วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567

L’ordre du Discours (The Order of Discourse) Michel Foucault

หนังสือ 'ระเบียนของวาทกรรม' ของมิเชล ฟูโกต์ แปลโดย ฐานิดา บุญวรรโณ ...

 หนังสือ 'ระเบียบของวาทกรรม' ของมิเชล ฟูโกต์ แปลโดย ฐานิดา บุญวรรโณ

that in every society the production of discourse is at once
controlled, selected, organised and redistributed by a certain number of
procedures whose role is to ward off its powers and dangers, to gain
mastery over its chance events, to evade its ponderous, formidable
materiality" ("The Order of Discourse" 52).

ในทุกๆ สังคม การผลิตวาทกรรมจะถูกควบคุม ในเวลาเดียวกันก็จะถูกคัดเลือก ถูกจัดวางและถูกเผยแพร่ซ้ำไปซ้ำมาโดยกระบวนการบางอย่างจำนวนหนึ่งที่มีหน้าทีขจัดยับยั้งอำนาจและอันตรายต่างๆ มีหน้าที่ขจัดยับยั้งอำนาจและอันตรายต่างๆ มีหน้าที่ควบคุมเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และหลีกเลี่ยงความเป็นรูปธรรมอันรุนแรงและน่าเกรงกลัว 


L’ordre du Discours (The Order of Discourse) หรือ "ระเบียบของวาทกรรม(การพูด)" เป็นบทความที่เขียนโดย Michel Foucault ในปี 1970 ซึ่งสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับการควบคุมและการจัดระเบียบของวาทกรรม(การพูด) (discourse) หรือการสื่อสารในสังคม โดย Foucault สนใจที่จะทำความเข้าใจว่าการพูดหรือการแสดงออกทางความคิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างอิสระ แต่ถูกควบคุมและมีระบบที่ทำให้บางสิ่งบางอย่างสามารถพูดได้ในบางช่วงเวลาและบางสถานการณ์เท่านั้น

Procedures of Exclusion (กระบวนการของการกีดกัน)

Foucault อธิบายถึง กระบวนการของการกีดกัน ที่ใช้ในการควบคุมการพูดและการแสดงความคิดเห็นในสังคม ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 4 วิธีหลัก ๆ ที่ใช้ในการกำหนดว่าใครสามารถพูดได้และใครไม่สามารถพูดได้:

  1. การแยกประเภท (Partitioning):

    • ในสังคมจะมีการแยกแยะความรู้หรือคำพูดออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ โดยกำหนดให้บางหมวดหมู่สามารถถูกพูดหรือเผยแพร่ได้ แต่บางหมวดหมู่จะถูกกีดกันหรือจำกัดการพูด
    • ตัวอย่างเช่น ในการพูดถึงประเด็นทางการเมืองหรือศาสนา อาจมีการกำหนดให้กลุ่มหรือบุคคลบางกลุ่มสามารถพูดได้ แต่บางคนอาจถูกกีดกันจากการแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้
    • การแยกประเภทนี้จะทำให้มีการสร้าง "การห้าม" ที่ไม่ชัดเจน เช่น บางเรื่องอาจไม่ถูกห้ามโดยตรง แต่จะมีการแยกแยะว่าใครมีสิทธิ์ที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น
  2. การห้ามพูด (Prohibition):

    • Foucault อธิบายถึงการมีอยู่ของข้อห้ามที่คอยควบคุมว่าใครสามารถพูดในเรื่องใดได้ เช่น การพูดถึงบางประเด็นที่ถือว่าเป็น "ความจริง" หรือ "อำนาจ" ที่สังคมเห็นว่าไม่สามารถท้าทายได้
    • การห้าม ฟูโกต์แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้สามารถพูดได้ทุกสิ่งทุกอย่างสองสิ่งที่มักพูดไม่ได้ที่เห็นได้ชัดสำหรับฟูโกต์ก็คือเรื่องเพศภาวะและเรื่องทางการเมือง 
    • ตัวอย่างเช่น ในสังคมที่มีการควบคุมทางการเมืองหรือศาสนา บางเรื่องอาจถูกห้ามพูดหรือวิจารณ์อย่างรุนแรง ซึ่งกระบวนการห้ามพูดนี้ช่วยให้สถาบันต่าง ๆ รักษาอำนาจของตนไว้
  3. การแบ่งแยกทางเชิงสังคม (Social Exclusion):

    • Foucault ชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนในสังคมจะได้รับสิทธิ์ในการพูดหรือเข้าถึง "การพูด" ในที่สาธารณะ บางกลุ่มหรือบุคคลอาจถูกกีดกันจากการแสดงความคิดเห็นหรือการพูดออกมา
    • ตัวอย่างเช่น กลุ่มชนชั้นต่ำ หรือชนกลุ่มน้อยในสังคมอาจไม่สามารถมีเสียงหรือบทบาทในการสร้างความรู้หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่สำคัญ
    • การแบ่งแยกและการปฏิเสธอย่างเช่นการแบ่งแยกระหว่างความบ้าและความมีเหตุผล วาทกรรมของคนบ้านั้นแตกต่างจากของคนอื่นๆ เพราะถูกตีค่าว่าไร้ความสำคัญและไม่จริงมาตั้งแต่ต้น แม้วาทกรรมของคนบ้าจะถูกเปล่งเสียงออกมาได้ แต่ก็จะได้รับการรับฟังจากแพทย์หรือจิตเวชนับเป็นกระบวนการแบ่งแยกที่ถูกค้ำจุนไว้ด้วยสถาบันที่เปิดโอกาสให้คนบ้าได้พูดและอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญมารับฟังวาทะของคนบ้า 
  4. การกำหนดสิทธิในการพูด (Authorization):

    • การพูดในสังคมมักจะถูกควบคุมโดยการกำหนดว่าใครสามารถมี "สิทธิ" ในการพูดหรือไม่ได้รับอนุญาตให้ออกความคิดเห็น
    • ในหลายกรณี สิทธิในการพูดอาจขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางสังคม เช่น นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีอำนาจสามารถพูดได้ในบางเรื่อง แต่คนอื่น ๆ อาจถูกจำกัดการพูด
    • ดังนั้น การให้สิทธิในการพูดมักจะเชื่อมโยงกับการมีอำนาจหรือสถานะในสังคม

Procedures of Exclusion ใน L’ordre du Discours ของ Foucault อธิบายถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่สังคมใช้ในการควบคุมว่าใครสามารถพูดได้และใครไม่สามารถพูดได้ โดยมีการจำกัดการเข้าถึงพื้นที่การพูดและการสื่อสารในสังคม กระบวนการเหล่านี้ช่วยสร้างโครงสร้างอำนาจที่ทำให้บางเสียงถูกยอมรับและเผยแพร่ ในขณะที่เสียงบางเสียงถูกกีดกันหรือถูกปิดกั้นไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมความรู้และการสร้าง "ความจริง" ในสังคม.

The opposition between truth and falsity.  การอยู่ตรงข้ามกันระหว่างสิ่งที่จริงกับสิ่งที่เท็จ

ความปรารถนาที่จะรู้ถูกควบคุมโดยระบบการกีดกัน ความจริงมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของการจํากัดความจริง แต่เป็นประวัติศาสตร์ของการกําหนดขอบเขตของวิธีการ ของวัตถุแห่งความรู้... ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยแนวทางปฏิบัติของสถาบัน ซึ่งรวมถึงการใช้ความรู้ด้วย "ความจริง" นี้สร้างแรงกดดันต่อวาทกรรมอื่นๆ ซึ่งมาบรรจบกันที่วาทกรรมแห่งความจริง 

ซึ่งไม่ใช่แค่การแบ่งแยกในวาทกรรม หากแต่อยู่ในระดับของ “เจตจำนงของความจริง”

ที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่จริงกับสิ่งที่เท็จ

กระบวนการกีดกันประเภทที่สามที่ว่าด้วยเจตจำนงแห่งความจริงนี้สำคัญ

เพราะเจตจำนงแห่งความจริงที่ได้รับการเกื้อหนุนค้ำจุนด้วยสถาบันนี้กำหนดความรู้

และกำหนดกลไกการทำงานของความรู้ด้วย

เจตจำนงแห่งความจริงอันเป็นกระบวนการควบคุมวาทกรรมภายนอกแบบที่สาม

จึงมีผลทำให้กระบวนการกีดกันแบบการห้ามและแบบการแบ่งแยกและปฏิเสธทำงานอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น

By a paradox which it always displaces but never escapes, the commentary must say for the first time what had, nonetheless, already been said, and must repeat what had, however, never been said. (...) Commentary exorcises the chance element of discourse by giving it its due: it allows us to say something other than the text itself, but on condition that it is this text itself which is said, and in a sense completed." ("The Order of Discourse" 58) 

"ด้วยความขัดแย้งที่มันมักจะแทนที่แต่ไม่เคยหนีรอดไปได้ คําอธิบายต้องกล่าวเป็นครั้งแรกถึงสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว และต้องพูดซํ้าถึงสิ่งที่ไม่เคยกล่าวมาก่อน (...) คําอธิบายจะขจัดองค์ประกอบโอกาสของคําพูดโดยให้สิ่งที่ควรเป็น มันช่วยให้เราพูดอะไรบางอย่างนอกเหนือจากข้อความนั้นเอง แต่ต้องมีเงื่อนไขว่าข้อความนั้นเองที่ถูกกล่าว และในความหมายที่สมบูรณ์"  

"The commentary-principle limits the chance element in discourse by the play of an identity which would take the form of repetition and sameness. The author-principle limits this same element of chance by the play of an identity which has the form of individuality and the
self". (59)
หลักการวิจารณ์จำกัดองค์ประกอบของโอกาสในวาทกรรมด้วยการเล่นของอัตลักษณ์ซึ่งมีรูปแบบของการทำซ้ำและความเหมือนกัน หลักการของผู้เขียนจำกัดองค์ประกอบของโอกาสเดียวกันนี้ด้วยการเล่นของอัตลักษณ์ซึ่งมีรูปแบบของความเป็นปัจเจกและตัวตน

Disciplines define the kind of discourse on their object which will become a part of the discipline (not just any kind of discourse).  

วินัยต่างๆ กำหนดประเภทของวาทกรรมเกี่ยวกับวัตถุของตนซึ่งจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวินัย (ไม่ใช่วาทกรรมประเภทใดก็ได้)

วินัย ประกอบสร้างปัจเจกบุคคลขึ้น ; วินัยเป็นเทคนิคเฉพาะของอำนาจที่คำนึงถึงปัจเจกบุคคล ทั้งในฐานะวัตถุและเครื่องมือแห่งปฏิบัติการทางอำนาจ วินัยไม่ได้เป็นชัยชนะที่มีอำนาจ ... หากวินัยเป็นอำนาจที่เจียมเนื้อเจียมตัว และน่าฉงนสงสัย ซึ่งทำหน้าที่คิดคำนวณ แต่เป็นเศรษฐกิจแบบถาวร

สรุปหลักการสำคัญของ L’ordre du Discours(The Order of Discourse) :

  1. การควบคุมการพูด:
    Foucault ชี้ให้เห็นว่าในสังคมมีระบบที่กำหนดว่าใครจะสามารถพูดอะไรและเมื่อไหร่ โดยมีข้อจำกัดที่สร้างขึ้นเพื่อควบคุมการพูดและการแสดงออกของความคิด เช่น ผู้มีอำนาจจะควบคุมการเข้าถึงคำพูดและการตีความข้อมูล ซึ่งทำให้บางเรื่องสามารถพูดได้ในบางช่วงเวลาและบางคนเท่านั้น เช่น การพูดเกี่ยวกับอำนาจหรือความรู้บางประเภท

  2. การจัดระเบียบของการพูด:
    Foucault กล่าวถึง "ระเบียบ" (order) ของวาทกรรม(การพูด) ซึ่งหมายถึงวิธีการที่สังคมกำหนดกฎเกณฑ์ในการเข้าถึงและแสดงออกทางความคิดในที่สาธารณะ โดยการพูดบางอย่างอาจได้รับการยอมรับและเผยแพร่ไปในวงกว้าง ในขณะที่บางอย่างก็ถูกปิดกั้นหรือถูกเพิกเฉย

  3. อำนาจและความรู้:
    ในทัศนะของ Foucault, อำนาจไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่มีอยู่ในมือของรัฐหรือสถาบัน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างและควบคุมการพูดด้วย เมื่อมีการควบคุมการพูดหรือการสร้าง "ความจริง" (truth) ขึ้นมา มันจะช่วยรักษาอำนาจให้ดำรงอยู่และขยายไปในวงกว้าง

  4. การจำกัดและการแบ่งแยก:
    Foucault เน้นว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถพูดได้อย่างอิสระ มีการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่สามารถพูดได้และสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้ ซึ่งมีการตั้งขอบเขตและมาตรฐานที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา

  5. การพูดในสถานการณ์เฉพาะ:
    เขายังพูดถึงว่า การพูดไม่ใช่แค่การพูดออกมาในที่สาธารณะ แต่มีการจำกัดว่าคุณจะสามารถพูดได้ในสถานการณ์ไหนและจะพูดถึงเรื่องอะไร ตัวอย่างเช่น บทบาทของนักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่มีสิทธิ์พูดในบางเรื่อง แต่ในบางกรณี คนที่ไม่มีสถานะหรือบทบาทที่ชัดเจนอาจถูกจำกัดการพูด

สรุปง่ายๆ:

ใน L’ordre du Discours, Foucault มองว่า การพูด และ การสื่อสาร ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างอิสระ แต่มีการควบคุมจากสังคมและอำนาจที่กำหนดว่าใครสามารถพูดอะไรได้และเมื่อไหร่ ดังนั้น การควบคุมและจัดระเบียบการพูดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยรักษาและขยายอำนาจในสังคม.

Foucault ใช้แนวคิดเหล่านี้เพื่อให้เห็นว่าความรู้และอำนาจนั้นไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และการควบคุมการพูดสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาความจริงในสังคม.

ไม่มีความคิดเห็น: