จาก
มิเชล ฟูโกต์: ปัญญาชนความจริงและอำนาจ // ธเนศ วงศ์ยานนาวา(2528))
สังคมสมัยใหม่จึงมีความสามารถในการควบคุมให้มนุษย์อยู่ใต้อาณัติได้อย่าง มีประสิทธิภาพด้วยวิธีการอย่างเช่น "วินัย" ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟูโกต์เรียกว่าเป็น anatomo-politics of the human body และอีกวิธีหนึ่งก็คือ ควบคุมเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ การเกิด การตาย การมีชีวิตที่ยาวนานอันเป็นส่วนสำคัญในระบบการผลิต bio-politics of the population
Aude sapere: “dare to know,” “have the courage, the audacity, to know.” Thus Enlightenment must be considered both as a process in which men participate collectively and as an act of courage to be accomplished personally. Men are at once elements and agents of a single process. They may be actors in the process to the extent that they participate in it; and the process occurs to the extent that men decide to be its voluntary actors.
Aude sapere : “กล้าที่จะรู้” “ต้องมีความกล้า กล้าเสี่ยงที่จะรู้” ดังนั้น การตรัสรู้จึงต้องพิจารณาทั้งในฐานะกระบวนการที่มนุษย์มีส่วนร่วมร่วมกัน และเป็นการกระทำที่กล้าหาญที่จะบรรลุผลสำเร็จด้วยตนเอง มนุษย์เป็นทั้งองค์ประกอบและตัวแทนของกระบวนการเดียว พวกเขาอาจเป็นผู้กระทำในกระบวนการในขอบเขตที่พวกเขาเข้าร่วม และกระบวนการเกิดขึ้นในระดับที่มนุษย์ตัดสินใจที่จะเป็นผู้กระทำโดยสมัครใจ
บทความ “What is Enlightenment?” ของ Michel Foucault ซึ่งเผยแพร่ใน The Foucault Reader (1984) พูดถึงแนวคิดเกี่ยวกับ การสว่างทางปัญญา หรือ ความหลุดพ้น (Enlightenment) และวิธีที่ Foucault เข้าใจและวิเคราะห์แนวคิดนี้ในแง่มุมใหม่ที่แตกต่างจากแนวคิดดั้งเดิม
สาระสำคัญของบทความ
ความหลุดพ้นในความหมายของ Kant: Foucault เริ่มต้นโดยการอ้างถึงบทความ "Was ist Aufklärung?" (อะไรคือตรัสรู้?) ของ Immanuel Kant ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1784 และเป็นการถกเถียงเกี่ยวกับความหมายของความหลุดพ้นในยุคสมัยนั้น ฟูโกต์เห็นว่า Kant กำหนดความหลุดพ้นว่าเป็น "การออกจากการเป็นทาสของตนเอง" ซึ่งหมายถึงการใช้เหตุผลและการคิดอย่างอิสระเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการยอมรับสิ่งต่างๆ โดยไม่มีการตรวจสอบ
การตีความความหลุดพ้น: ฟูโกต์ชี้ให้เห็นว่า ความหลุดพ้นไม่ได้เป็นแค่กระบวนการทางปัญญาที่เน้นการได้รับความรู้ใหม่ แต่เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ ตั้งคำถามกับการควบคุม ความหลุดพ้นคือการทบทวนและปฏิเสธสภาพการณ์ของความยอมรับที่ไม่คิด วิเคราะห์ และไม่ได้ตั้งคำถามกับอำนาจที่มีอยู่ในสังคม
ความหลุดพ้นเป็นท่าทีหรือวิธีคิด: ฟูโกต์เสนอว่า ความหลุดพ้นไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เป็นท่าทีหรือวิธีคิดที่สามารถนำมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย ความหลุดพ้นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน การที่เราตั้งคำถามกับตัวเองและกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
วิธีคิดใหม่และการวิพากษ์อำนาจ: ฟูโกต์เน้นว่า ความหลุดพ้นคือกระบวนการของการวิพากษ์อำนาจ ซึ่งเป็นการเข้าใจว่าความรู้และอำนาจไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกัน แต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ในความหลุดพ้น เราต้องการที่จะทำความเข้าใจและตั้งคำถามกับวิธีที่สังคมใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของเรา เช่น กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดว่าอะไรคือ "ปกติ" หรือ "ผิดปกติ"
ความสำคัญของการวิจารณ์ตนเอง: ฟูโกต์ชี้ให้เห็นว่า ความหลุดพ้นต้องเริ่มจากการ วิจารณ์ตนเอง และไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงสังคมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเข้าใจและทบทวนวิธีที่เราปฏิบัติต่อโลก ความรู้สึก และพฤติกรรมของตัวเอง การวิจารณ์นี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรารู้จักอำนาจที่กำหนดตัวตนของเราและการดำเนินชีวิตในสังคม
สรุป
บทความของ Foucault เรื่อง “What is Enlightenment?” เป็นการตีความใหม่เกี่ยวกับแนวคิดความหลุดพ้น โดยเน้นการใช้ การวิพากษ์อำนาจ และการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราเชื่อและยอมรับในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจารณ์วิธีการที่สังคมใช้ในการควบคุมพฤติกรรมและความคิดของบุคคล ความหลุดพ้นในมุมมองของ Foucault ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาความรู้ แต่เป็นกระบวนการของการตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเชื่อและกระทำตามโดยไม่คิดพิจารณา
การเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับการตรัสรู้ของ Michel Foucault ในบทความ “What is Enlightenment?” กับการตรัสรู้ใน พุทธศาสนา ช่วยให้เราเห็นความแตกต่างในแนวทางการมองโลกและวิธีการที่มนุษย์สามารถบรรลุถึงความรู้หรือความเข้าใจในตัวเอง ทั้งในด้านจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ การเปรียบเทียบนี้สามารถแบ่งออกเป็นข้อเหมือนและข้อต่างได้ดังนี้:
ข้อเหมือน
-
การตั้งคำถามกับสภาพปัจจุบัน
- Foucault เน้นการวิพากษ์สังคมและอำนาจ โดยการตรัสรู้ของเขาคือการตั้งคำถามและวิจารณ์เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกยอมรับในสังคมว่าเป็น "ปกติ" หรือ "ถูกต้อง" โดยเฉพาะในเรื่องของอำนาจและการควบคุม
- พุทธศาสนา การตรัสรู้ในพุทธศาสนาคือการตระหนักถึงสภาพความจริงของชีวิต การตั้งคำถามเกี่ยวกับการเกิด, การแก่, การเจ็บ, การตาย และการดับทุกข์ เป็นการออกจากสภาวะที่ติดอยู่ในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโลกและตัวตน
-
การรู้เท่าทันธรรมชาติของสังคมและตัวตน
- Foucault พูดถึงการเข้าใจการกระจายของอำนาจในสังคมที่มีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของบุคคล เช่น การที่สังคมกำหนดความ "ปกติ" หรือ "ผิดปกติ" ของมนุษย์
- พุทธศาสนา ตรัสรู้คือการเห็นความจริงของโลกและชีวิตว่าเป็นทุกข์ (dukkha), เกิดจากการยึดติด (attachment) และอวิชชา (ignorance) ซึ่งต้องการการปล่อยวางและการทำลายกิเลสเพื่อเข้าถึงความสงบและนิพพาน
ข้อแตกต่าง
-
การเข้าใจการตรัสรู้
- Foucault: การตรัสรู้ของ Foucault มีแนวโน้มที่จะมองว่าเป็นกระบวนการทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการวิพากษ์และทบทวนอำนาจ, ความรู้, และความสัมพันธ์ในสังคม การตรัสรู้ไม่ได้หมายถึงการเข้าถึงความจริงในเชิงปรัชญาหรือทางจิตวิญญาณ แต่เป็นการเปิดเผยโครงสร้างอำนาจที่ควบคุมการคิดและพฤติกรรมของบุคคล
- พุทธศาสนา: การตรัสรู้ในพุทธศาสนาคือการบรรลุถึงความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและโลกภายใน, ซึ่งหมายถึงการตระหนักรู้ในสภาวะที่แท้จริงของการเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย และการหลุดพ้นจากความทุกข์ ความตรัสรู้ในพุทธศาสนาเน้นที่การเข้าถึง นิพพาน (Nirvana) ซึ่งหมายถึงการหลุดพ้นจากการเกิดและการตาย
-
การวิพากษ์อำนาจ
- Foucault มองว่าอำนาจไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน แต่มันกระจายอยู่ในทุกๆ มุมของชีวิต สังคมมีอำนาจในรูปแบบต่างๆ ที่ควบคุมการกระทำและการคิดของบุคคล
- พุทธศาสนา การตรัสรู้ในพุทธศาสนามีเป้าหมายในการพ้นจากการยึดติดในอัตตาและกิเลสที่ทำให้เกิดความทุกข์ การตรัสรู้ไม่เกี่ยวข้องกับการวิพากษ์สังคมหรืออำนาจในเชิงสังคมศาสตร์ แต่มุ่งเน้นไปที่การเข้าใจตัวเองและความจริงภายในจิตใจของมนุษย์
-
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
- Foucault: การตรัสรู้ของ Foucault เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวิธีที่บุคคลหรือกลุ่มคนมองโลกและการรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านการตั้งคำถามเกี่ยวกับ "ความปกติ" ในสังคม และการเข้าใจว่าอำนาจที่มีอยู่ในสังคมมีผลต่อการกำหนดความรู้สึกและความคิดของเรา
- พุทธศาสนา: การตรัสรู้ในพุทธศาสนาไม่เพียงแค่การตั้งคำถาม แต่เป็นการเข้าถึงสภาวะของจิตที่ปลอดจากกิเลสและการยึดติด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระดับจิตใจและความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนำไปสู่การดับทุกข์และการเข้าถึงการปล่อยวาง
การวิเคราะห์
- Foucault ดูการตรัสรู้ในแง่ของ การทบทวนอำนาจและโครงสร้างสังคม มากกว่าเป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณ การวิพากษ์อำนาจในสังคมทำให้เราสามารถเข้าใจการควบคุมในรูปแบบต่างๆ ที่มีผลต่อการคิดและการกระทำ
- พุทธศาสนา ตรัสรู้ในแง่ของ การรู้เท่าทันธรรมชาติของชีวิตและการดับทุกข์ ผ่านการปล่อยวางและการลดละความยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดทุกข์ การตรัสรู้ในพุทธศาสนาเป็นการเข้าใจความจริงของโลกและการดำเนินชีวิตที่ปราศจากความทุกข์
สรุป
การตรัสรู้ของ Foucault และ พุทธศาสนา แม้จะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน — หนึ่งมุ่งไปที่การวิพากษ์สังคมและอำนาจ อีกหนึ่งมุ่งไปที่การหลุดพ้นจากความทุกข์และการบรรลุนิพพาน — แต่ทั้งสองแนวคิดยังมีจุดร่วมในการที่ทั้งสองมองการตรัสรู้เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามและการทบทวนสิ่งที่ถือว่าเป็น "ความจริง" ในสังคมและชีวิตส่วนตัวเป็นอย่างไร
Genealogy ของ Michel Foucault เป็นแนวคิดที่เน้นการศึกษา "กำเนิด" และ "วิวัฒนาการ" ของความคิด, ค่านิยม, และระเบียบสังคมต่าง ๆ ผ่านการตรวจสอบประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดยการมองว่าความรู้และอำนาจที่มีอยู่ในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นจากการพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติหรือเป็นระเบียบ แต่มีรากฐานมาจากการต่อสู้, ความขัดแย้ง, และกระบวนการต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
แนวคิด Genealogy ในมุมมองนักจิตวิทยา
จากมุมมองของนักจิตวิทยา แนวคิด Genealogy ของ Foucault มีความสำคัญในการศึกษาอำนาจและการควบคุมจิตใจมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องของ การทำให้เกิด "ปกติ" (Normalization) และ การควบคุมตัวตน (Self-regulation)
การสร้างความ "ปกติ" ในสังคม: Foucault แสดงให้เห็นว่า การปกครองสังคมในยุคสมัยต่าง ๆ ไม่ได้ทำผ่านการใช้ความรุนแรงโดยตรง แต่ทำผ่านการกำหนดความ "ปกติ" ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ผู้คนต้องยึดถือ เช่นในเรื่องการทำงาน, สุขภาพ, หรือแม้กระทั่งการศึกษาของบุคคล ในแง่ของจิตวิทยา นักจิตวิทยามองว่า สังคมมีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดว่าอะไรเป็น "ปกติ" และอะไรเป็น "ผิดปกติ" และมีการควบคุมจิตใจผ่านมาตรฐานเหล่านี้
การควบคุมจิตใจและการสร้างตัวตน: Foucault มองว่าความรู้ (knowledge) และอำนาจ (power) สัมพันธ์กัน และมีการกระจายไปในทุก ๆ ด้านของชีวิต จิตวิทยาสามารถนำแนวคิดนี้มาใช้ในการทำความเข้าใจว่าความคิด, ความรู้สึก, และพฤติกรรมของบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ผลของธรรมชาติหรือบุคลิกภาพที่แท้จริง แต่เป็นผลจากอิทธิพลของอำนาจในสังคมที่กำหนดว่าอะไรคือสิ่งที่ยอมรับได้และไม่ยอมรับได้
การจัดการกับจิตใจผ่าน "การตรวจสอบตัวเอง": การตรวจสอบตัวเอง หรือ "การดูแลตัวเอง" (self-care) ในมุมมอง Foucault เกิดขึ้นจากการที่ผู้คนเริ่มนำระบบมาตรฐานต่าง ๆ มาใช้กับตัวเอง เช่น การควบคุมอาหาร, พฤติกรรมการทำงาน, หรือการรักษาสุขภาพ จิตวิทยาในแง่นี้เน้นไปที่กระบวนการที่ผู้คนยอมรับและฝึกฝนตนเองตามกรอบที่สังคมกำหนด
แนวทางการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
การตั้งคำถามกับค่านิยมและมาตรฐานสังคม: ในชีวิตประจำวัน เราสามารถนำแนวคิด Genealogy ไปใช้โดยการตั้งคำถามกับ "ความปกติ" ที่สังคมกำหนดให้เรา ตัวอย่างเช่น การตั้งคำถามกับมาตรฐานความสำเร็จ, ความงาม, หรือวิธีการใช้ชีวิตที่สังคมคาดหวัง ซึ่งอาจช่วยให้เรามีอิสระในการเลือกทางเดินชีวิตที่เหมาะสมกับตนเอง
การตรวจสอบและเข้าใจอิทธิพลของอำนาจในชีวิต: การตระหนักว่าอำนาจในสังคมมีอิทธิพลต่อวิธีคิดและพฤติกรรมของเราเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถทำความเข้าใจว่าเรากำลังถูกบังคับหรือถูกควบคุมด้วยการกำหนดที่ไม่เป็นธรรมและเริ่มคิดหาวิธีที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างมีความรู้สึกตระหนักถึงการควบคุมจากภายนอก
การรับรู้และปรับตัวตามความเป็นจริง: ในการจัดการกับปัญหาหรือความเครียดในชีวิตประจำวัน เราสามารถนำแนวคิดของ Foucault มาใช้ในการรู้ตัวและปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น การยอมรับว่าความรู้สึกหรือพฤติกรรมบางอย่างอาจไม่ได้มาจากตัวตนแท้ ๆ ของเรา แต่เป็นผลจากอิทธิพลภายนอก เช่น ระบบการศึกษาหรือวัฒนธรรมที่กำหนดมาตรฐานต่าง ๆ
Genealogy ของ Foucault สอนให้เรามองความรู้, อำนาจ, และการควบคุมในชีวิตประจำวันจากมุมมองที่เป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์และสังคม ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือเป็นธรรมชาติ การใช้แนวคิดนี้ในชีวิตประจำวันช่วยให้เราตระหนักถึงอิทธิพลของสังคมที่มีต่อความคิดและพฤติกรรม และสามารถตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ถือว่า "ปกติ" หรือ "ถูกต้อง" เพื่อเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น