วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567

How to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร / นิ้วกลม

 

Authorนิ้วกลม, ผู้แต่ง
TitleHow to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร / นิ้วกลม
Imprintกรุงเทพฯ : KOOB, 2566
Editionพิมพ์ครั้งที่ 10
Descript304 หน้า ; 21 ซม



CONTENT

เต๋า อย่าแสวงหาความสุข จงเป็นความสุข -- เต๋า ธรรมชาติเดิมแท้คือความสุข -- เต๋า หลงรักตัวเอง -- สามคัมภีร์สำคัญแห่งเต๋า -- สโตอิก พายุร้ายเจียระไนเพชร -- สโตอิก ดีแค่ไหนที่มีแก้วใบนั้นมาตั้งแต่ต้น -- สโตอิก อยากมีความสุขให้หมั่นนึกถึงเรื่องร้าย -- ชีวิตที่ดีในมุมมองสโติอิก -- อิคิไก มองเห็นเส้นชัย หลงใหลกระบวนการ -- อิคิไก ชีวิตงดงามเมื่อเราใส่ใจ -- อิคิไก มีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่กับสิ่งที่รักตลอดเวลา -- ชีวิตที่ดีในมุมมองอิคิไก -- วะบิ-ซะบิ ในโลกนี้มีสิ่งใดบ้างสมบูรณ์แบบ -- วะบิ-ซะบิ สงบงามกลางโกลาหล -- วะบิ-ซะบิ ชีวิตธรรมดาที่งดงาม -- ชีวิตที่ดีในมุมมองวะบิ-ซะบิ -- นิกเซน ความสุขคืออะไร -- นิกเซน องค์ประกอบความสุข -- นิกเซน พักสักนิกส์ -- ชีวิตที่ดีในมุมมองนิกเซน -- ฮุกกะ ความสุขคือการกอดคนอื่น -- ฮุกกะ ABC ของความสุข -- ชีวิตที่ดีในมุมมองฮุกกะ -- ชิสุ เย็นเฉียบ-ร้อนฉ่า พาเป็นสุข -- ชิสุ ประคองไว้ แล้วไปต่อ -- ชีวิตที่ดีในมุมมองชิสุ -- เดอสแต็ดนิง จงแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งที่ทำให้เป็นสุข -- เดอสแต๊ดนิง ปล่อยข้าวของไป เก็บไว้เพียงสิ่งสำคัญ -- ชีวิตที่ดีในมุมองเดอสแต๊ดนิง -- ชีวิตที่ดีคืออะไร -- ชีวิตที่ดี ที่ผมได้เรียนรู้


จาก 

How to Live a Good Life


"เต๋า อย่าแสวงหาความสุข จงเป็นความสุข " นิ้วกลมอธิบายบทนี้ใน หนังสือ "How to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร / นิ้วกลม" ว่าอย่างไร
ChatGPT

ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมได้อธิบายเกี่ยวกับแนวคิด "เต๋า อย่าแสวงหาความสุข จงเป็นความสุข" โดยเน้นว่าแนวทางนี้มาจากหลักการของเต๋าและความคิดเชิงปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและสมดุล

การอธิบายแนวคิด "อย่าแสวงหาความสุข จงเป็นความสุข"

1. การไม่แสวงหาความสุขภายนอก

หลักการ: ความสุขไม่ควรเป็นสิ่งที่เราตามหาอยู่ตลอดเวลา หรือมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องได้รับจากภายนอก เช่น การมีทรัพย์สินหรือความสำเร็จ แต่ควรมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในตัวเราเอง

วิธีการ:

  • การตระหนักถึงความสุขภายใน: เรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่และรู้สึกดีภายในตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก
  • การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ: ปรับทัศนคติให้มองความสุขเป็นสภาวะของจิตใจที่มีอยู่ในขณะนี้ มากกว่าการแสวงหาจากภายนอก

2. การเป็นความสุข

หลักการ: การเป็นความสุขหมายถึงการมีทัศนคติและวิธีการใช้ชีวิตที่สร้างความสุขในตัวเองและสำหรับผู้อื่น โดยไม่ต้องรอให้มีสิ่งที่สมบูรณ์แบบมาถึง

วิธีการ:

  • การใช้ชีวิตอย่างมีสติ: ใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างเต็มที่และสัมผัสความสุขจากสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน
  • การทำสิ่งที่รัก: มุ่งเน้นการทำสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีและเติมเต็มโดยไม่คาดหวังผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง

3. การสร้างความสุขจากภายใน

หลักการ: ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการมีความพอใจและความสงบในจิตใจ แม้ในสถานการณ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ

วิธีการ:

  • การฝึกสติและสมาธิ: การทำสมาธิและการฝึกสติช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและพัฒนาอารมณ์ที่ดี
  • การพัฒนาความรักตัวเอง: การรักและดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ทำให้คุณมีความสุขและพอใจในชีวิต

4. การเข้าใจความหมายของชีวิต

หลักการ: การเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิตช่วยให้คุณค้นพบความสุขที่แท้จริงจากภายในตัวเอง

วิธีการ:

  • การตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต: ค้นหาความหมายและเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของคุณ ซึ่งสามารถนำไปสู่ความพอใจและความสุข
  • การมองเห็นความงามในชีวิต: มองหาความงามและความหมายในสิ่งที่คุณทำและสิ่งที่คุณมีอยู่ในชีวิต

สรุป

การลดความคาดหวังลงบ้าง น่าจะทำให้มีความสุขได้ง่ายขึ้น

อย่าไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

นิ้วกลมใน "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" อธิบายว่าการไม่แสวงหาความสุขจากภายนอกและการเป็นความสุขเองนั้นเป็นแนวทางที่มาจากหลักการของเต๋า

Taoism : Ancient China

โดยเน้นให้เราเรียนรู้ที่จะสร้างความสุขจากภายในตัวเอง การใช้ชีวิตอย่างมีสติและทำสิ่งที่เรารัก โดยไม่ต้องรอให้มีสิ่งที่สมบูรณ์แบบมาถึง การเป็นความสุขคือการค้นพบและสร้างความสุขในปัจจุบัน โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก

ในหนังสือ "How to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบาย "เต๋า อย่าแสวงหาความสุข จงเป็นความสุข" ว่าอย่างไร
ChatGPT

ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายหลักการของ "เต๋า" หรือ Taoism ซึ่งพูดถึงแนวคิดที่ว่า "อย่าแสวงหาความสุข จงเป็นความสุข" ได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจน:

ตามแนวคิดของเต๋า การแสวงหาความสุขเป็นสิ่งที่อาจทำให้เราพลาดการเข้าถึงความสุขที่แท้จริง เพราะเมื่อเรามุ่งมั่นไปที่การแสวงหาความสุขอย่างต่อเนื่อง เรามักจะพบว่าความสุขนั้นเป็นสิ่งที่หลบเลี่ยงและไม่สามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง

นิ้วกลมอธิบายว่า สิ่งที่สำคัญคือการเข้าใจและรับรู้ถึงความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบันของเรา โดยการทำความเข้าใจและยอมรับในตัวตนของเราเอง เราจะสามารถเป็นความสุขแท้จริงได้ ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติม

การเป็นความสุขคือการอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มที่ ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว การเป็นความสุขนั้นคือการปล่อยวางความคาดหวังและการแสวงหา และหันกลับมามองสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันอย่างจริงจังและจริงใจ

โดยรวมแล้ว แนวคิดนี้สนับสนุนให้เราปรับมุมมองจากการวิ่งตามความสุขเป็นการรับรู้และเป็นส่วนหนึ่งของความสุขในตัวเราเอง

#deepseek การนำแนวคิดของเต๋า (Taoism) ซึ่งเป็นปรัชญาโบราณของจีนมาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์ สามารถช่วยสร้างความสมดุลและความสงบสุขได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:

1. การปล่อยวาง (Wu Wei)

  • แนวคิด: Wu Wei หมายถึงการกระทำโดยไม่ฝืนธรรมชาติ หรือการปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องบังคับ

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การปล่อยวางหมายถึงการไม่พยายามควบคุมหรือบังคับให้อีกฝ่ายเป็นไปตามที่เราต้องการ แต่มุ่งสร้างความเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น การไม่ยึดติดกับความคาดหวังมากเกินไปจะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความสงบสุขในความสัมพันธ์

2. ความสมดุล (Yin-Yang)

  • แนวคิด: เต๋าเชื่อในความสมดุลระหว่าง Yin (พลังงานที่อ่อนนุ่ม) และ Yang (พลังงานที่แข็งกร้าว) ซึ่งทั้งสองสิ่งต้องอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ ความสมดุลระหว่างการให้และการรับ การพูดและการฟัง หรือการเป็นผู้นำและผู้ตาม เป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของกันและกันจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน

3. การอยู่กับปัจจุบัน

  • แนวคิด: เต๋าสอนให้เราอยู่กับปัจจุบันและไม่ยึดติดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคต

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การอยู่กับปัจจุบันหมายถึงการให้ความสนใจและใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ การไม่นำความขัดแย้งในอดีตมาทำให้ปัจจุบันขุ่นมัว หรือการไม่กังวลกับอนาคตมากเกินไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและเป็นธรรมชาติ

4. ความเรียบง่าย (Simplicity)

  • แนวคิด: เต๋าส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การเรียบง่ายหมายถึงการไม่สร้างความซับซ้อนหรือปัญหาโดยไม่จำเป็น การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและไม่คิดมากเกินไปจะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและไม่ตึงเครียด

5. การเคารพในธรรมชาติของกันและกัน

  • แนวคิด: เต๋าเชื่อในการเคารพและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การเคารพในธรรมชาติของอีกฝ่ายหมายถึงการยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงหรือบังคับให้เป็นไปตามที่เราต้องการ การให้เกียรติและเข้าใจในความแตกต่างจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง

6. การไม่แข่งขัน (Non-Competition)

  • แนวคิด: เต๋าเชื่อว่าการแข่งขันไม่ใช่หนทางสู่ความสุขที่แท้จริง

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การไม่แข่งขันกันเพื่อเอาชนะหรือพิสูจน์ว่าใครถูกใครผิด จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างบรรยากาศที่ดี การทำงานร่วมกันและสนับสนุนกันจะทำให้ความสัมพันธ์มีความสุขมากกว่า

7. การให้อภัยและความเมตตา

  • แนวคิด: เต๋าสอนให้เรามีความเมตตาและเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้อภัยและแสดงความเมตตาต่อกันเมื่อเกิดข้อผิดพลาด จะช่วยให้ความสัมพันธ์ยืนยาวและมีความสุข การเข้าใจว่าทุกคนมีข้อบกพร่องและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง

สรุป

การนำแนวคิดของเต๋ามาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความสมดุล ความสงบสุข และความเข้าใจระหว่างกัน การปล่อยวาง การเคารพในธรรมชาติของกันและกัน และการอยู่กับปัจจุบัน เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

 

ในปรัชญาเต๋า (Taoism) ความตายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสิ่งที่ควรยอมรับด้วยความเข้าใจและความสงบ เต๋ามองว่าชีวิตและความตายเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักการของ หยิน-หยาง (Yin-Yang) ที่ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเชื่อมโยงและสมดุลกัน ดังนั้น การเข้าใจเต๋าจึงช่วยให้เรายอมรับความตายได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่หวาดกลัว ต่อไปนี้เป็นแนวคิดหลักของเต๋าที่เกี่ยวข้องกับความตาย:


1. ความตายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติ (Death as Part of the Natural Cycle)

  • แนวคิด: เต๋าสอนว่าทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนมีวัฏจักรของตัวเอง เช่น กลางวัน-กลางคืน ฤดูกาลต่าง ๆ และชีวิต-ความตาย ความตายจึงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง

  • การอธิบาย: เหมือนกับที่ใบไม้ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ ความตายจึงไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางธรรมชาติที่ต่อเนื่อง


2. ชีวิตและความตายเป็นหนึ่งเดียวกัน (Life and Death are One)

  • แนวคิด: เต๋ามองว่าชีวิตและความตายเป็นสองด้านของสิ่งเดียวกัน และไม่อาจแยกจากกันได้

  • การอธิบาย: ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง (Tao Te Ching) ของเล่าจื๊อ มีการกล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างชีวิตและความตายว่า "ชีวิตและความตายเป็นเส้นทางเดียวกัน" การเข้าใจว่าชีวิตและความตายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันจะช่วยให้เรายอมรับความตายได้อย่างสงบ


3. การยอมรับในความไม่ถาวร (Embracing Impermanence)

  • แนวคิด: เต๋าสอนให้เรายอมรับว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่คงทนถาวร และความตายคือส่วนหนึ่งของความไม่ถาวรนั้น

  • การอธิบาย: การเข้าใจว่าทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จะช่วยให้เราไม่ยึดติดกับชีวิตหรือความตายมากเกินไป และเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่


4. การกลับคืนสู่เต๋า (Returning to the Tao)

  • แนวคิด: เต๋ามองว่าความตายคือการกลับคืนสู่แหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง ซึ่งก็คือเต๋า (Tao) หรือพลังธรรมชาติที่ไหลเวียนอยู่ทั่วจักรวาล

  • การอธิบาย: ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงกล่าวว่า "การกลับคืนสู่รากเหง้าคือความสงบ" ดังนั้น ความตายจึงไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่เป็นการกลับสู่ภาวะเดิมที่สงบและเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ


5. การไม่ยึดติด (Non-Attachment)

  • แนวคิด: เต๋าสอนให้เราไม่ยึดติดกับชีวิตหรือความตาย เพราะการยึดติดจะนำไปสู่ความทุกข์

  • การอธิบาย: การยึดติดกับชีวิตมากเกินไปอาจทำให้เรากลัวความตาย ในขณะที่การยึดติดกับความตายอาจทำให้เราไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ดังนั้น การไม่ยึดติดจะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันได้อย่างสงบ


6. ความตายคือการเปลี่ยนแปลง (Death as Transformation)

  • แนวคิด: เต๋ามองว่าความตายไม่ใช่การสูญสิ้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง

  • การอธิบาย: เหมือนกับการที่น้ำกลายเป็นไอ หรือไอกลั่นตัวเป็นน้ำ ความตายจึงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพลังงาน ไม่ใช่การสิ้นสุด


7. การอยู่กับปัจจุบัน (Living in the Present)

  • แนวคิด: เต๋าสอนให้เราใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างเต็มที่ โดยไม่กังวลกับอดีตหรืออนาคต

  • การอธิบาย: การเข้าใจว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจะช่วยให้เราไม่เสียเวลาไปกับการกลัวความตาย แต่หันมาใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างมีคุณค่า


8. ความตายคือการพักผ่อน (Death as Rest)

  • แนวคิด: เต๋ามองว่าความตายคือการพักผ่อนหลังจากที่ชีวิตได้ใช้พลังงานไปอย่างเต็มที่

  • การอธิบาย: เหมือนกับการที่เราพักผ่อนหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน ความตายจึงเป็นช่วงเวลาที่เรากลับคืนสู่ภาวะสงบและเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ


9. การไม่กลัวความตาย (Fearlessness Towards Death)

  • แนวคิด: เต๋าสอนให้เราไม่กลัวความตาย เพราะความตายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

  • การอธิบาย: การเข้าใจเต๋าจะช่วยให้เรามองความตายเป็นเรื่องปกติและไม่น่ากลัว การไม่กลัวความตายจะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเต็มที่


10. ความตายคือการเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ (Death as Oneness with Nature)

  • แนวคิด: เต๋ามองว่าความตายคือการกลับคืนสู่ธรรมชาติและเป็นหนึ่งกับจักรวาล

  • การอธิบาย: เมื่อเราตาย ร่างกายและพลังงานของเราจะกลับคืนสู่ธรรมชาติ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุด


สรุป

เต๋ามองว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและวัฏจักรชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเข้าใจเต๋าจะช่วยให้เรายอมรับความตายได้อย่างสงบและไม่หวาดกลัว โดยมองว่าความตายคือการกลับคืนสู่เต๋า การเปลี่ยนแปลงของพลังงาน และการเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ การใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างเต็มที่และไม่ยึดติดจะช่วยให้เรามีชีวิตที่สมดุลและมีความสุข

ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" 

Stoicism : Ancient Greek

นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ สโตอิก ที่ว่า "พายุร้ายเจียระไนเพชร" ในลักษณะที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีการมองสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต:

คำพูดนี้สื่อถึงแนวคิดที่ว่าความยากลำบากและความท้าทายในชีวิตมีบทบาทในการเจียระไนและพัฒนาความแข็งแกร่งภายในของเรา เช่นเดียวกับที่พายุร้ายอาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่ก็สามารถช่วยขัดเกลาและเพิ่มความเงางามให้กับเพชรได้

นิ้วกลมอธิบายว่าความท้าทายและปัญหาในชีวิตไม่ใช่เพียงอุปสรรค แต่เป็นโอกาสในการเติบโตและเรียนรู้ การเผชิญหน้ากับความยากลำบากอย่างมีสติและรับมือด้วยความอดทนจะช่วยให้เราเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งและมีคุณค่ามากขึ้น การเรียนรู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่ดีและการใช้ประสบการณ์นั้นเพื่อพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่สโตอิกให้ความสำคัญ

ดังนั้น "พายุร้ายเจียระไนเพชร" คือการที่เราต้องเห็นความท้าทายและความยากลำบากเป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนาตนเอง เราควรเรียนรู้ที่จะรับมือและนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ในการพัฒนาความแข็งแกร่งและความดีงามในตัวเรา การมองสถานการณ์เหล่านี้ในแง่บวกช่วยให้เรามีมุมมองที่ดีและมีความสุขจากการพัฒนาตนเองผ่านประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ในหนังสือ "How to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบาย "สโตอิก ดีแค่ไหนที่มีแก้วใบนั้นมาตั้งแต่ต้น" ว่าอย่างไร
ChatGPT

ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ สโตอิก เกี่ยวกับการมองชีวิตในแบบ "ดีแค่ไหนที่มีแก้วใบนั้นมาตั้งแต่ต้น" ไว้ดังนี้:

แนวคิดนี้เป็นการสะท้อนถึงหลักการของสโตอิกที่ว่าเราควรมองสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มที่และมีความพอใจในสิ่งที่เรามี มากกว่าการคาดหวังว่าจะต้องมีสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งที่เรายังไม่มี

"แก้วใบนั้น" ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ความสามารถ หรือประสบการณ์ หากเรามองสิ่งที่เรามีเป็นสิ่งที่ดีและมีคุณค่า เราจะรู้สึกพอใจและมีความสุขมากขึ้น เมื่อเราหยุดคิดถึงสิ่งที่เราอาจไม่มีหรือสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะต้องได้ เราจะสามารถรับรู้คุณค่าและความสำคัญของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

โดยการเปลี่ยนวิธีคิดจากการมองหาและคาดหวังสิ่งใหม่ๆ มาเป็นการให้ความสำคัญและชื่นชมในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เราจะสามารถสร้างความพอใจและความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ในมือ โดยไม่ต้องรอให้สิ่งอื่นมาทำให้เรารู้สึกดี

นิ้วกลมจึงเสนอว่า "ดีแค่ไหนที่มีแก้วใบนั้นมาตั้งแต่ต้น" เป็นการเน้นย้ำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และเรียนรู้ที่จะชื่นชมในความดีและความพอใจที่เราสามารถสร้างได้จากสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน การใช้ชีวิตในลักษณะนี้จะทำให้เรามีความสุขและความพอใจมากขึ้นอย่างยั่งยืน

ในหนังสือ "How to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบาย "สโตอิก อยากมีความสุขให้หมั่นนึกถึงเรื่องร้าย" ว่าอย่างไร
ChatGPT

ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ สโตอิก (Stoicism) ซึ่งพูดถึงการ "อยากมีความสุขให้หมั่นนึกถึงเรื่องร้าย" ไว้ดังนี้:

แนวคิดของสโตอิกที่ว่าการนึกถึงเรื่องร้ายเป็นวิธีที่ช่วยให้เรามีความสุขได้เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและลึกซึ้ง ในกรอบของปรัชญาสโตอิก ซึ่งเป็นปรัชญาที่เน้นการควบคุมอารมณ์และการรักษาความสงบภายใน การนึกถึงเรื่องร้ายหรือลองจินตนาการถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่ดีเป็นการฝึกฝนให้เรามีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

นิ้วกลมอธิบายว่า การคิดถึงเรื่องร้ายหรือการเตรียมใจสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่ดีนั้นช่วยให้เราไม่รู้สึกตกใจหรือท้อแท้เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ การเตรียมตัวและคิดถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็ช่วยให้เรามีท่าทีที่เข้มแข็งและสามารถจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้น

การนึกถึงเรื่องร้ายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องจมอยู่กับความคิดเชิงลบตลอดเวลา แต่เป็นการเตรียมความพร้อมทางจิตใจเพื่อให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีสติและมีความสมดุล เมื่อเรามีความเข้าใจและรับมือได้ดีในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เราจะมีความสุขได้มากขึ้นจากความรู้สึกที่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เราสามารถรับมือได้

ดังนั้น แนวคิดของสโตอิกนี้ช่วยให้เรามีความแข็งแกร่งทางจิตใจและมองความสุขในรูปแบบที่เป็นจริงและยั่งยืน

การนำแนวคิดสโตอิก (Stoicism) ซึ่งเป็นปรัชญากรีกโบราณมาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์ สามารถช่วยสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและความสัมพันธ์ที่มั่นคงได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:

1. การควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ (Dichotomy of Control)

  • แนวคิด: สโตอิกสอนให้เราแยกแยะระหว่างสิ่งที่เราควบคุมได้และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้เท่านั้น

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้หมายถึงการมุ่งเน้นไปที่การกระทำและทัศนคติของเราเอง แทนที่จะพยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปรงพฤติกรรมของอีกฝ่าย การยอมรับในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้จะช่วยลดความเครียดและสร้างความสงบสุขในความสัมพันธ์

2. การพัฒนาคุณธรรม (Virtue)

  • แนวคิด: สโตอิกเชื่อว่าคุณธรรมคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต และควรพัฒนาคุณธรรมสี่ประการ ได้แก่ ปัญญา (Wisdom), ความกล้าหาญ (Courage), ความยุติธรรม (Justice), และการควบคุมตนเอง (Temperance)

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การพัฒนาคุณธรรมหมายถึงการเป็นคนที่มีปัญญาในการตัดสินใจ, มีความกล้าหาญในการเผชิญกับความท้าทาย, มีความยุติธรรมในการปฏิบัติต่อกัน, และมีการควบคุมตนเองในการจัดการกับอารมณ์และความต้องการ การพัฒนาคุณธรรมเหล่านี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและน่าเชื่อถือ

3. การยอมรับในความเป็นจริง (Amor Fati)

  • แนวคิด: Amor Fati หมายถึงการรักในชะตากรรมและยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การยอมรับในความเป็นจริงหมายถึงการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ต่อต้านหรือโทษตัวเองหรืออีกฝ่าย การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบและความท้าทายที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์เหล่านั้น

4. การฝึกฝนการละทิ้ง (Detachment)

  • แนวคิด: สโตอิกสอนให้เราไม่ยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป และฝึกฝนการละทิ้งในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การฝึกฝนการละทิ้งหมายถึงการไม่ยึดติดกับความคาดหวังหรือผลลัพธ์ที่เราต้องการจากอีกฝ่าย การปล่อยวางและยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยลดความเครียดและสร้างความสงบสุขในความสัมพันธ์

5. การสื่อสารอย่างมีสติ (Mindful Communication)

  • แนวคิด: สโตอิกสอนให้เรามีสติและควบคุมอารมณ์ในการสื่อสาร

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสื่อสารอย่างมีสติหมายถึงการพูดและฟังด้วยความเข้าใจและความเคารพ การไม่ปล่อยให้อารมณ์มาควบคุมการสื่อสารจะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจระหว่างกัน

6. การฝึกฝนความอดทน (Patience)

  • แนวคิด: สโตอิกสอนให้เรามีความอดทนและเข้าใจในกระบวนการของชีวิต

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การฝึกฝนความอดทนหมายถึงการให้เวลาและโอกาสกับอีกฝ่ายในการเรียนรู้และเติบโต การไม่เร่งรีบหรือคาดหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงในทันทีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน

7. การมองเห็นคุณค่าในปัจจุบัน (Present Moment Awareness)

  • แนวคิด: สโตอิกสอนให้เรามีสติและอยู่กับปัจจุบัน

  • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การมองเห็นคุณค่าในปัจจุบันหมายถึงการให้ความสำคัญและใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ การไม่นำความขัดแย้งในอดีตมาทำให้ปัจจุบันขุ่นมัว หรือการไม่กังวลกับอนาคตมากเกินไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและเป็นธรรมชาติ

สรุป

การนำแนวคิดสโตอิกมาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ, ความเข้าใจ, และความสัมพันธ์ที่มั่นคง การควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้, การพัฒนาคุณธรรม, และการยอมรับในความเป็นจริง เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

  • ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงยอมรับและทำภายใต้เงื่อนไขนั้นให้ดีที่สุด
  • ความสำเร็จมิได้วัดที่ผลแพ้ชนะ หากวัดกันที่ความทุ่มเทขณะลงสนาม
  •  แม้แก้วแตกไป แต่โชคดีแค่ไหนแล้วที่มีแก้วใบนั้นมาตั้งแต่ต้น
  •  สิ่งที่ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้นถึงจะนับได้ว่าเป็นสิ่งดีหรือสิ่งร้าย นอกเหนือไปจากนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องแยแส
  • แยกแยะ “สิ่งที่ไม่ต้องแยแส” และฝึกแน่นิ่งกับมันบ่อยๆ
  • มีเพียงผู้ไม่ต้องการสิ่งใดจากคนอื่นหรือสิ่งอื่นเท่านั้นที่เป็นอิสระ 
  • เรามีเสรีภาพที่จะเลือกตีความเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
  • ในหนังสือ "How to live a good life : เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบาย "อิคิไก มองเห็นเส้นชัย หลงใหลกระบวนการ" ว่าอย่างไร
    ChatGPT

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" ของนิ้วกลม เขาอธิบายแนวคิดของ "อิคิไก" ว่าเป็นการมองเห็นเส้นชัยในชีวิตและหลงใหลในกระบวนการที่ทำให้เราเดินทางไปถึงจุดนั้น

    อิคิไก (Ikigai) เป็นแนวคิดจากญี่ปุ่นที่หมายถึง "เหตุผลในการเป็นอยู่" หรือ "จุดหมายในชีวิต" ซึ่งรวมเอาสิ่งที่เรารัก, สิ่งที่เราทำได้ดี, สิ่งที่เราสามารถทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์, และสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเรา แนวคิดนี้สอนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและความพอใจ โดยการมองเห็นจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และในขณะเดียวกันก็คือการหลงใหลในกระบวนการที่เรากำลังทำอยู่ เพื่อที่จะรู้สึกถึงความสุขและความสำเร็จในทุกๆ วันของชีวิต

    ดังนั้น การมี "อิคิไก" หมายถึงการมีความชัดเจนในเป้าหมายชีวิตของเรา และรู้สึกถึงความสนุกสนานในกระบวนการที่เรากำลังเดินทางไปถึงจุดหมายนี้ การมีอิคิไกทำให้ชีวิตเรามีความหมายและความสุขมากยิ่งขึ้น

    Wabi-sabi : Japan

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ วะบิ-ซะบิ (Wabi-Sabi) ที่ว่า "สงบงามกลางโกลาหล" ไว้ดังนี้:

    แนวคิดของวะบิ-ซะบิ ซึ่งเป็นปรัชญาญี่ปุ่นเกี่ยวกับความงามในความไม่สมบูรณ์และความเป็นธรรมชาติสะท้อนให้เห็นถึงการมองหาความสงบและความงามในสถานการณ์ที่ไม่สมบูรณ์และมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน วะบิ-ซะบิให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย ความไม่สมบูรณ์ และความชราภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงามในธรรมชาติและในสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง

    นิ้วกลมอธิบายว่า การมีมุมมองแบบวะบิ-ซะบิ หมายถึงการเรียนรู้ที่จะค้นหาความงามและความสงบในสถานการณ์ที่วุ่นวายหรือไม่สมบูรณ์ การมองเห็นความงามในความเรียบง่ายและความธรรมดา โดยไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือการยอมรับและสงบใจในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหรือมีความยุ่งเหยิง

    การ "สงบงามกลางโกลาหล" ในที่นี้หมายถึงการหาความสงบในใจและการพบกับความงามในชีวิตที่มีความไม่สมบูรณ์และความเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ช่วยให้เราไม่ต้องตึงเครียดกับความพยายามในการทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่สามารถยอมรับและชื่นชมสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    ดังนั้น วะบิ-ซะบิ สอนให้เราเรียนรู้การรับมือกับชีวิตด้วยท่าทีที่สงบและมีความสุขในความเรียบง่ายและไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะช่วยให้เรารู้สึกดีและพอใจในทุกๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ วะบิ-ซะบิ (Wabi-Sabi) ว่าเป็นการมองชีวิตในแบบที่เรียบง่ายและงดงามในความธรรมดา โดยอธิบายว่าชีวิตที่ดีในมุมมองของวะบิ-ซะบิ คือการเรียนรู้ที่จะชื่นชมและพบความงามในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์และไม่คงที่

    วะบิ-ซะบิ เป็นแนวคิดทางญี่ปุ่นที่มองหาความงามในความไม่สมบูรณ์และความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเน้นความเรียบง่ายและความธรรมชาติ ในมุมมองนี้ ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราสามารถยอมรับและชื่นชมความงามในสิ่งที่ธรรมดาและไม่สมบูรณ์แบบ

    นิ้วกลมอธิบายว่า การมองชีวิตแบบวะบิ-ซะบิ ทำให้เราเข้าใจและรับรู้ถึงความงามในความเรียบง่าย เช่น ความงามของสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา ความงามของสิ่งที่มีร่องรอยของการใช้งาน หรือความงามของความไม่สมบูรณ์ การหาความสุขจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และการเห็นคุณค่าในชีวิตประจำวันที่เป็นธรรมดา

    โดยการมองชีวิตจากมุมมองของวะบิ-ซะบิ เราจะพบกับความสงบและความพอใจจากสิ่งที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน แทนที่จะพยายามทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบหรือคาดหวังให้ชีวิตเป็นไปตามมาตรฐานที่สูงเกินไป การใช้ชีวิตในแบบนี้ช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นอยู่และมีความสุขจากการเห็นคุณค่าในความธรรมดาและความไม่สมบูรณ์

    ดังนั้น ชีวิตที่ดีในมุมมองวะบิ-ซะบิ คือการเรียนรู้ที่จะชื่นชมความงามในความธรรมดาและไม่สมบูรณ์ของชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เราเป็นคนที่มีความสุขและพอใจในสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตของเรา

    การนำแนวคิดวาบิ-ซาบิ (Wabi-Sabi) ซึ่งเป็นปรัชญาญี่ปุ่นที่เน้นการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ ความเรียบง่าย และความงามในความไม่ถาวร มาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์ สามารถช่วยสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และความสงบสุขในความสัมพันธ์ได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:

    1. การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ (Embracing Imperfection)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เรายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบและเห็นคุณค่าในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบหมายถึงการยอมรับในข้อบกพร่องและความผิดพลาดของทั้งตัวเองและอีกฝ่าย การไม่คาดหวังความสมบูรณ์แบบจะช่วยลดความกดดันและสร้างความเข้าใจระหว่างกัน

    2. การเห็นคุณค่าในความเรียบง่าย (Simplicity)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เราเห็นคุณค่าในความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การเห็นคุณค่าในความเรียบง่ายหมายถึงการไม่สร้างความซับซ้อนหรือปัญหาโดยไม่จำเป็น การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและไม่คิดมากเกินไปจะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและไม่ตึงเครียด

    3. การเข้าใจในความไม่ถาวร (Impermanence)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เรายอมรับในความไม่ถาวรของสิ่งต่าง ๆ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การเข้าใจในความไม่ถาวรหมายถึงการยอมรับว่าความสัมพันธ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงและไม่คงที่ตลอดไป การเข้าใจและยอมรับในความเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราปรับตัวและเติบโตไปกับความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น

    4. การให้ความสำคัญกับปัจจุบัน (Present Moment Awareness)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เรามีสติและอยู่กับปัจจุบัน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้ความสำคัญกับปัจจุบันหมายถึงการใส่ใจและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ การไม่นำความขัดแย้งในอดีตมาทำให้ปัจจุบันขุ่นมัว หรือการไม่กังวลกับอนาคตมากเกินไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและเป็นธรรมชาติ

    5. การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง (Depth and Authenticity)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เราเห็นคุณค่าในความลึกซึ้งและความจริงใจ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งหมายถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความเข้าใจ การไม่เพียงแต่สนใจในสิ่งที่ผิวเผิน แต่ยังเข้าใจในความลึกซึ้งของอีกฝ่ายจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน

    6. การให้อภัยและความเมตตา (Forgiveness and Compassion)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เรามีความเมตตาและเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้อภัยและแสดงความเมตตาต่อกันเมื่อเกิดข้อผิดพลาด จะช่วยให้ความสัมพันธ์ยืนยาวและมีความสุข การเข้าใจว่าทุกคนมีข้อบกพร่องและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง

    7. การสร้างความสงบสุข (Inner Peace)

    • แนวคิด: วาบิ-ซาบิสอนให้เราสร้างความสงบสุขภายในตนเอง

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสงบสุขหมายถึงการไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งหรือความเครียดมาทำลายความสัมพันธ์ การหาวิธีสร้างความสงบสุขภายในตนเองและในความสัมพันธ์จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและยั่งยืน

    สรุป

    การนำแนวคิดวาบิ-ซาบิมาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความเข้าใจ, การยอมรับ, และความสงบสุข การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ, การเห็นคุณค่าในความเรียบง่าย, และการเข้าใจในความไม่ถาวร เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

     

    Niksen : The Netherlands

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ นิกเซน (Nihilism) ในหลายมุมมองที่เกี่ยวข้องกับความสุขและการใช้ชีวิตที่ดีดังนี้:

    1. นิกเซน ความสุขคืออะไร
      แนวคิดนิกเซนมองว่าความสุขเป็นสิ่งที่หลอกลวงหรือไม่สำคัญ เพราะมันอาจจะเป็นเพียงการหลบหนีจากความจริงที่ว่าโลกนี้ไม่มีความหมายโดยพื้นฐาน หรือไม่มีเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิต การเข้าใจว่าความสุขอาจเป็นเพียงการหลอกลวงหรือสิ่งที่ไม่ยั่งยืนช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการพึ่งพาความสุขที่สร้างจากปัจจัยภายนอกและมุ่งไปที่การค้นพบความหมายในสิ่งที่แท้จริง

    2. นิกเซน องค์ประกอบความสุข
      ตามแนวคิดนิกเซน ความสุขอาจถูกมองว่าเป็นผลลัพธ์ของการรับรู้ว่าชีวิตไม่มีความหมายที่แท้จริง ดังนั้น องค์ประกอบของความสุขในมุมมองนี้อาจเกี่ยวข้องกับการยอมรับและเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายหรือความหมายที่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เราเริ่มมองหาความหมายในปัจจุบันโดยไม่ยึดติดกับความสุขที่เป็นเป้าหมายหรือความต้องการของเรา

    3. นิกเซน พักสักนิกส์
      แนวคิดนี้หมายถึงการหยุดพักจากการแสวงหาความสุขหรือความหมายที่อาจดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด การหยุดพักหรือการให้เวลาตนเองในการรับรู้ถึงความว่างเปล่าหรือความไม่แน่นอนของชีวิต เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรามีความสงบและความสุขในสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน การพักสักนิกส์เป็นการรับรู้ว่าไม่จำเป็นต้องหาความหมายหรือความสุขตลอดเวลา เราสามารถยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่และใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างเต็มที่

    4. ชีวิตที่ดีในมุมมองนิกเซน
      ชีวิตที่ดีในมุมมองนิกเซนอาจไม่มุ่งหวังให้มีความหมายหรือความสุขที่เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายหรือความหมายที่แน่นอน การมองเห็นความงามและความสงบในสิ่งที่มีอยู่และการเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเป็นจริงของชีวิตอย่างมีสติและเป็นธรรมชาติ

    โดยรวมแล้ว การมองชีวิตผ่านมุมมองของนิกเซนคือการรับรู้และยอมรับความจริงที่ว่าชีวิตอาจไม่มีความหมายที่แน่นอนหรือความสุขที่ยั่งยืน และมุ่งเน้นไปที่การใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพยายามหาความหมายหรือความสุขที่อยู่นอกเหนือสิ่งที่มีอยู่

    การนำแนวคิด Niksen ซึ่งเป็นแนวคิดจากเนเธอร์แลนด์ที่หมายถึง "การไม่ทำอะไรเลย" หรือ "การปล่อยให้ตัวเองว่างเปล่าโดยไม่ต้องมีเป้าหมายหรือกิจกรรมใด ๆ" มาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์ สามารถช่วยสร้างความผ่อนคลายและความสุขในความสัมพันธ์ได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:

    1. การให้เวลากับตัวเอง (Personal Time)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เราให้เวลากับตัวเองโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้เวลากับตัวเองหมายถึงการปล่อยให้ตัวเองได้พักผ่อนและผ่อนคลายโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องต่าง ๆ การให้เวลากับตัวเองจะช่วยให้เรามีพลังงานและความสุขที่จะแบ่งปันให้กับอีกฝ่าย

    2. การสร้างช่วงเวลาที่ผ่อนคลายร่วมกัน (Relaxing Together)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เราสร้างช่วงเวลาที่ผ่อนคลายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างช่วงเวลาที่ผ่อนคลายร่วมกันหมายถึงการปล่อยให้ทั้งคู่ได้พักผ่อนและผ่อนคลายโดยไม่ต้องกังวลกับกิจกรรมหรือเป้าหมายใด ๆ การนั่งเงียบ ๆ ด้วยกันหรือนอนเล่นโดยไม่ต้องทำอะไรเลยจะช่วยสร้างความใกล้ชิดและความสุขในความสัมพันธ์

    3. การลดความกดดัน (Reducing Pressure)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เราลดความกดดันและไม่ต้องทำอะไรเลย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การลดความกดดันหมายถึงการไม่สร้างความคาดหวังหรือความกดดันให้กับอีกฝ่าย การปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนและผ่อนคลายโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องต่าง ๆ จะช่วยสร้างความสุขและความเข้าใจระหว่างกัน

    4. การสร้างความสมดุล (Balance)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เราสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสมดุลหมายถึงการแบ่งเวลาให้กับทั้งการทำงานและการพักผ่อน การให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและผ่อนคลายจะช่วยสร้างความสุขและความสมดุลในความสัมพันธ์

    5. การให้ความสำคัญกับปัจจุบัน (Present Moment Awareness)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เรามีสติและอยู่กับปัจจุบัน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้ความสำคัญกับปัจจุบันหมายถึงการใส่ใจและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ การไม่นำความขัดแย้งในอดีตมาทำให้ปัจจุบันขุ่นมัว หรือการไม่กังวลกับอนาคตมากเกินไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและเป็นธรรมชาติ

    6. การสร้างความใกล้ชิด (Intimacy)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เราสร้างความใกล้ชิดโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความใกล้ชิดหมายถึงการปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องทำกิจกรรมใด ๆ การนั่งเงียบ ๆ ด้วยกันหรือนอนเล่นโดยไม่ต้องทำอะไรเลยจะช่วยสร้างความใกล้ชิดและความสุขในความสัมพันธ์

    7. การให้อภัยและความเมตตา (Forgiveness and Compassion)

    • แนวคิด: Niksen สอนให้เรามีความเมตตาและเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้อภัยและแสดงความเมตตาต่อกันเมื่อเกิดข้อผิดพลาด จะช่วยให้ความสัมพันธ์ยืนยาวและมีความสุข การเข้าใจว่าทุกคนมีข้อบกพร่องและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง

    สรุป

    การนำแนวคิด Niksen มาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความผ่อนคลาย, ความสุข, และความเข้าใจระหว่างกัน การให้เวลากับตัวเอง, การสร้างช่วงเวลาที่ผ่อนคลายร่วมกัน, และการลดความกดดัน เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

     

    Hygge : Denmark

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ ฮุกกะ (Hygge) ซึ่งเป็นแนวคิดจากเดนมาร์กที่เกี่ยวข้องกับความสุขและการใช้ชีวิตที่ดี ดังนี้:

    1. ฮุกกะ ความสุขคือการกอดคนอื่น
      ความสุขในมุมมองของฮุกกะเน้นที่การเชื่อมโยงและการสร้างความอบอุ่นกับคนรอบข้าง การกอดหรือการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารักเป็นการสะท้อนถึงความสุขที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ดีและความรู้สึกของความเป็นหนึ่งเดียว ฮุกกะมองว่าความสุขมาจากการมีช่วงเวลาที่มีคุณค่ากับคนที่สำคัญในชีวิต เช่น การใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศที่สบายและอบอุ่น

    2. ฮุกกะ ABC ของความสุข

      • A: Aesthetics – ความงามในสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมชาติ ฮุกกะให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศที่สบายและงดงามด้วยสิ่งของที่มีความสวยงามและเรียบง่าย เช่น การตกแต่งบ้านด้วยเทียนหรือผ้าห่มที่นุ่มสบาย
      • B: Bonding – การสร้างความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงกับคนอื่น การใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนๆ ในกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและความใกล้ชิด
      • C: Comfort – ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เช่น การสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายที่บ้าน การมีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการให้ความสำคัญกับความรู้สึกสบายและผ่อนคลายในกิจกรรมต่างๆ
    3. ชีวิตที่ดีในมุมมองฮุกกะ
      ชีวิตที่ดีตามมุมมองของฮุกกะคือการสร้างความสุขจากสิ่งที่เรียบง่ายและการเชื่อมโยงกับคนรอบข้างอย่างจริงใจ มันเป็นการให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและการใช้เวลาที่มีคุณค่าในกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกดี การมีความสุขในชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องมีสิ่งของหรือความสำเร็จที่ใหญ่โต แต่เป็นการสร้างความพอใจและความสงบจากสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน

    โดยรวมแล้ว ฮุกกะเป็นการมองหาความสุขจากความเรียบง่าย ความสะดวกสบาย และความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตของเรา การใช้ชีวิตตามแนวคิดนี้ช่วยให้เราสามารถพบความสุขจากการใช้เวลาที่มีคุณค่าและการสร้างบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกดีและอบอุ่น

    การนำแนวคิด Hygge (ฮุกกะ) ซึ่งเป็นแนวคิดจากเดนมาร์กที่เน้นการสร้างบรรยากาศอบอุ่น สบาย ๆ และมีความสุขในชีวิตประจำวัน มาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์ สามารถช่วยสร้างความใกล้ชิด ความสุข และความผ่อนคลายในความสัมพันธ์ได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:


    1. สร้างบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย (Creating a Cozy Atmosphere)

    • แนวคิด: Hygge เน้นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย เช่น การใช้แสงเทียน เสียงเพลงเบา ๆ หรือการตกแต่งบ้านให้รู้สึกสบาย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายจะช่วยให้ทั้งคู่รู้สึกใกล้ชิดและผ่อนคลาย เช่น การนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นที่แสงสลัว มีผ้าห่มนุ่ม ๆ หรือการดื่มชาร้อน ๆ ด้วยกัน การสร้างบรรยากาศแบบนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย


    2. ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาร่วมกัน (Quality Time Together)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เราให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่มีคุณภาพกับคนที่เรารัก โดยไม่ต้องมีกิจกรรมที่ซับซ้อน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ เช่น การนั่งคุยกัน การทำอาหารร่วมกัน หรือการดูหนังด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งรบกวน จะช่วยสร้างความใกล้ชิดและความเข้าใจระหว่างกัน


    3. ลดความซับซ้อนในชีวิต (Simplifying Life)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เราลดความซับซ้อนในชีวิตและให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เรามีความสุข

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การลดความซับซ้อนหมายถึงการไม่สร้างความกดดันหรือความคาดหวังมากเกินไป การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่เรียบง่าย เช่น การเดินเล่นด้วยกันหรือการนั่งจิบกาแฟในตอนเช้า จะช่วยสร้างความสุขในความสัมพันธ์


    4. สร้างความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ (Finding Joy in Small Things)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เราเห็นคุณค่าและความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น การชื่นชมอีกฝ่ายเมื่อทำสิ่งดี ๆ ให้กัน การพูดคำขอบคุณ หรือการให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ จะช่วยสร้างความสุขและความประทับใจในความสัมพันธ์


    5. การอยู่กับปัจจุบัน (Being Present)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เราอยู่กับปัจจุบันและให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่เรามีอยู่

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การอยู่กับปัจจุบันหมายถึงการใส่ใจและให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายในขณะนี้ การไม่นำความขัดแย้งในอดีตมาทำให้ปัจจุบันขุ่นมัว หรือการไม่กังวลกับอนาคตมากเกินไป จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและเป็นธรรมชาติ


    6. การสร้างความใกล้ชิดทางกายภาพ (Physical Closeness)

    • แนวคิด: Hygge ส่งเสริมการสร้างความใกล้ชิดทางกายภาพ เช่น การกอด การจับมือ หรือการนั่งใกล้กัน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความใกล้ชิดทางกายภาพจะช่วยเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เช่น การกอดกันก่อนนอน การจับมือขณะเดิน หรือการนั่งใกล้กันขณะดูหนัง จะช่วยสร้างความใกล้ชิดและความผูกพัน


    7. การแบ่งปันความสุข (Sharing Happiness)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เราแบ่งปันความสุขและความสบายใจกับคนที่เรารัก

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การแบ่งปันความสุขหมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีร่วมกัน เช่น การทำอาหารร่วมกัน การเล่นเกมด้วยกัน หรือการเล่าเรื่องราวดี ๆ ให้กันฟัง การแบ่งปันความสุขจะช่วยสร้างความทรงจำที่ดีและความสุขในความสัมพันธ์


    8. การให้อภัยและความเมตตา (Forgiveness and Compassion)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เรามีความเมตตาและเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้อภัยและแสดงความเมตตาต่อกันเมื่อเกิดข้อผิดพลาด จะช่วยให้ความสัมพันธ์ยืนยาวและมีความสุข การเข้าใจว่าทุกคนมีข้อบกพร่องและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง


    9. การสร้างความทรงจำที่ดี (Creating Happy Memories)

    • แนวคิด: Hygge สอนให้เราสร้างความทรงจำที่ดีจากช่วงเวลาที่เรียบง่าย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความทรงจำที่ดีหมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีร่วมกัน เช่น การไปปิกนิก การเดินเล่นในสวน หรือการนั่งคุยกันในวันที่อากาศเย็น การสร้างความทรงจำเหล่านี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและยั่งยืน


    สรุป

    การนำแนวคิด Hygge มาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความอบอุ่น ความสุข และความใกล้ชิดระหว่างกัน การสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาร่วมกัน และการเห็นคุณค่าในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

     

    Sisu : Finland

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ ชิสุ (Chisu) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นไปที่การรักษาความสงบและความเป็นธรรมชาติในชีวิตตามมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนี้:

    1. ชิสุ เย็นเฉียบ-ร้อนฉ่า พาเป็นสุข
      แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ที่จะรักษาสมดุลระหว่างความเย็นเฉียบ (การสงบและความควบคุม) และความร้อนฉ่า (ความหลงใหลและความตื่นเต้น) ในชีวิต เพื่อให้ได้ความสุขที่แท้จริง ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี การรู้จักควบคุมอารมณ์ในช่วงเวลาที่ต้องการความสงบ และการปล่อยให้ความหลงใหลได้แสดงออกในช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นการช่วยให้เรามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความสมดุล

    2. ชิสุ ประคองไว้ แล้วไปต่อ
      แนวคิดนี้หมายถึงการเรียนรู้ที่จะรับมือกับความท้าทายและอุปสรรคในชีวิต โดยการประคองความสงบและความเข้มแข็งไว้แม้ในช่วงเวลาที่มีความยากลำบาก การไม่ปล่อยให้ปัญหาหรือความเครียดทำให้เราหยุดนิ่ง แต่กลับมุ่งมั่นและเดินต่อไปในเส้นทางของเรา การรักษาสมดุลทางจิตใจและอารมณ์ในขณะที่เผชิญกับอุปสรรคช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีขึ้น

    3. ชีวิตที่ดีในมุมมองชิสุ
      ชีวิตที่ดีในมุมมองของชิสุคือการมีความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความสงบและความหลงใหล การจัดการกับความรู้สึกและอารมณ์ในชีวิตอย่างมีสติ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหมาย ความสามารถในการรับมือกับความท้าทายและอุปสรรคในชีวิตด้วยความสงบและความมุ่งมั่น เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างชีวิตที่ดีและมีคุณค่า

    โดยรวมแล้ว ชีวิตที่ดีในมุมมองของชิสุคือการหาความสมดุลระหว่างความสงบและความหลงใหล และการรักษาความสงบในใจแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย การจัดการกับอารมณ์และสถานการณ์อย่างมีสติช่วยให้เราสามารถสร้างความสุขและความพอใจในชีวิตได้อย่างยั่งยืน

    การนำแนวคิด Sisu (ซีซู) ซึ่งเป็นแนวคิดจากฟินแลนด์ที่หมายถึงความกล้าหาญ ความอดทน และความมุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรค มาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์ สามารถช่วยสร้างความเข้มแข็ง ความอดทน และความยืดหยุ่นในความสัมพันธ์ได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:


    1. การเผชิญความท้าทายด้วยความกล้าหาญ (Facing Challenges with Courage)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราเผชิญความท้าทายด้วยความกล้าหาญและไม่ยอมแพ้

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การเผชิญความท้าทายด้วยความกล้าหาญหมายถึงการไม่หลีกเลี่ยงปัญหาหรือความขัดแย้ง แต่เลือกที่จะแก้ไขด้วยความเข้าใจและความมุ่งมั่น การไม่ยอมแพ้เมื่อเจออุปสรรคจะช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแกร่งขึ้น


    2. การอดทนและยืดหยุ่น (Patience and Resilience)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เรามีความอดทนและยืดหยุ่นในการเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การอดทนและยืดหยุ่นหมายถึงการให้เวลาและโอกาสกับอีกฝ่ายในการเรียนรู้และเติบโต การไม่เร่งรีบหรือคาดหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงในทันทีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน


    3. การมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ (Commitment to the Relationship)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เรามุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์หมายถึงการไม่ยอมแพ้เมื่อเจอปัญหา แต่เลือกที่จะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขและผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ การมุ่งมั่นจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาว


    4. การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กัน (Supporting Each Other)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราเป็นคนเข้มแข็งและสนับสนุนผู้อื่น

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กันหมายถึงการอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายในยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือหรือกำลังใจ การเป็นกำลังใจให้กันจะช่วยสร้างความไว้วางใจและความใกล้ชิด


    5. การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ (Embracing Imperfection)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เรายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบหมายถึงการเข้าใจว่าทั้งตัวเองและอีกฝ่ายมีข้อบกพร่อง และพร้อมที่จะเรียนรู้และเติบโตจากข้อผิดพลาด การยอมรับจะช่วยลดความกดดันและสร้างความเข้าใจ


    6. การมองปัญหาเป็นโอกาส (Seeing Challenges as Opportunities)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราเห็นปัญหาหรืออุปสรรคเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การมองปัญหาเป็นโอกาสหมายถึงการไม่มองความขัดแย้งหรือความท้าทายเป็นสิ่งลบ แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจกันมากขึ้นและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งขึ้น


    7. การสร้างความเข้มแข็งภายใน (Building Inner Strength)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราสร้างความเข้มแข็งภายในเพื่อเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความเข้มแข็งภายในหมายถึงการพัฒนาตนเองให้มีความมั่นใจและความเข้าใจในตนเอง การมีความเข้มแข็งภายในจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนและอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายได้ดีขึ้น


    8. การไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ (Perseverance)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และพยายามจนกว่าจะสำเร็จ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หมายถึงการไม่ทิ้งกันเมื่อเจอปัญหา แต่เลือกที่จะทำงานร่วมกันเพื่อผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ การไม่ยอมแพ้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาว


    9. การให้อภัยและก้าวต่อไป (Forgiveness and Moving Forward)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราให้อภัยและก้าวต่อไปแม้จะเจอความยากลำบาก

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้อภัยและก้าวต่อไปหมายถึงการไม่ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต แต่เลือกที่จะเรียนรู้และเติบโตจากมัน การให้อภัยจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน


    10. การสร้างความสุขจากความเรียบง่าย (Finding Joy in Simplicity)

    • แนวคิด: Sisu สอนให้เราเห็นคุณค่าในความเรียบง่ายและความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสุขจากความเรียบง่ายหมายถึงการให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่เรียบง่าย เช่น การนั่งคุยกัน การเดินเล่น หรือการทำอาหารร่วมกัน การเห็นคุณค่าในสิ่งเล็ก ๆ จะช่วยสร้างความสุขในความสัมพันธ์


    สรุป

    การนำแนวคิด Sisu มาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ความอดทน และความยืดหยุ่น การเผชิญความท้าทายด้วยความกล้าหาญ การมุ่งมั่นที่จะรักษาความสัมพันธ์ และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

     Daostanding : Sweden

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมอธิบายแนวคิดของ เดอสแต๊ดนิง (Decluttering) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ชีวิตเรียบง่ายและมีความสุขด้วยการจัดระเบียบและปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ดังนี้:

    1. เดอสแต๊ดนิง จงแวดล้อมตัวเองด้วยสิ่งที่ทำให้เป็นสุข
      แนวคิดนี้เน้นความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนความสุขและความสงบในชีวิต การจัดระเบียบและเลือกสิ่งของหรือกิจกรรมที่เรามีความสุขและรู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้ สิ่งที่เราแวดล้อมตัวเองมีผลต่อความรู้สึกและความเป็นอยู่ของเรา การทำให้สภาพแวดล้อมของเราเป็นที่ที่ทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายจะช่วยให้เราเป็นสุขมากขึ้น

    2. เดอสแต๊ดนิง ปล่อยข้าวของไป เก็บไว้เพียงสิ่งสำคัญ
      แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการปล่อยสิ่งของที่ไม่จำเป็นและการเก็บรักษาเฉพาะสิ่งที่มีความหมายและสำคัญ การทำความสะอาดและจัดระเบียบข้าวของในชีวิตของเรา ช่วยให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าแทนที่จะเป็นภาระที่ไม่จำเป็น การปล่อยวางสิ่งที่เกินความจำเป็นช่วยให้เรามีพื้นที่มากขึ้นทั้งในทางกายภาพและทางจิตใจ

    3. ชีวิตที่ดีในมุมมองเดอสแต๊ดนิง
      ชีวิตที่ดีในมุมมองของเดอสแต๊ดนิงคือการมีชีวิตที่เรียบง่ายและมีการจัดระเบียบที่ดี การมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญและมีความหมาย การปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นและการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนความสุขและความสงบ ช่วยให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และมีคุณค่า

    4. ชีวิตที่ดีคืออะไร
      ชีวิตที่ดีในมุมมองของเดอสแต๊ดนิงคือการสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมที่ทำให้เรารู้สึกดี การมีความเรียบง่ายในการดำเนินชีวิต และการเก็บรักษาเฉพาะสิ่งที่สำคัญ การปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นและการจัดระเบียบสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตทำให้เราสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของเรา

    โดยรวมแล้ว เดอสแต๊ดนิงสอนให้เราเรียนรู้ที่จะรักษาชีวิตให้เรียบง่ายและจัดระเบียบ ทั้งในแง่ของสิ่งของที่เรามีและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เรามีชีวิตที่ดีและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

    แนวคิด Lagom (ลากอม) ซึ่งเป็นปรัชญาชีวิตแบบสวีเดนที่หมายถึง "ความพอดี" หรือ "ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป" สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตความรักและความสัมพันธ์เพื่อสร้างความสมดุลและความสุขได้อย่างลงตัว ต่อไปนี้เป็นวิธีบางประการ:


    1. การสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ (Balance in the Relationship)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราหาความพอดีในทุกสิ่ง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสมดุลหมายถึงการแบ่งเวลาและพลังงานให้กับความสัมพันธ์อย่างเหมาะสม ไม่ทุ่มเทมากเกินไปจนเสียสมดุลในชีวิตส่วนตัว หรือไม่ทิ้งความสัมพันธ์จนขาดการดูแล การสร้างสมดุลจะช่วยให้ทั้งคู่รู้สึกดีและไม่เหนื่อยล้า


    2. การสื่อสารอย่างพอดี (Moderate Communication)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราสื่อสารอย่างพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสื่อสารอย่างพอดีหมายถึงการพูดคุยกันอย่างเปิดใจแต่ไม่บ่นหรือจุกจิกจนเกินไป การฟังและพูดอย่างสมดุลจะช่วยสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง


    3. การให้และรับอย่างพอดี (Giving and Receiving in Moderation)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราให้และรับอย่างพอดี ไม่เอาเปรียบหรือเสียเปรียบ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้และรับอย่างพอดีหมายถึงการไม่ทุ่มเทให้อีกฝ่ายมากเกินไปจนตัวเองเหนื่อย หรือไม่รับแต่เพียงฝ่ายเดียวจนอีกฝ่ายรู้สึกไม่เป็นธรรม การสร้างสมดุลในการให้และรับจะช่วยให้ความสัมพันธ์ยืนยาว


    4. การสร้างความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ (Finding Joy in Simplicity)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราเห็นคุณค่าในความเรียบง่ายและความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสุขจากสิ่งเล็ก ๆ หมายถึงการให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่เรียบง่าย เช่น การนั่งคุยกัน การเดินเล่น หรือการทำอาหารร่วมกัน การเห็นคุณค่าในสิ่งเล็ก ๆ จะช่วยสร้างความสุขในความสัมพันธ์


    5. การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ (Embracing Imperfection)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เรายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบและหาความพอดีในสิ่งที่มี

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบหมายถึงการเข้าใจว่าทั้งตัวเองและอีกฝ่ายมีข้อบกพร่อง และพร้อมที่จะเรียนรู้และเติบโตจากข้อผิดพลาด การยอมรับจะช่วยลดความกดดันและสร้างความเข้าใจ


    6. การสร้างความใกล้ชิดแต่ไม่รุกล้ำ (Closeness with Boundaries)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราใกล้ชิดแต่ไม่รุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความใกล้ชิดแต่ไม่รุกล้ำหมายถึงการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์แต่ยังคงเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย การสร้างสมดุลระหว่างความใกล้ชิดและความเป็นส่วนตัวจะช่วยให้ทั้งคู่รู้สึกสบายใจ


    7. การแก้ปัญหาอย่างพอดี (Solving Problems Moderately)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราแก้ปัญหาอย่างพอดี ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การแก้ปัญหาอย่างพอดีหมายถึงการไม่เพิกเฉยต่อปัญหาแต่ก็ไม่ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ การแก้ปัญหาอย่างสมดุลจะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและยั่งยืน


    8. การสร้างความสุขร่วมกัน (Creating Shared Happiness)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราสร้างความสุขร่วมกันโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งฟุ่มเฟือย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความสุขร่วมกันหมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีร่วมกัน เช่น การทำอาหารร่วมกัน การเดินเล่นในสวน หรือการดูหนังด้วยกัน การสร้างความสุขจากสิ่งเรียบง่ายจะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและยั่งยืน


    9. การให้อภัยและก้าวต่อไป (Forgiveness and Moving Forward)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราให้อภัยและก้าวต่อไปอย่างพอดี ไม่ยึดติดกับอดีต

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การให้อภัยและก้าวต่อไปหมายถึงการไม่ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต แต่เลือกที่จะเรียนรู้และเติบโตจากมัน การให้อภัยจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน


    10. การสร้างความทรงจำที่ดี (Creating Happy Memories)

    • แนวคิด: Lagom สอนให้เราสร้างความทรงจำที่ดีจากช่วงเวลาที่เรียบง่าย

    • การปรับใช้: ในความสัมพันธ์ การสร้างความทรงจำที่ดีหมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีร่วมกัน เช่น การไปปิกนิก การเดินเล่นในสวน หรือการนั่งคุยกันในวันที่อากาศเย็น การสร้างความทรงจำเหล่านี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์มีความสุขและยั่งยืน


    สรุป

    การนำแนวคิด Lagom มาปรับใช้ในความสัมพันธ์จะช่วยสร้างความสมดุล ความสุข และความยั่งยืน การสร้างความสมดุลในทุกด้าน การสื่อสารอย่างพอดี และการเห็นคุณค่าในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นหลักการสำคัญที่สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนได้

     

    ในหนังสือ "How to Live a Good Life: เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร" นิ้วกลมสรุปบทเรียนเกี่ยวกับชีวิตที่ดีจากการศึกษาต่างๆ ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการมองชีวิตอย่างมีสติและเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งที่สำคัญ โดยสรุปแนวคิดหลักที่นิ้วกลมได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตที่ดี มีดังนี้:

    1. การเข้าใจความหมายของชีวิต
      นิ้วกลมเน้นความสำคัญของการค้นหาความหมายและคุณค่าที่แท้จริงในชีวิต ซึ่งไม่สามารถวัดได้จากความสำเร็จภายนอกหรือสิ่งที่เป็นวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่ควรมาจากความสัมพันธ์ที่ดี การมีเป้าหมายที่ชัดเจน และการทำสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีความหมาย

    2. การมองชีวิตในหลายมิติ
      การใช้ชีวิตที่ดีนั้นต้องมีความเข้าใจในหลายมิติ เช่น การให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและกาย การมีความสัมพันธ์ที่ดี การทำงานที่มีความหมาย และการมีความสุขจากสิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดา การสร้างสมดุลระหว่างความท้าทายและความสงบ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข

    3. การเรียนรู้และพัฒนา
      ชีวิตที่ดีเป็นการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ และการเรียนรู้จากความท้าทายและอุปสรรค การเติบโตอย่างต่อเนื่องและการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างชีวิตที่ดี

    4. การรับรู้และยอมรับความไม่สมบูรณ์
      การเรียนรู้ที่จะรับรู้และยอมรับความไม่สมบูรณ์และความไม่แน่นอนในชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตที่ดี การเข้าใจว่าชีวิตไม่ได้สมบูรณ์แบบและการเรียนรู้ที่จะหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่จริงในปัจจุบันช่วยให้เรามีความสงบและความพอใจ

    5. การให้คุณค่าแก่ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยง
      ความสัมพันธ์ที่ดีและการเชื่อมโยงกับผู้อื่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้เรามีความสุขและรู้สึกว่ามีคุณค่าในชีวิต

    โดยรวมแล้ว นิ้วกลมเสนอว่า "ชีวิตที่ดี" คือการค้นหาความหมายในชีวิต การมองหลายมิติของชีวิต การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การยอมรับความไม่สมบูรณ์ และการให้คุณค่ากับความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงกับผู้อื่น ทั้งหมดนี้ช่วยให้เรามีชีวิตที่มีความสุขและเต็มไปด้วยคุณค่า.

    ไม่มีความคิดเห็น: