม (Behavioral Adjustment): การปรับตัวให้เข้ากับความรู้สึกและการตอบสนองที่ได้รับ
- การสื่อสาร (Communication): การใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อแสดงออกถึงความเข้าใจและการตอบสนองที่เหมาะสม
ขั้นตอน:
- ปรับพฤติกรรมของตน: ปรับพฤติกรรมของตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับความเข้าใจที่มีต่อบุคคล
- ใช้เทคนิคการสื่อสาร: ใช้การสื่อสารที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
5. การทบทวนและเรียนรู้
หลักการ:
- การทบทวน (Reflection): การประเมินผลลัพธ์จากการสร้างความประทับใจและการปฏิสัมพันธ์
- การเรียนรู้ (Learning): การเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการสร้างความประทับใจในอนาคต
ขั้นตอน:
- ทบทวนผลลัพธ์: ประเมินความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการสร้างความประทับใจและการปฏิสัมพันธ์
- เรียนรู้จากประสบการณ์: ใช้ข้อมูลที่ได้รับเพื่อปรับปรุงการสร้างความประทับใจและทักษะทางสังคมในอนาคต
Solomon Asch แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีอคติอย่างไม่น่าเชื่อในข้อมูลที่พวกเขาจำเกี่ยวกับใครบางคนในการพบกันครั้งแรกได้อย่างไร
การทดลองพบว่าแม้การเปลี่ยนแปลงของข้อมูลเพียงเล็กน้อยก็สามารถมีผลกระทบที่สำคัญต่อการสร้างความประทับใจและการตัดสินใจของผู้เข้าร่วม
การรับรู้และความประทับใจของบุคคลอาจถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในลักษณะของข้อมูลที่มีการให้
การทดลองของ Asch แสดงให้เห็นถึง “primacy effect” ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของข้อมูลแรกที่เราพบเจอที่มีต่อการประเมินและความประทับใจที่เราสร้างขึ้น
ข้อมูลแรกที่ได้รับจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการประเมินและการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคคล แม้ว่าข้อมูลใหม่จะขัดแย้งกับข้อมูลเดิมก็ตาม
ความปรารถนาของเราที่จะสร้างโครงสร้างและความหมายนั้นแพร่หลายมากจนเราเริ่มทำมันทันทีเมื่อเราเริ่มได้รับข้อมูล สิ่งที่เกิดขึ้นคือข้อมูลที่ได้รับในตอนแรกจะสร้างโครงสร้างที่กรองข้อมูลที่เหลือ ซึ่งนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าอคติในการยืนยัน ตัวอย่างเช่น หากคุณสร้างความประทับใจให้ใครบางคนว่า 'ขยัน' แล้วพวกเขาแสดงพฤติกรรมดื้อรั้น คุณก็อาจจะตีความสิ่งนี้ว่า 'มั่นคงและเด็ดเดี่ยว' ได้มากกว่า ในทางตรงกันข้าม หากความประทับใจแรกของคุณคือ 'อิจฉา' พฤติกรรมดื้อรั้นก็มีแนวโน้มที่จะถูกตีความว่าเป็น 'ใจแคบ' และ 'เข้มงวด' การวิจัยครั้งนี้ “Asch’s Impression Formation Studies”ชี้ให้เห็นว่าการแสดงครั้งแรกมีความสำคัญจริงๆ!
การสร้างความประทับใจหรือ "forming impressions of others" เป็นหัวข้อที่สำคัญในจิตวิทยาสังคมและมีการศึกษาอย่างกว้างขวางในวงการวิจัย มีหนังสือและบทความทางวิชาการหลายเล่มที่สำรวจและอธิบายกระบวนการนี้อย่างละเอียด นี่คือบางเล่มและบทความที่เป็นที่รู้จักและอ้างอิงได้:
หนังสือ:
"Social Psychology" (11th Edition) by David Myers and Jean Twenge
- รายละเอียด: หนังสือเล่มนี้มีบทที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการสร้างความประทับใจและการรับรู้ของคนอื่น รวมถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ลิงก์: Social Psychology by David Myers
"The Social Animal" by Elliot Aronson
- รายละเอียด: หนังสือคลาสสิกในจิตวิทยาสังคมที่ครอบคลุมหลากหลายแง่มุมของการรับรู้และการตีความพฤติกรรมของคนอื่น รวมถึงวิธีการที่เราสร้างความประทับใจและการสร้างความคิดเห็น
- ลิงก์: The Social Animal by Elliot Aronson
"Social Cognition: Understanding Self and Others" by David M. Mackie and John M. Claypool
- รายละเอียด: หนังสือที่เน้นการศึกษากระบวนการทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ตนเองและผู้อื่น การสร้างความประทับใจเป็นหัวข้อหลักในหนังสือ
- ลิงก์: Social Cognition by Mackie & Claypool
บทความทางวิชาการ:
"The Role of Impressions in Social Judgment: A Review of Research" by John H. R. Ziegler and Patricia G. Devine
- รายละเอียด: บทความนี้ทบทวนการวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของความประทับใจในการตัดสินทางสังคม การสร้างความประทับใจมีผลอย่างไรต่อการตัดสินใจและพฤติกรรม
- ลิงก์: The Role of Impressions in Social Judgment
"First Impressions: The Role of Facial Appearance in Social Judgment" by Alexander Todorov and Susan T. Fiske
- รายละเอียด: บทความนี้สำรวจบทบาทของลักษณะใบหน้าที่มีต่อการสร้างความประทับใจแรกพบและการตัดสินใจเกี่ยวกับผู้อื่น
- ลิงก์: First Impressions: The Role of Facial Appearance
"Impression Formation and the Development of Social Schemata" by Susan Fiske and Steven Neuberg
- รายละเอียด: บทความนี้พูดถึงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความประทับใจและการพัฒนาของ "social schemata" หรือกรอบความคิดที่เรามีเกี่ยวกับผู้อื่น
- ลิงก์: Impression Formation and Social Schemata
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น